สรุปความหายนะ ผู้ประกอบการอเมริกัน จาก Bill Ackman
- Bill Ackman เป็น Hedge Fund Manager ชื่อดัง ที่ล่าสุดมาเล่าตัวอย่างความหายนะของผู้ประกอบการอเมริกัน ที่กำลังจะเกิดขึ้น หลังได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์
ตัวอย่างนี้ภาพค่อนข้างชัด
อ่านแล้วลองจินตนาการ
บอกเลยว่า ผู้ประกอบการอเมริกัน จะอยู่ไม่ได้
พร้อมแล้ว ลงทุนแมนจะแปลให้ฟัง..
“ตลาดหุ้นของเรากำลังตก ผลตอบแทนพันธบัตรกำลังเพิ่มขึ้น และค่าเงินดอลลาร์กำลังอ่อนตัวลง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สัญญาณของนโยบายที่ประสบความสำเร็จ”
ผมได้รับอีเมลและข้อความเพิ่มมากขึ้นจากเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กที่ผมทำธุรกิจด้วยหรือเคยลงทุนด้วย พวกเขาแสดงความกังวลว่าอาจไม่สามารถผลักภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังลูกค้าได้ และจะได้รับผลกระทบในทางลบอย่างรุนแรง
ยกตัวอย่างเช่น ผมได้ลงทุนในสตาร์ทอัปที่ผลิตกาแฟสกัดเย็น (Cold Brew) ต่อไปนี้คือตัวอย่างบางส่วนจากอีเมลของผู้ก่อตั้งที่ส่งมาก่อนการเพิ่มภาษีนำเข้าจากจีนเป็น 2 เท่า:
“แม้เราจะพยายามลดความเสี่ยงแล้วก็ตาม แต่ภาษีใหม่ก็มีผลกระทบในทางลบต่อโครงสร้างต้นทุนของเราอย่างทันทีและรุนแรง และอาจทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของเราลดลงมากกว่า 60%
กาแฟและขวดแก้วเป็นสัดส่วนต้นทุนหลักของสินค้า (COGs) และจะได้รับผลกระทบจากภาษีใหม่ดังนี้:
-ต้นทุนขวดแก้ว (นำเข้าจากจีน) เพิ่มขึ้น 50%
-ต้นทุนชา (นำเข้าจากอินเดีย) เพิ่มขึ้น 26%
-ต้นทุนกาแฟ (นำเข้าจากเอธิโอเปีย เปรู และแคนาดา) เพิ่มขึ้น 10%
เพียงแค่ภาษีใหม่ที่ใช้กับกาแฟและขวดแก้ว ก็จะเพิ่มต้นทุนต่อหน่วยของสินค้า (32 ออนซ์) ราว 1.53 ดอลลาร์ ซึ่งจะลดกำไรขั้นต้นของเราลงเกือบ 60% เหลือประมาณ 12% จากเดิมที่ 30% เราตั้งราคาสินค้าไว้ในระดับสูงสุดของกลุ่มผลิตภัณฑ์ และไม่เชื่อว่าจะสามารถขึ้นราคาเพื่อชดเชยผลกระทบนี้ได้ในระยะสั้น
สิ่งที่น่ากังวลเป็นพิเศษคือ การที่กาแฟและชาเพิ่งถูกบรรจุอยู่ในรายการสินค้าที่ถูกเก็บภาษี ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีข้อยกเว้นมาตั้งแต่กฎหมาย McKinley Tariff ปี 1890 ซึ่งยกเลิกภาษีสินค้าจำเป็นเหล่านี้
การตัดสินใจใช้ภาษีนำเข้า 10% กับสินค้าทุกประเภท แม้แต่สินค้าที่เคยได้รับการยกเว้น ถือเป็นการเปลี่ยนนโยบายการค้าที่รุนแรง และเป็นภัยคุกคามต่อ Explorer Cold Brew และผู้ผลิตเครื่องดื่มเฉพาะกลุ่มรายอื่น
แตกต่างจากอุตสาหกรรมอื่น กาแฟไม่สามารถผลิตภายในประเทศได้ในเชิงพาณิชย์ และการผลิตชาภายในประเทศก็แทบไม่มีอยู่เลย ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกภายในประเทศที่สามารถทดแทนได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
เรายังคงมุ่งมั่นในการรับมือกับความท้าทายนี้ เรากำลังพิจารณาทางเลือกทั้งหมด ทั้งการเจรจากับซัพพลายเออร์ การปรับลดต้นทุน และการปรับสูตรผลิตภัณฑ์เชิงกลยุทธ์ แต่นโยบายนี้มีผลกระทบจริง รุนแรง และเกิดขึ้นทันที
