10 เม.ย. เวลา 14:02 • ประวัติศาสตร์

Poutine ไม่ใช่ปูติน ปธน. นะ แต่เป็น Poutine เมนูอร่อย - กับตำนาน Chenoo

นานมาแล้ว ก่อนที่เส้นทางจะถูกตัดผ่านภูเขา ก่อนที่คำว่ารัฐจะมีในแผนที่ มนุษย์และธรรมชาติยังอยู่ร่วมกันในสมดุลอันเปราะบาง ชนเผ่าพื้นเมืองในดินแดนตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะชาววาบานากี เล่าขานถึงสิ่งมีชีวิตตนหนึ่ง ที่ผู้ใดเอ่ยนามมันจะรู้สึกเย็นยะเยือกถึงกระดูกสันหลัง
นามของมันคือ "เชนู" Chenoo
เชนู เดิมทีเคยเป็นมนุษย์คนหนึ่ง บางตำนานกล่าวว่าเขาเป็นชายผู้เต็มไปด้วยความโลภ เขาสะสมอาหารไว้เพื่อตนเองในขณะที่คนในหมู่บ้านอดอยาก บ้างเล่าว่าเขาฆ่าคนใกล้ชิดเพื่อแย่งชิงเสบียงในช่วงฤดูหนาวเหน็บ หรือบางตำราบอกว่าเขาเดินทางเข้าไปในป่าลึก และถูกวิญญาณแห่งสิงสู่
ไม่ว่าต้นเหตุใด หัวใจของเขาก็ค่อยๆ กลายเป็นน้ำแข็ง ความเมตตา ความรัก และความเป็นมนุษย์ มันค่อยๆ เลือนหายไป หลงเหลือไว้แต่เพียง ความหิวโหย ความอบอุ่นที่โหยหา ซึ่งมันไม่มีวันได้สัมผัสอีกแล้ว
เมื่อหัวใจกลายเป็นน้ำแข็ง เขาก็ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป เขากลายเป็น "เชนู" ยักษ์น้ำแข็งที่กินผู้คน กินทุกสิ่งอย่าง ดวงตาของมันนั้นแข็งดั่งผลึก หายใจเป็นหมอกเย็นจัด และเสียงคำรามที่สะเทือนทั่วหุบเขา สูงใหญ่เท่าต้นสนที่เก่าแก่ มือใหญ่เหมือนใบไม้ยักษ์ ผิวหนังของมันซีดขาว บางตำนานว่ามีเกล็ดน้ำแข็งปกคลุมผิว ริมฝีปากของมันเต็มไปด้วยฟันแหลมดั่งน้ำแข็งแตก มีพลังเหนือมนุษย์ และไม่มีอาวุธใดที่มันใช้ เพราะมันจะถอนต้นไม้ทั้งต้นหรือฉีกหินผามาเป็นอาวุธแทน
...
ผู้ที่เดินป่าในฤดูหนาว และเห็นรอยเท้าใหญ่โตผิดธรรมชาติบนหิมะ หรือได้ยินเสียงคำรามห่างไกล จงรู้ไว้ เชนูอาจกำลังเฝ้ามองอยู่ และนั่นเองก็เป็นที่มาของตำนานบทหนึ่ง ที่เล่าขานถึง..
