ในปี 1977 เมื่อ Star Wars ออกฉาย ได้เปลี่ยนประวัติศาสตร์ให้กับโลกภาพยนตร์อย่างแท้จริง หนังวิทยาศาสตร์ หนังไซไฟ หนังขายเทคนิคพิเศษที่เคยเป็นหนังเกรดบร สตูดิโอไม่ต้องการ กลายเป็นสินค้าขายดี กระแสนี้เข้ามาถึงญี่ปุ่นในปีถัดมา และกลายเป็นแรงกระตุ้นให้บริษัทต่าง ๆ พยายามตอบสนอง โดยโตโฮได้ออกหนัง The War in Space (1977) ขณะที่โตเอะตอบโต้ด้วย Message from Space (1978) ซึ่งกำกับโดยฟุคาซากุ คินจิ และเขียนบทโดยมัตสึดะ ฮิโรโอะ
โดยที่เนื้อหาได้แรงบันดาลใจจากวรรณกรรมญี่ปุ่น Nansō Satomi Hakkenden (นันโช ซาโตมิ ฮักเค็นเด็น)ผสมกับโลกไซไฟสไตล์ Space Opera แบบสตาร์วอส์ และออกแบบเทคนิคพิเศษโดยยาจิมะ โนบุโอะ
แม้ Message from Space ของผู้กำกับฟุคาซากุ คินจิจะสร้างจากมหากาพย์เรื่องสำคัญของญี่ปุ่น แต่พอเข้าโรงฉายในญี่ปุ่นแล้ว กลับถูกมองว่าเป็นเพียงของเลียนแบบ Star Wars เท่านั้น แต่ตัวหนังก็ได้รับการจัดจำหน่ายนอกประเทศญี่ปุ่น และได้รับกระแสตอบรับที่พอใช้ โดยเฉพาะผู้ชมบางกลุ่มให้ความสนใจกับฉากแอ็กชันของนักแสดงอย่างชิบะ ชินอิจิ ซานาดะ ฮิโรยูกิ และชิโฮมิ เอ็ตสึโกะ ที่กลายเป็นองค์ประกอบเด่น และสามารถทำให้ Message from Space กลายเป็นหนังคัลต์คลาสสิคในเวลาต่อมา
ฮารุกินึกถึงนันโช ซาโตมิ ฮักเค็นเด็น และเขายังชื่นชอบหนัง Satomi Hakkenden ของโตเอะที่เคยเอาเรื่องนี้มาทำในปี 1954 ฮารุกิต้องการนำเรื่องนี้มาปรับสร้างใหม่ในแบบที่เข้ากับยุคสมัย เขาจึงสั่งให้ใส่องค์ประกอบแบบภาพยนตร์อเมริกันอย่าง Star Wars, Raiders of the Lost Ark,Flash Gordon และแม้แต่ American Graffiti ลงไป เพื่อให้เรื่องราวดูร่วมสมัยและสามารถเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ง่ายยิ่งขึ้น
ในการเลือกผู้กำกับ ฮารุกิเลือกฟุคาซากุ คินจิ มากำกับ แม้ว่าคินจิจะเคยทำ Message from Space ที่สร้างจากนิยายนันโช ซาโตมิ ฮักเค็นเด็นเหมือนกันก็ตาม แต่เขาปล่อยให้คินจิมีอิสระในการทำหนังตราบใดที่ยังมีองค์ประกอบที่ฮารุกิต้องการ คินจิทำให้โทนหนังมีความมืดหม่นในแบบเดียวกับ Samurai Reincarnation (1981) หนังดังของเขา
และสิ่งที่โด่งดังไปทั่วโลกคือเพลงประกอบ Satomi Hakkenden ที่ขับร้องโดย John O’Banion มีบทบาทสำคัญในการเสริมพลังทางอารมณ์และภาพลักษณ์เชิงนานาชาติของหนังเรื่องนี้อย่างเด่นชัด โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาในบริบทของกลยุทธ์ Media Mix และแผนการตลาดสไตล์ คาโดกาวะ
ก่อนอื่น เพลงนี้เป็นการผสมผสานระหว่างกลิ่นอายของดนตรีป๊อปสากลกับโทนโรแมนติกและดราม่าที่เข้ากับเนื้อหาของหนังอย่างลึกซึ้ง การเลือกนักร้องชาวอเมริกันอย่าง John O’Banion ซึ่งในขณะนั้นมีชื่อเสียงในญี่ปุ่นมาก จากการชนะรางวัลที่ Tokyo Music Festival ช่วยให้หนังดูมีความเป็น “อินเตอร์” มากขึ้น และช่วยดึงดูดกลุ่มผู้ชมวัยรุ่นที่หลงใหลในดนตรีป๊อปตะวันตก ซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญของ คาโดกาวะในช่วงทศวรรษ 1980