10 เม.ย. เวลา 00:49 • นิยาย เรื่องสั้น

ยายผมมีเพื่อนเป็นปอบ

เชื่อคำว่าปอบ..
คงเป็นภาพจำในหัวของใครหลายคน
จากภาพยนตร์ในสมัยก่อนที่มักตลกมากกว่าความน่ากลัว
ปอบ..
เป็นความเชื่อของชาวอีสาน
ปอบเป็นผีชนิดหนึ่งทั่งที่มีเจ้าของและไม่มีเจ้าของส่วนมากผู้ที่จะกลายเป็นปอบมักจะเกิดจากวิชายวิชาหนึ่งที่เรียกกันว่า
วิชาของใหญ่ (มนต์ของใหญ่)
โดยผู้เรียนวิชานี้มักจะเป็นผู้หญิง
เชื่อกันว่ามีมนต์บทนี้จะใช้เป่าใช้เสกในยุ้งฉางของตนแม้มีข้าวแค่ไม่กี้ถังแต่พอถึงเวลานำมากินหรือนำออกมาขายเอาออกมาเท่าไรก็จะไม่มีวันหมด
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าแผ่นดินอีสานในสมัยก่อนกันเป็นที่ธุระกันดานแห้งแล้วโดยเฉพาะแถบทุงกุลาร้องให้บ้านผม
อีกทั้งสมัยนั้นไม่มีการคุมกำเนิดสังเกตได้ว่าคนสมัยนั้นจะมีลูกกันมากอย่างยายของผมมีลูกถึง10คน
นี้คือเหตุผลที่ใครหลายคนจะต้องดั้นด้นหาอาจารย์ผู้มีวิชาดีและเรียนมนต์บทนี้เรื่องราวต่อไปนี้ผมได้ฟังจากคำบอกเล่าของยายของผมเองที่ได้บอกเล่าให้ผมฟัง
เสี่ยวกูเป็นปอบ.. (เพื่อนกูเป็นปอบ)
ย้อนไปเมื่อ 60 กว่าปีก่อน
ยายเล่าว่ายายมีเพื่อนคนนึงชื่อยายหวดเป็นเพื่อนต่างหมู่บ้านสมัยนั้นที่บ้านเพื่อนยายมีต้นฝรั่ง (บักสีดา) ในภาษาอีกสาน
ยายได้แต่งงงานกับตาซึ่งเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันกับยายหวดเพื่อนของแก
ยายมักจะแวะไปเล่นกับยายหวดเป็นประจำและมักจะไปเก็บฝรั่งที่บ้านยายหวดมานั่งกินและพูดคุยตามประสาเพื่อน
ชาวบ้านแถวนั้นมักจะมาบอกยายเสมอว่าแกไปบ้านยายบ้านยายหวดบ่อยๆไม่กลัวมันตามมากินลูกมึงหรอ...
ข่าวลือเรื่องยายหวดเป็นปอบชาวบ้านเขาลือกันหนาหูแต่ยายก็ไม่เคยเชื่อ
ยายยังเถียงกับชาวบ้านไปว่าเพื่อนฉันมันจะเป็นปอบได้ยังไงฉันไปเล่นกับมันเกือบทุกวันก็เห็นมันเป็นคนปกติปอบมันจะชวนฉันกินข้าวได้ยังไงฉันไปเล่นบ้านมันมันก็หาข้าวหาน้ำให้กินไม่เห็นมันจะหาตับแตกเพิ่มพุงมาให้กินเลยมันก็เป็นคนนี่แหละ
แต่ยายบอกว่าก็มีเหตุการณ์ปอบเข้าคนอยู่บ่อยๆชาวบ้านเอาหมอธรรมมาขับไล่ยายบอกว่าก็ไปดูกับเขาด้วยแต่ก็ไม่ถึงขั้นมีใครเสียชีวิตหรือโดนปอบกินสักราย
จนกระทั่งวันหนึ่งมีหญิงวัยกลางคนเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ
ชาวบ้านต่างก็ลือกันว่าปลอบยายหวดเป็นคนกินแล้วก็มีนอนไหลตายไปเฉยๆแบบนี้อีก 2 ศพ ชาวบ้านก็รือกันไปต่างๆนานาว่ายายหวดนี่แหละที่เป็นต้นเหตุของการตายของชาวบ้านโดยชาวบ้านเชื่อกันว่ายายหวดเป็นคนปอบกินชาวบ้าน
วันหนึ่งยายก็ได้แวะเข้าไปเล่นกับยายหวดตามปกติยายหวดได้ชวนยายตำส้มตำกินกันตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงพอดี
ยายก็เลยแซวยายหวดไปตามภาษาเพื่อน
มึงเป็นปอบกินตำบักหุ่งเป็นยุติเสี่ยว
(มึงเป็นปอบกินส้มตำเป็นด้วยเหรอเพื่อน)
ยายเลยพูดถามไปตรงๆว่าที่ชาวบ้านเขาหรือว่ามึงเป็นปอบมึงได้เป็นจริงอย่างที่เขาพูดหรือเปล่า...
