10 เม.ย. เวลา 00:10 • หุ้น & เศรษฐกิจ

⚠️ ทรัมป์เล่นอะไรกับตลาด หรือแค่กลัว...?

ใครตามมาตั้งแต่เมื่อวาน และไม่ได้นอนเหมือนแอด 🐼 จะพบว่าเมื่อคืนคือหนังดราม่าที่หักมุมสุดๆ เลยทีเดียวค่ะ
🎯 เปิดศึกการค้า...แล้วทำไมจู่ๆ ถึงเบรก?
เรื่องมันเริ่มจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศขึ้น "ภาษีนำเข้า" (Tariffs) แบบจัดหนักกับหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะกับจีน ซึ่งนโยบายนี้มีผลบังคับใช้หลังเที่ยงคืนของวันพุธที่ผ่านมา (ตามเวลาสหรัฐฯ)
1
แต่พอประกาศใช้ปุ๊บ! ตลาดการเงินทั่วโลกก็ปั่นป่วนอย่างหนักเลยค่ะ
👉🏻 ตลาดพันธบัตรระส่ำระสาย: ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาว (Long-term Treasury yields) โดยเฉพาะตัว อายุ 10 ปี (10-year Treasury) พุ่งสูงขึ้นแรงมากในช่วง 3 วัน ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นที่แรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2001! (ตรงนี้สำคัญนะคะ เพราะมันหมายถึงต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น ซึ่งไม่ดีต่อเศรษฐกิจและคนทั่วไปเลย)
👉🏻 ตลาดหุ้นดิ่งเหว: นักลงทุนตกใจ เทขายหุ้นกันกระจาย มูลค่าตลาดหุ้นทั่วโลกหายไปกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ! บรรยากาศเหมือนตอนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเลยค่ะ
👉🏻 ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย (Recession): ผู้บริหารระดับสูงอย่าง Jamie Dimon (CEO ของ JPMorgan Chase) ถึงกับออกมาเตือนว่า นโยบายนี้อาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ แถมยังบอกว่าภาคธุรกิจเริ่มชะลอการลงทุนเพราะความไม่แน่นอนนี้ด้วย
⚠️ เสียงเตือนจากรอบข้าง และการกลับลำครั้งใหญ่
ระหว่างที่ตลาดกำลังปั่นป่วน ทรัมป์เองก็ได้รับฟังความกังวลจากหลายฝ่าย ทั้งพันธมิตรทางการเมืองอย่างวุฒิสมาชิก Lindsey Graham, ผู้บริหารภาคธุรกิจ, และนักลงทุนชื่อดังอย่าง Bill Ackman (ที่เสนอไอเดียให้พักเรื่องภาษี 90 วัน) หรือแม้แต่ Elon Musk ก็ออกมาวิจารณ์เรื่องนี้
1
ทรัมป์เองก็จับตาดูตลาดอย่างใกล้ชิด ถึงกับโพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดียของตัวเอง (Truth Social) บอกว่า "ใจเย็นๆ! ทุกอย่างจะออกมาดีเอง" และ "นี่เป็นเวลาที่ดีที่จะซื้อหุ้น!" เพื่อพยายามพยุงตลาด
🔥 จุดเปลี่ยน:
2
ในที่สุด เพียงแค่ประมาณ 13-14 ชั่วโมงหลังจากที่ภาษีอัตราใหม่มีผลบังคับใช้ ทรัมป์ก็ตัดสินใจกลับลำครั้งประวัติศาสตร์!
👉🏻 ประกาศ "พักรบ" 90 วัน: ทรัมป์ประกาศ "หยุดชั่วคราว" (Pause) การขึ้นภาษีนำเข้าที่ประกาศไปเป็นเวลา 90 วันสำหรับประเทศคู่ค้าหลายสิบประเทศ (มากกว่า 75 ประเทศตามที่ทรัมป์อ้าง) ที่ยังไม่ได้ใช้มาตรการตอบโต้รุนแรง โดยในช่วงพักรบนี้ จะใช้อัตราภาษีที่ต่ำลงเหลือ 10%
2
👉🏻 ยกเว้น "จีน": แต่สำหรับประเทศจีน ซึ่งประกาศจะใช้มาตรการตอบโต้สหรัฐฯ ทรัมป์กลับ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงขึ้นไปอีกเป็น 125% ทันที‼️
✅ ทำไมถึงเปลี่ยนใจ?
1
ทำเนียบขาวออกมาบอกว่า นี่เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่วางแผนไว้อย่างดี เพื่อสร้างอำนาจต่อรองสูงสุด และเปิดทางให้ประเทศต่างๆ เข้ามาเจรจาข้อตกลงทางการค้าใหม่ๆ ซึ่งก็มีหลายประเทศติดต่อเข้ามาจริง
แต่ทรัมป์เองก็ยอมรับกับนักข่าวตรงๆ ค่ะว่า ส่วนหนึ่งที่ตัดสินใจแบบนี้ก็เพราะเห็นความวุ่นวายในตลาดการเงินนี่แหละ เขาบอกว่า "ผมว่าคนตื่นตูมกันไปหน่อย... พวกเขาดูกระตือรือร้น กลัวๆ กันนิดหน่อย" (They were getting yippy — you know, they were getting a little bit yippy, a little bit afraid.) และเขายอมรับว่าได้จับตาดูตลาดพันธบัตรที่ผันผวนหนักด้วย
1
📊 ตลาดตอบรับอย่างไร?