..ในช่วงฤดูหนาว ที่หนาวเหน็บยิ่งกว่าทุกปี หิมะปกคลุมป่าทึบในดินแดนอันห่างไกลของเผ่าวาบานากี (Wabanaki) จนทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นสีขาวโพลน แสงอาทิตย์แทบไม่ลอดผ่านเมฆหนา หนาวเย็นกัดกินแม้แต่เปลือกไม้ และเสียงในป่าก็เงียบงันจนน่าขนลุก
ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีหญิงสาวผู้มีจิตใจงดงาม นุ่มนวลดุจหิมะแรกของฤดูชื่อว่า อาเตกวี (Atekwi) เธออาศัยอยู่กับพี่ชายสองคน ทั้งสามคนมักออกหาอาหารร่วมกันทุกฤดูหนาว และในปีนั้นเอง อาหารเกิดขาดแคลนจนพวกเขาตัดสินใจเดินลึกเข้าไปในป่า ที่แม้แต่นักล่าสัตว์ยังหลีกเลี่ยง
ระหว่างที่เดินลุยหิมะหนา บางสิ่งบางอย่างสะกดพวกเขาให้หยุดชะงัก
กลางผืนหิมะที่เพิ่งตกใหม่ๆ มีรอยเท้าขนาดใหญ่เท่ากับเรือแคนู ฝังลึกลงไปในหิมะ รอยนิ้วเท้าหนาเหมือนขอนไม้ และรอยกรงเล็บลากครูดยาวคล้ายสิ่งมีชีวิตที่ไม่ควรมีอยู่ในโลกนี้
"หมี.. ตัวใหญ่แน่ๆ" พี่ชายคนโตพูดพลางยกหอกขึ้น
"ใช่ มันคงผ่านไปไม่ไกล" พี่ชายอีกคนเสริม
แต่อาเตกวีกลับยืนนิ่ง ใบหน้าของเธอซีดเล็กน้อย ดวงตาจ้องมองรอยเท้านั้นอย่างสงบนิ่ง แล้วเอ่ยเสียงเบา "ไม่ใช่หมี มันคือ เชนนู"
พี่ชายทั้งสองหัวเราะส่ายหน้า
ใครกันจะเชื่อในตำนานโบราณ
เชนนู ยักษ์น้ำแข็งกินคน ที่มีหัวใจแช่แข็งจากความโกรธและความชั่วร้าย มีจริงที่ไหนกัน?
แต่หญิงสาวไม่หัวเราะ เธอรู้ลึกลงไปในกระดูก เธอรู้ว่ามีสิ่งบางอย่าง กำลังเฝ้ามองอยู่ เธอหันหลัง เดินไปยังต้นสนใหญ่ ก้มลงวาง ตะกร้าเบอร์รี่ที่เธอเก็บไว้เพียงน้อยนิด บนกองหนังสัตว์แห้ง ของที่เธอตั้งใจนำกลับไปให้ผู้เฒ่าในหมู่บ้าน
เธอวางตะกร้าอย่างนุ่มนวล แล้วกระซิบเบาๆ
"คุณปู่ หิมะปีนี้คงทำให้ท่านเหน็บหนาวนัก ท่านหิวหรือไม่"
...
เธอและพี่ชายเดินกลับโดยไม่พูดอะไรอีก
แต่ในคืนนั้น ขณะที่ลมพัดแรงและเต็นท์ของพวกเขาสั่นไหว เสียงบางอย่างค่อยๆ ดังขึ้น มันเป็นเสียงหอบของลมหายใจ ที่แหบพร่า ดังก้องจากในป่า ทุกคนได้ยินเสียงนั้นแต่ก็ต้องขมตาหลับอยู่ภายในเต็นท์
รุ่งเช้า เมื่อพวกเขาตื่นมา เบอร์รี่ในตะกร้าหายไปหมดแล้ว แต่แทนที่หิมะจะปนเลือดหรือรอยทำลาย กลับมีเพียง รอยเท้ายักษ์ ลากยาวหายลึกเข้าไปในป่า
คืนต่อมา มีเสียงฝีเท้าหนักย่ำวนรอบกระโจมพี่ชายรีบคว้าอาวุธ แต่อาเตกวีกลับลุกขึ้น จุดคบเพลิง แล้วเปิดผ้าออกไป
สิ่งที่เธอเห็นคือ..
..
.
ยักษ์ร่างสูงใหญ่ ผิวหนังซีดเย็นจนเห็นไอเย็นลอยรอบกาย กรงเล็บยาว หน้าตาบิดเบี้ยวจากความเจ็บปวด แต่ในดวงตาสีฟ้าขุ่นนั้น มีแววบางอย่างที่คนอื่นมองไม่เห็น
เธอก้าวออกไป..