เราจะรายงานความคืบหน้าให้คุณทราบอย่างโปร่งใส ขอบคุณที่สนับสนุนและร่วมเป็นพันธมิตรกับเรา ขณะเราทำงานเพื่อปกป้องอนาคตของ Explorer และสร้างแบรนด์ที่มีรากฐานจากคุณภาพ ความโปร่งใส และนวัตกรรม
หากคุณมีคำถามหรือความคิดเห็นใด ๆ โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อเรา”
และนี่คือตัวอย่างอีกกรณีจากบริษัทที่ออกแบบและติดตั้งระบบภาพและเสียงภายในบ้าน:
“คุณเขียนว่า ‘แทบไม่มีธุรกิจใดที่สามารถผลักภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในชั่วข้ามคืนไปยังลูกค้าได้’ และผมก็กลัวว่านี่อาจรุนแรงพอที่จะทำให้ผมต้องเลิกกิจการ
ลูกค้าของผมจะยอมรับราคาสัญญาที่เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าในชั่วข้ามคืนหรือไม่ หรือพวกเขาจะคาดหวังให้ผมรับภาระต้นทุนที่ซัปพลายเออร์ของผมเริ่มขู่ว่าจะขึ้นราคาแทน?
ถ้าลูกค้าต่อต้านการขึ้นราคา ขณะที่พนักงานของผมเรียกร้องขึ้นเงินเดือนเพื่อรับมือค่าครองชีพที่สูงขึ้น เราก็จะเข้าสู่สถานการณ์ที่ไม่มีใครชนะ (ไม่มีการใช้จ่าย และไม่มีงานทำ)
แม้ผมจะเข้าใจว่าคุณอาจไม่มีเวลาตอบกลับ แต่อยากให้การแบ่งปันความกังวลของเจ้าของธุรกิจรายเล็กเช่นผม ได้เป็นเสียงที่จับต้องได้ซึ่งสะท้อนผลกระทบในวงกว้างจากโพสต์ของคุณ”
หากประธานาธิบดีไม่ชะลอผลกระทบของภาษีในเร็ว ๆ นี้ ธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากจะต้องล้มละลาย
ธุรกิจขนาดกลางก็จะตามมาเป็นรายต่อไป
การชะลอ 90 วันจะเปิดโอกาสให้ทรัมป์บรรลุเป้าหมาย โดยไม่ทำลายธุรกิจขนาดเล็กในระยะสั้น
ขอให้ความมีสติและการตัดสินใจที่มีเหตุผล เป็นฝ่ายชนะ..
และทั้งหมดนี้คือข้อความที่ Bill Ackman ได้บรรยายถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการในสหรัฐอเมริกา
ถ้าจะให้ลงทุนแมนสรุปก็สามารถสรุปได้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นดังนี้
1.ต้นทุนในการผลิตสินค้าและบริการในสหรัฐอเมริกา ต่างแฝงไปด้วยการนำเข้าสินค้าจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศจีน การที่สหรัฐอเมริกาเก็บภาษีนำเข้าจากหลากหลายประเทศ หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการสูงขึ้นอย่างฉับพลัน
2.เมื่อต้นทุนสูงขึ้นก็ต้องมาดูว่าจะขึ้นราคาสินค้าไปให้กับผู้บริโภคได้ทั้งหมดหรือไม่ แน่นอนว่า จะมีหลายผู้ประกอบการที่ขายสินค้าได้น้อยลงเพราะผู้ซื้อรับไม่ได้กับราคาที่แพงขึ้น
3.สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็คือผู้ประกอบการก็เลิกทำกิจการนั้น เมื่อเลิกกิจการก็หมายความว่าการจ้างงานจะลดลง เมื่อการจ้างงานลดลงก็หมายความว่ากำลังซื้อ การบริโภคในระบบเศรษฐกิจก็จะน้อยลง
4.ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเศรษฐกิจจะถดถอย GDP จะลดลง ตอนแรกสหรัฐอเมริกาจะเจอปัญหาเงินเฟ้อ ในเวลาต่อมาสหรัฐอเมริกาจะเจอปัญหาเศรษฐกิจหดตัวอย่างรุนแรง
น่าติดตามกันว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร และเรื่องนี้น่าจะเป็นบทเรียนบทหนึ่งในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกาอย่างที่ทรัมป์อยากให้เป็น..
- 26
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