ยายหวดกับพูดอย่างหน้าตาเฉยว่าเออกูนี่แหละปอบ กูก็เป็นปอบอย่างที่เขาว่านั่นแหละ
อี 3 ตัวนั้นกูก็เป็นคนไปกินมันเอง
มันนินทากูมันไปโมทนาไปทั่วว่ากูเป็นปอบกูก็เลยกินมัน
ผมเลยถามยายว่าเพื่อนยายพูดเล่นหรือเปล่าแต่ยายบอกว่าไม่ได้พูดเล่นยายหวดแกพูดจริงๆแกก็ยอมรับจริงๆว่าแกเป็นปอบ
ยายถามยายหวดต่ออีกว่าแล้วมึงไปกินเขาแบบไหนไปยังไงแล้วมึงเป็นปอบได้ยังไง..ยายหวดเล่าให้ยายฟังว่า
กูเข้ามันตอนมันเผลอกูเข้าตามเล็บมือเล็บตีนมันอีพวกนี้ปากมันไม่ดีกูเลยกินมัน
ยายเลยถามว่าแล้วไปเป็นปอบได้ยังไง
ยายหวดแกเล่าให้ฟังว่า
แกไปเรียนวิชาของใหญ่
เพื่อที่จะได้เรียกเงินเรียกทองข้าวน้ำอุดมสมบูรณ์ไม่ให้อดให้อยากที่นาแกมีน้อยมีข้าวไม่พอกินบางปีก็แล้งบางปีก็ท่วม
แรกๆแกก็รักษาของไว้ได้แต่ด้วยความเป็นผู้หญิงแกก็สวมผ้าซิ่นด้วยการเอาผ้าซิ่นครอบหัวแล้วปล่อยให้มันลงไปข้างล่างแทนที่แกจะใส่ผ้าซิ่นเหมือนกับนุ่งกางเกงแกะกับเอาครอบหัวแล้วใส่
วันพระวันศีลบางทีก็ลืมไม่ได้เก็บดอกไม้บูชาของรักษาของเลยแตก
ทำให้แกกลายเป็นปอบ
ผมเลยถามยายว่าเพื่อนยายว่าแบบนั้นแล้วยายไม่กลัวหรอ...
ยายตอบผมว่ากูจะไปกลัวมันทำไม
มันกินแต่คนปากไม่ดี
ถ้ามันกินกูใครจะเป็นเพื่อนมันแล้วยายก็หัวเราะ
คงจะมีไม่กี่คนที่จะเคยสัมภาษณ์ปอบเหมือนกับยายของผมนะครับ
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไร
แต่ยายมักจะพูดเรื่องนี้ให้ผมฟังเสมอ
แล้วคุณล่ะครับเคยมีเพื่อนเป็นปอบบรรยายผมหรือเปล่า
เรื่องราวทั้งหมดก็มีแค่นี้
ขอบคุณครับ
โฆษณา