แล้วกล่าวกับมันว่า..
"คุณปู่ ท่านมาหนาวอีกแล้วหรือ มานั่งข้างไฟเถิด"
สิ่งมีชีวิตนั้น หยุด
นิ่ง..
มันก้มตัวลงอย่างช้าๆ เสียงกระดูกลั่นเหมือนหินถล่ม
แล้วนั่งลงข้างไฟ
มันไม่พูด ไม่ขยับ ไม่แม้แต่จะกระพริบตา
แต่ในแสงไฟนั้น พี่ชายทั้งสองถึงกับตะลึงเมื่อเห็น.. น้ำแข็งบางส่วน ละลายออกจากอกของมัน เหมือน หัวใจมันกำลังละลาย
หลายวันผ่านไป เชนนูกลับมาทุกคืน ทุกครั้ง อาเตกวีจะยื่นอาหารให้ พูดคุยกับมันราวกับเป็นญาติผู้ใหญ่
แล้ววันหนึ่ง ยักษ์ร่างยักษ์นั้น ก็ร้องไห้
เสียงร้องของมันดังก้องไปทั่วหุบเขาเหมือนภูเขาทรุดตัว
มันลุกขึ้น ทรุดลงที่พื้น และเมื่อพี่น้องพุ่งเข้ามาช่วย ในกองเถ้าหิมะเหล่านั้น กลับไม่ใช่ยักษ์อีกต่อไป แต่คือ ชายชรา ร่างซูบ ผิวซีด ดวงตาแดงช้ำ ซึ่งกำลังยิ้มบางๆ ออกมา
"หัวใจของข้ากลับมาแล้ว ขอบคุณเจ้า"
เรื่องราวของหญิงสาวผู้กล้า กับเชนนูใจน้ำแข็ง ก็ถูกเล่าขานต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้.
...
เชนนู (Chenoo) เป็นสิ่งมีชีวิตในตำนานของ ชาวอิโรคัวส์ (Iroquois) ซึ่งปรากฏในบางเวอร์ชันว่าเป็น "ยักษ์หิน" (stone giant) นั่นเป็นข้อมูลที่มีอยู่จริงในหนึ่งในหลากหลายรูปแบบของตำนานเชนนู
ในแต่ละชนเผ่า เชนนูนั้นจะมีความแตกต่างกันออกไป
: Wabanaki (วาบานากี) ชนนูเป็น ยักษ์น้ำแข็งกินคน (ice giant / cannibal) ที่เคยเป็นมนุษย์ก่อนถูกคำสาปหรือวิญญาณชั่วร้ายครอบงำ
: Algonquin (แอลกอนเควน) มักมองว่าเป็น วิญญาณชั่วร้าย ที่ครอบงำจิตใจมนุษย์ ทำให้กลายเป็นเชนนู
: Iroquois (อิโรคัวส์) เชนนูหรือสิ่งคล้ายกันจะถูกเรียกว่า ยักษ์หิน (Stone Giant) ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ยักษ์ที่สู้กันด้วยการขว้างก้อนหินและถอนต้นไม้มาใช้เป็นอาวุธ
.
ยักษ์หิน ในความเชื่อของชาวอิโรคัวส์นั้นคือ Stone Giants หรือบางท้องถิ่นเรียกว่า Ge-nó'sgwa เป็นเผ่าพันธุ์ยักษ์ตัวโต ผิวหนังเหมือนหิน มีพละกำลังมหาศาล พวกเขาสามารถพรางตัวด้วยการนิ่งจนกลายเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของภูเขาหรือโขดหิน และสู้กันด้วยการถอนต้นไม้หรือขว้างหิน มักถูกเล่าว่าอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ลึกเข้าไปในภูเขาหรือป่าทึบ
และนั่นแหละคือสิ่งที่เชื่อมโยงกับ "Chenoo" ในเวอร์ชันของชนเผ่าอิโรคัวส์—กลายเป็น "ยักษ์หิน" ที่มีรากฐานเดียวกับตำนาน ice giants ของเผ่า Wabanaki และ Algonquin แต่ปรับเปลี่ยนตามภูมิภาคและวัฒนธรรม
...
ตำนานอย่าง "เชนู" (Chenoo) แต่จริงๆ แล้ว มีรากฐานมาจากความเชื่อ วัฒนธรรม และสภาพแวดล้อมที่แท้จริงของชนพื้นเมืองอเมริกันในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และแคนาดา โดยเฉพาะกลุ่มเผ่า วาบานากี (Wabanaki) และเผ่าอื่นในกลุ่มแอลกอนเควน (Algonquian tribes)
.
ต้นกำเนิดของเชนูเกี่ยวข้องกับสภาพอากาศอันโหดร้ายของฤดูหนาวในดินแดนแถบนี้ "ตำนานที่สะท้อนภัยหนาว " ทำให้เกิดความอดอยาก หนาวตาย หรือแม้กระทั่งมีการเล่าขานเรื่อง "การกินกันเอง" เพื่อเอาชีวิตรอด
Chenoo และ Wendigo จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความหิวโหยเกินมนุษย์ และการสูญเสียความเป็นคนจากการทำผิดบาปใหญ่หลวง เช่น การฆ่าคนหรือกินมนุษย์
.
มีนักวิชาการเชื่อว่าตำนานเชนูอาจเริ่มต้นจาก เหตุการณ์จริงที่มีบุคคลสูญเสียความเป็นมนุษย์จากความเจ็บปวดหรือความหนาวเย็น แล้วถูกเล่าเสริมแต่งจนกลายเป็นตำนาน
และในเรื่องนี้นั้นใช้เล่าเพื่อสอนคุณธรรมเช่นเดียวกับนิทานพื้นบ้านทั่วโลก ตำนานเชนูถูกใช้เพื่อ เตือนให้หลีกเลี่ยงความโลภและการเห็นแก่ตัว ส่งเสริมความเมตตาและความกล้าหาญ สอนให้เคารพธรรมชาติและฤดูกาล
...
เชนูจึงไม่ใช่แค่ “ปีศาจ” แต่เป็น เครื่องมือทางวัฒนธรรม เพื่อสื่อสารบทเรียนจากรุ่นสู่รุ่น
.
วันพูติน (Poutine) 11 เมษายน National Poutine Day
วันนี้อาจไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องมากนักกับเรื่องราวของเชนู แต่บางครั้งการพูดถึงอาหารอย่าง Poutine ก็พาเราย้อนกลับไปยังรากเหง้าวัฒนธรรมของแคนาดา ที่เชนูเองก็เติบโตมาในสภาพแวดล้อมเหล่านั้น
วันพูตินนั้น ตรงกับวันที่ 11 เมษายนของทุกปี เป็นวันเฉลิมฉลองอาหารจานเด็ดสไตล์แคนาดาที่ชื่อว่า "พูติน" (Poutine) ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในจังหวัดควิเบกของประเทศแคนาดา และกลายเป็นเมนูที่คนทั่วโลกเริ่มรู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ
อะไรคือ Poutine ?
พูตินคือเมนูง่ายๆ ที่เต็มไปด้วยรสชาติ ประกอบด้วย เฟรนช์ฟรายส์ ราดด้วยเกรวี่ซอส (น้ำเกรวี่สีน้ำตาล) และ ชีสเคิร์ด (cheese curds) ซึ่งเป็นชีสสดที่ยังไม่ผ่านการบ่ม รสสัมผัสเด้งดึ๋งเป็นเอกลักษณ์ บางร้านอาจใส่เนื้อสัตว์ เช่น ไก่ ซอสเนื้อ หรือวัตถุดิบอื่น ๆ เพื่อสร้างเอกลักษณ์ของตนเอง
ในควิเบก เมนูนี้ออกเสียงว่า "พูแต็ง" (pou-tin) ตามสำเนียงฝรั่งเศส ขณะที่ในพื้นที่อื่นๆ ของแคนาดา มักออกเสียงว่า "พูทีน" (poo-teen)
.
