Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Bnomics
•
ติดตาม
10 เม.ย. เวลา 00:48 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ภาษีทรัมป์: สูตรเปลี่ยนโลกด้วย “หารๆ คูณๆ”?
🔢ความพยายาม “เปลี่ยนโลก” ด้วยสมการทางคณิตศาสตร์ที่เรียบง่ายเกินจริง
นโยบายภาษีนำเข้าล่าสุดของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างความสนใจอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เผยแพร่ “สูตรคำนวณภาษี” ที่อ้างอิงจากหลักเศรษฐศาสตร์และงานวิจัย เช่น Trade Wars with Trade Deficits (Pujolas, P. และ Rossbach, J., 2024) ซึ่งกำลังได้รับความสนใจในวงวิชาการ
สูตรภาษีที่เสนอมีลักษณะดังนี้:
Tariff rate = (มูลค่าส่งออก – มูลค่านำเข้า) ÷ (ค่าความยืดหยุ่น × มูลค่านำเข้า)
แม้จะดูซับซ้อนในเชิงคณิตศาสตร์ หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนจะพบว่าสูตรนี้เป็นเพียงการ "จัดวางตัวเลข" เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ มากกว่าจะสะท้อนโครงสร้างความเป็นจริงของระบบการค้าโลก
❤️“ใจดี” แบบมีเงื่อนไข: หาร 2 เพื่อดูนุ่มนวลขึ้น
ทรัมป์อธิบายว่า สูตรนี้สะท้อนความ “เมตตา” เพราะมีการหารด้วย 2 เพื่อลดความรุนแรงของภาษีลงครึ่งหนึ่ง
สรุปคือ สูตรนี้ยาวแค่ไหนก็ตาม สุดท้ายก็เหลือแค่:
Tariff = (ดุลการค้า ÷ มูลค่านำเข้า) × ½
แม้จะฟังดูสมเหตุสมผล แต่ในทางเศรษฐศาสตร์สูตรนี้ขาดความแม่นยำเชิงโครงสร้าง และไม่คำนึงถึงบริบทของห่วงโซ่อุปทานโลกที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
⚠️ ข้อวิจารณ์สำคัญ: สูตรที่เรียบง่ายเกินจริง
แม้สูตรดังกล่าวจะฟังดูซับซ้อนในเชิงคณิตศาสตร์ สูตรที่ใช้ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ไม่ครอบคลุมระบบการค้าในปัจจุบัน และมีข้อบกพร่องสำคัญหลายประการ ได้แก่:
1️⃣ ใช้ค่าความยืดหยุ่น (elasticity) ที่ต่ำเกินจริง
ค่า Trade Elasticity อยู่ที่ 0.25 หมายถึง การขึ้นภาษี 20% จะทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ~4% ซึ่งต่ำกว่าค่าที่พบในงานวิจัยของ Cavallo, Gopinath และ Neiman (2020) ซึ่งค่าที่เหมาะสม คือ 0.943 นั่นคือ การขึ้นภาษี 20% จะทำให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ~19%
ตัวอย่างเปรียบเทียบ: ถ้าใช้ค่าผิด จะเกิดอะไร?
สมมติว่า: ดุลการค้า = 100 มูลค่านำเข้า = 400
หากใช้ Elasticity = 0.25 → Tariff = (100 / (0.25 × 400)) = 1.0 หรือ 100%
แต่ถ้าใช้ Elasticity ที่ควรจะเป็น = 0.943 → Tariff = 26.5%
แตกต่างเกือบ 4 เท่า
2️⃣การตีความงานวิจัยแบบเลือกบางส่วน
สหรัฐฯ ยังอ้างอิงงานวิจัยของ Pujolas และ Rossbach โดยชี้ว่า “ประเทศผู้ส่งออกที่ไม่ซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ กลับ จะเสียเปรียบเมื่อต้องเผชิญกับมาตรการภาษี” ข้อสังเกตดังกล่าวมีมูลความจริงในบางประการ กล่าวคือ เมื่อสหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับประเทศคู่ค้า (นำเข้ามากกว่าส่งออก) สหรัฐฯ จึงมีสถานะเป็น "ผู้บริโภคหลัก" ของสินค้าจากประเทศเหล่านั้น
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การเก็บภาษีนำเข้าสามารถลดปริมาณการนำเข้าได้โดยตรง ส่งผลให้ประเทศคู่ค้าเสียรายได้จากการส่งออก ขณะเดียวกัน หากประเทศคู่ค้าไม่ได้พึ่งพาการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในระดับที่สูง ก็จะมีขีดความสามารถในการตอบโต้ผ่านการตั้งภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ ได้อย่างจำกัด สหรัฐฯ จึงสามารถใช้ภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือกดดันเชิงกลยุทธ์ได้ในบางกรณี