พอข่าวการ "พักรบ" (ยกเว้นกับจีน) ออกมา ตลาดการเงินก็เหมือนได้ยาชูกำลังค่ะ!
2
📈 หุ้นพุ่งแรง: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดีดตัวกลับอย่างรุนแรง ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นถึง 9.5% และดัชนี Nasdaq 100 พุ่งขึ้นถึง 12% ถือเป็นการปรับขึ้นในวันเดียวที่แรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008!
2
✅ พันธบัตรเริ่มนิ่ง: ตลาดพันธบัตรที่เคยผันผวนหนักก็เริ่มกลับสู่ภาวะปกติมากขึ้น ผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นดีดตัวขึ้น (เพราะคนคลายกังวลเรื่องลดดอกเบี้ย) ส่วนระยะยาวปรับตัวลดลงเล็กน้อย
1
📉 ดัชนีความกลัว (VIX Index) ซึ่งเป็นมาตรวัดความผันผวนของตลาด ร่วงลงแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์
1
🎯 ความเห็นส่วนตัว
2
การกลับลำของทรัมป์ครั้งนี้หมายถึงทรัมป์แพ้ใช่ไหม… ส่วนตัวคิดว่าไม่ใช่ค่ะ เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ว่ากับเศรษฐกิจ ตลาดหุ้น หรือตลาดพันธบัตร คือ สิ่งที่คาดการณ์ไว้ได้ทั้งหมดอยู่แล้ว ดังนั้นทรัมป์และทีมงานรู้มาตลอดว่าจะเกิดแบบนี้ แต่ยังเดินหน้าปล่อยใน tariff ทำงานจริงๆไปเป็น 10 ชั่วโมง
1
คำถามคือ เพื่ออะไร… แอดคิดว่าผลกระทบมันกว้างไปทั้งโลก เพราะตลาดหุ้นทั่วโลกเข้าสู่ bear market และตลาดพันธบัตรทั่วโลกก็ผันผวนตามสหรัฐฯ ไปด้วย และมีโอกาสเกิด recession ในหลายๆ ประเทศ ซึ่งนี่คือสิ่งที่ ทรัมป์ อยากโชว์ให้เห็นว่า ถ้าไม่มาคุยกัน นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริงๆ
และสุดท้ายเกิดอะไรขึ้น… 70 กว่าประเทศ วิ่งแจ้นมาคุยกันที พร้อมโชว์ข้อเสนออีกเพียบ ดังนั้นเท่ากับว่า ตอนนี้ทรัมป์รู้อย่างชัดเจนแล้วว่า แต่ละชาติให้อะไรเค้าได้บ้าง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีทางได้รู้เลย หรือกว่าจะรู้ก็ต้องเจรจากันยาว… แต่ tariff ทำให้ทรัมป์รู้ทุกอย่างได้ภายใน 1 สัปดาห์
และรู้อีกว่าใครกล้าตอบโต้ ซึ่งก็คือ จีน คนเดียวเลย… แอดไม่ขอนับยุโรปนะคะ เพราะมาตรการที่ออกมาคือ มีการออกแบบให้ดูเหมือนยิ่งใหญ่ แต่ข้างในก็ออกแบบให้กระทบสหรัฐฯ น้อยที่สุดอยู่ดี ดังนั้นเท่ากับว่าสุดท้ายคนที่กล้าชนตรงๆ ก็มีแค่ จีน คนเดียว
อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้… ตอนนี้เดาว่า กรอบการเจรจา หรือร่างข้อตกลงต่างๆ มีหมดแล้ว เหลือแค่เจรจารายละเอียดต่างๆ ให้ลงตัว พอจบเรื่องนี้ปุ๊ป ก็จะถึงเวลาเดินหน้าตีกับจีนแบบจังๆ (เดาว่าส่วนหนึ่งของดีลกับประเทศต่างๆ คือ ต้อง isoloted จีน ด้วย)
สรุปแล้ว คือ ทรัมป์ มันไม่ได้โง่ค่ะ ตอนนี้เค้าจะได้ดีลการค้าแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับนานาๆ ประเทศ และทรัมป์คือ deal maker ค่ะ
5
👉🏻 จริงๆ แล้วทฤษฎีต่างๆ อาจจะเป็นแค่การคิดมากกันไปเองหรือป่าว ส่วนทรัมป์มันอาจจะคิดแค่ว่า กรูจะลดขาดทุนการค้ายังไงดี ทำยังไงให้คนมาเจรจาเร็วๆ และทำยังไงถึงจะตีจีนได้หนักกว่าในสมัยแรกค่ะ
✅ ณ จุดนี้ไม่ต้องไปดูกราฟ technical หรอกค่า ดูทวิตทรัมป์ก็พอ
1
🔀 หลังจากนี้ คงมีเล่นข่าวการขึ้นภาษีบ้างเป็นรายประเทศถ้าประเทศไหนหือ ส่วนจีนก็จะเป็นประเด็นหลักในสงครามการค้าต่อไป
แนะนำทยอยช้อปปิ้งได้ตามใจชอบ แต่อย่าเพิ่งไปเข้าหุ้นจีนค่ะ เพราะนี่อาจคือเป้าหมายที่แท้จริงของทรัมป์มาตั้งแต่แรก และมันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นค่ะ
1
ปล. อย่าเชื่อแอดเยอะ แอดก็เดาเหมือนๆกันคนอื่นในตลาดนั่นแหละค่ะ คนที่รู้แผนการทั้งหมดคือคนในรูปค่ะ
โฆษณา