ต้นกำเนิดของพูตินมีหลากหลายเรื่องเล่า แต่หนึ่งในเรื่องที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ ในปี ค.ศ. 1964 เชฟ ฌอง-ปอล รัว (Jean-Paul Roy) เจ้าของร้านอาหาร Le Roy Jucep เป็นผู้ที่นำเมนูนี้ขึ้นมาเสิร์ฟอย่างเป็นทางการ และได้รับการยอมรับในเวลาต่อมา โดยสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาของแคนาดาได้ออกใบรับรองการเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกพูติน
และอีกหนึ่งตำนานเล่าว่า เมนูนี้เกิดขึ้นแบบไม่ได้ตั้งใจในร้านอาหารแห่งหนึ่งชื่อ Le Lutin Qui Rit ในเมืองวอร์วิก ควิเบก เมื่อลูกค้าชื่อ เอดดี้ แลนเซส (Eddy Lainsesse) ขอให้พนักงานใส่ชีสเคิร์ดลงไปในเฟรนช์ฟรายส์ เจ้าของร้านจึงพูดว่า “Ça va faire une maudite poutine” แปลว่า “มันจะกลายเป็นเรื่องเลอะเทอะแน่เลย” และนั่นกลายเป็นจุดกำเนิดชื่อเมนูนี้
.
พูตินไม่ได้เป็นแค่อาหารจานหนึ่ง แต่ยังกลายเป็น สัญลักษณ์ของวัฒนธรรมแคนาดา ที่สะท้อนความหลากหลายทางเชื้อชาติ การผสมผสานวัฒนธรรมฝรั่งเศสและอเมริกาเหนือ และวิถีชีวิตที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยรสชาติ
...
Poutine เป็นเมนูพื้นฐานที่สามารถต่อยอดได้หลากหลายมาก และยังมีเมนูที่เกี่ยวข้องกันหรือได้รับแรงบันดาลใจจาก Poutine อยู่มากมาย
.
1. Pulled Pork Poutine
เพิ่มเนื้อหมูฉีก (pulled pork) รสจัดจ้านลงบนพูตินแบบดั้งเดิม เพิ่มความเข้มข้นด้วยซอสบาร์บีคิว
.
2. Butter Chicken Poutine
แรงบันดาลใจจากอาหารอินเดีย ใช้แกงบัตเตอร์ชิกเก้นแทนน้ำเกรวี่ เสิร์ฟพร้อมชีสเคิร์ดและเฟรนช์ฟรายส์
.
3. Breakfast Poutine
เสิร์ฟพร้อมไข่ดาว เบคอน และน้ำเกรวี่
.
4. Duck Confit Poutine
ใช้เนื้อเป็ดตุ๋นในไขมัน (confit) แทนเนื้อสัตว์ทั่วไป หรูหราขึ้นและเป็นที่นิยมในร้านอาหารระดับสูง
.
ยังมีเมนู Poutine อีกมาก แต่ก็หารูปมาลงไม่ได้ อยากบอกแต่ละเมนูน่ากินทั้งนั้น อย่าง Korean Kimchi Poutine, Japanese Matcha Poutine, Chocolate Mole Poutine
...
สุขสันต์วันสงกรานต์ สวัสดีปีใหม่ไทย เพื่อนๆ ทุกคนครับผม
ขอให้สุขภาพแข็งแรงๆ กันทุกๆ คนครับ
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: wikidates
: wikipedia
: mythology .guru
: mythicalencyclopedia
: strangenewengland
: thedailymeal
: griproom
โฆษณา