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ประเทศคู่ค้ามีอำนาจต่อรองสูง เช่น สหภาพยุโรป (EU) หรือมีโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานที่หลากหลายและยืดหยุ่น เช่น ประเทศจีน การตอบโต้สามารถเกิดขึ้นได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ภาษี การออกมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers: NTBs) หรือมาตรการกีดกันอื่น ๆ ซึ่งอาจย้อนสร้างแรงกดดันกลับมาที่สหรัฐฯ ได้เช่นกัน
ทั้งนี้ หลักฐานเชิงประจักษ์จากหลายกรณีชี้ว่า อัตราภาษีที่เหมาะสมควรอยู่ในช่วง 10–25% และหากทั้งสองฝ่ายตอบโต้กันด้วยการขึ้นภาษีอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลกระทบทางลบต่อทั้งสองประเทศ ทั้งในแง่ของราคาสินค้า การจ้างงาน และเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจโดยรวม
🎓ความเห็นจากนักวิชาการ: เมื่อสูตรภาษีขาดหลักเศรษฐศาสตร์รองรับ
นักวิชาการหลายท่านได้ออกมาแสดงความเห็นต่อสูตรภาษีที่รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้ โดยชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดเชิงแนวคิดและผลกระทบของการตีความงานวิจัยอย่างไม่ครบถ้วน ดังนี้:
• Pujolas (ผู้ร่วมเขียนงานวิจัยที่รัฐบาลอ้างอิง): ยืนยันว่า งานวิจัยดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจกลไกการค้าเชิงทฤษฎี ไม่ใช่เพื่อใช้เป็น “ใบอนุญาต” สำหรับการจัดเก็บภาษีในเชิงนโยบายแบบเหมารวม
• Rossbach (ผู้ร่วมวิจัย): ระบุว่า สิ่งที่รัฐบาลดำเนินการดูคล้ายกับ “กลยุทธ์การส่งสัญญาณ” เพื่อต่อรองและกดดันประเทศคู่ค้า มากกว่าการออกแบบนโยบายภาษีที่ตั้งอยู่บนข้อมูลและแบบจำลองที่รอบด้าน
• Prof. Anson Soderbery (Purdue University): ชี้ว่า การใช้ภาษีเพื่อลดดุลการค้าเป็นเป้าหมายที่ไม่ถูกต้อง เพราะไม่ได้แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างเรื่องความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
• Prof. Andrei Levchenko (University of Michigan): วิจารณ์ว่า สูตรที่รัฐบาลใช้อ้างอิงอยู่บนพื้นฐานของ Partial Equilibrium ซึ่งละเลยผลกระทบเชิงระบบ เช่น ค่าจ้าง ค่าเงิน ราคาสินค้า และการตอบโต้จากคู่ค้า ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญของการวิเคราะห์โครงสร้างการค้าโลก
• Prof. Brent Neiman (University of Chicago): ระบุว่า ค่าความยืดหยุ่น (elasticity) ที่ใช้ในสูตร (0.25) ต่ำเกินจริง โดยงานวิจัยของเขาพบว่าค่าที่เหมาะสมคือ 0.943 ซึ่งหมายความว่า อัตราภาษีที่รัฐบาลกำหนดไว้สูงเกินความจำเป็นถึง 3–4 เท่า และทำให้การประเมินผลลัพธ์ของนโยบายคลาดเคลื่อนอย่างมีนัยสำคัญ
🧠บทสรุป: สูตรภาษีที่ “ดูฉลาด” แต่ขาดหลักคิดเศรษฐศาสตร์ที่รอบด้าน
นโยบายภาษีของรัฐบาลทรัมป์ในครั้งนี้ อาจดูเหมือนตั้งอยู่บนหลักเศรษฐศาสตร์ที่แน่นหนา แต่แท้จริงแล้วคือการใช้ตัวเลขสร้าง “ความชอบธรรมทางการเมือง” มากกว่าจะเป็นนโยบายที่อิงหลักวิชาการอย่างแท้จริง
“เศรษฐศาสตร์ที่ดีไม่ใช่แค่การเขียนสมการให้ดูสวยงาม แต่คือความสามารถในการเข้าใจระบบเศรษฐกิจที่ซับซ้อน และผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงกับชีวิตของผู้คน”
.
เรื่องและภาพ: Research Team, Bnomics
════════════════
Bnomics - Bangkok Bank Economist, Bnomics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
════════════════
5 บันทึก
5
3
5
5
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย