11 เม.ย. เวลา 07:17 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Five Deadly Venoms (1978)

อสรพิษว่าร้าย ฤาจะร้ายเท่าใจคน
วัฒนธรรมจีนโบราณนั้น เดือนห้าตามปฏิทินจันทรคติถือเป็นช่วงเวลาแห่งความอันตราย เพราะเป็นเวลาที่ “สัตว์ห้าพิษ” ฟื้นตื่นขึ้นมาโลดแล่นเข่นฆ่าคนบนโลกอีกครั้ง ห้าพิษในที่นี้หมายถึง สัตว์มีพิษห้าชนิด ได้แก่ ตะขาบ งู แมงป่อง จิ้งจก และคางคก ซึ่งในความเชื่อดั้งเดิมเห็นว่าสัตว์เหล่านี้คือภัยเงียบของมนุษย์ โดยเฉพาะในฤดูร้อนเมื่อฝนตกชุกและอากาศอบอ้าว สัตว์มีพิษเหล่านี้ก็พร้อมจะโผล่มาเมื่อไหร่ก็ได้ โดยไม่มีใครเตรียมตัวทัน
ตั้งแต่โบราณมา ผู้คนในพื้นที่ต่างๆ ของจีนต่างมีวิธีเฉพาะของตนเองในการรับมือกับห้าพิษนี้ ยิ่งในช่วงเทศกาล ไหว้บ๊ะจ่าง (เทศกาลตวนอู่) ซึ่งตรงกับวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินจันทรคติ ก็ยิ่งเต็มไปด้วยพิธีกรรมและความเชื่อต่างๆ เพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ทั้งการทำภาพห้าพิษจากกระดาษสี แล้วนำไปติดไว้ตามประตู หน้าต่าง หรือแม้แต่ที่ข้อมือของเด็กเล็ก
รวมไปถึงการนำภาพวาดของสัตว์พิษทั้งห้าไปปักไว้บนเสื้อผ้า ทำขนมรูปห้าพิษ หรือแม้กระทั่งปักเข็มห้าเล่มลงบนรูปสัตว์พิษเหล่านั้น เพื่อแสดงถึงการสังหารมันด้วยพลังแห่งศรัทธา และปกป้องผู้คนจากห้าพิษ
มันเป็นเวรเป็นกรรมของสัตว์ทั้ง 5 จริงๆ ที่ถูกมองว่าเป็นตัวอันตราย ทั้งที่ความจริงแล้ว บางตัวกลับไม่มีพิษแม้แต่น้อย เช่น ตุ๊กแก ที่แม้จะร้องเสียงหลอนและมีลายหนังดูน่ากลัว แต่กลับไม่สามารถทำอันตรายใครได้เลยนอกจากกัดจนเจ็บผิวหนังเท่านั้น ถึงกระนั้น มนุษย์จำนวนมากยังกลัวจนต้องหาวิธีไล่หรือฆ่าทิ้งตามบ้านเรือนเหมือนเป็นปีศาจร้ายจากอีกโลกหนึ่ง
ความกลัวสัตว์เหล่านี้ฝังแน่นอยู่ในวัฒนธรรมจีนมายาวนาน สัตว์เหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่สิ่งมีชีวิตธรรมดา แต่ยังกลายเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ อันตราย และบางครั้งก็แฝงไปด้วยความลึกลับที่ยากจะเข้าใจ ในแง่หนึ่ง พวกมันเป็นตัวแทนของธรรมชาติที่ไม่อาจควบคุมได้ ในอีกแง่หนึ่ง พวกมันคือภาพสะท้อนของความกลัวที่อยู่ลึกในใจมนุษย์
แนวคิดนี้เองที่จางเชอะ หยิบมาขยายและตีความใหม่ในภาพยนตร์เรื่อง The Five Deadly Venoms (1978) หรือที่รู้จักในชื่อไทยว่า “จอมโหด 5 อสรพิษ” เขานำเอาสัตว์ห้าพิษในความเชื่อจีนมาผูกโยงกับปรัชญาการต่อสู้ โดยสร้างตัวละครนักฆ่าทั้งห้าที่ฝึกวิชาจากลัทธิลึกลับ ซึ่งแต่ละคนมีเอกลักษณ์ประจำตัวตามชื่อสัตว์พิษ คือ ตะขาบ งู แมงป่อง คางคก และจิ้งจก
แทนที่จะเป็นสัตว์ธรรมดา ตัวละครเหล่านี้กลับกลายเป็นมนุษย์ที่ดูเหมือนจะ “กลืนพิษ” เข้าไปในตัว ทั้งในด้านกายภาพและจิตใจ พวกเขามีท่วงท่าการต่อสู้เฉพาะตัว เปรียบเหมือนอสูรร้ายที่ถือครองพลังลึกลับเกินมนุษย์ และในเวลาเดียวกันก็ดำรงอยู่ในโลกที่ความไว้ใจคือสิ่งฟุ่มเฟือย การหักหลังคือวิถีชีวิต และอำนาจคือทุกสิ่ง
จางเชอะไม่ได้เพียงแค่สร้างหนังบู๊ แต่เขาสร้างตำนานใหม่ที่นำเอาความเชื่อดั้งเดิมมาใช้เป็นแกนกลางของเรื่อง พร้อมสะท้อนความรุนแรงของยุทธภพในฐานะโลกที่เต็มไปด้วยพิษภัยจากคนมากกว่าสัตว์ และแม้จะใช้ชื่อสัตว์เป็นสัญลักษณ์ แต่ตัวละครในเรื่องก็ไม่ต่างจากคนธรรมดาที่ถูกปลูกฝังความกลัว ความแค้น และความคลางแคลงใจให้กลายเป็นสิ่งมีพิษโดยธรรมชาติ
ไม่ต่างอะไรกับตุ๊กแกที่ไม่มีพิษแต่กลับถูกคนรังเกียจ ตัวละครใน The Five Deadly Venoms บางคนก็อาจไม่ได้ร้ายจริง แต่อยู่ในโลกที่ทำให้พวกเขาต้องมีพิษไว้ป้องกันตัว หรือซ่อนมันไว้ในเงามืดเพื่อเอาตัวรอด เป็นการเล่าผ่านภาพยนตร์ที่ใช้ “พิษ” ไม่เพียงในแง่ของการต่อสู้ทางกาย แต่ยังหมายถึง “พิษในใจคน” ที่ร้ายกว่าสัตว์ห้าพิษตัวไหน
จอมโหด 5 อสรพิษ เป็นหนังที่มีความแปลกและสดในยุคนั้น ทำให้จางเชอะกลับมาขึ้นสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นยุคสุดท้ายของความรุ่งเรืองในแบบจางเชอะ ในช่วงนั้นบรรดาลูกศิษย์ที่ตนเองปั้นมากลายเป็นดาราใหญ่ ไม่ค่อยมีเวลามาเล่นหนังให้อาจารย์ จางเชอะจับเอากลุ่มสตันท์แมนลูกศิษย์ลูกหาที่อาจจะไม่ได้มีดีทางด้านหน้าตา แต่มีฝีไม้ลายมือลีลากังฟู ฝีมือสตันท์อยู่ในกลุ่มแถวหน้าของวงการหนัง มาร่วมทีมทำหนังที่มีลีลาลูกผสมระหว่างเนื้อหาแบบหนังกำลังภายในแต่การต่อสู้ต่างๆในเรื่องเป็นรูปแบบของกังฟูตามสมัยนิยม
หนังเล่าเรื่องของบ้าน 5 พิษที่มีชื่อเสียงเลวร้ายของยุทธภพ ลูกศิษย์ 5 คนของบ้าน 5 พิษฝึกวิชาตามลักษณะของสัตว์พิษ 5 อย่างได้แก่ ตะขาบ งู แมลง ป่องตุ๊กแก และคางคก ก่อนที่เจ้าบ้าน 5 พิษจะเสียชีวิตเขารับลูกศิษย์คนที่ 6 และกำชับให้ติดตามดูพฤติกรรมของศิษย์พี่ หากประพฤติตัวไม่เหมาะสม ใช้วิชาพิษในทางชั่วร้าย ก็ให้กำจัดเสีย
ลูกศิษย์คนที่ 6 เป็นศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์ปรมาจารย์แห่งสำนักพิษ เขาไม่ได้ฝึกวิชาพิษใดวิชาหนึ่งอย่างเต็มตัวเหมือนศิษย์ 5 คนแรกที่ฝึกเฉพาะทาง แต่เขาได้รับการฝึกฝนจากทุกวิชาพิษ มีพื้นฐานของวิชาทั้งห้าแต่ไม่เชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่ง ขาจึงเป็นตัวแทนของ “ความสมดุล” หรือ “พลังกลาง” ที่ไม่ได้ถูกกลืนไปกับความพิษภัยของใครคนใดคนหนึ่ง เป็นเสมือนกระจกสะท้อนของยุทธภพที่เต็มไปด้วยการแฝงตัว ลวงตา และการต่อสู้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
ด้วยเนื้อเรื่องที่ง่ายแต่เปิดโอกาสให้สอดใส่ฉากต่อสู้ เข้ามาตลอดทั้งเรื่อง พร้อมกับลูกศิษย์ทั้ง 5 คนในกลุ่ม 5 พิษต่างมีความโดดเด่นเป็นคนละด้าน ทำให้จอมโหด 5 อสรพิษกลายเป็นหนังที่ดูเพลินมากๆ ตัวหนังมีคุณสมบัติที่จะกลายเป็นหนังซึ่งผู้ชมชื่นชอบคลั่งไคล้ได้ไม่ยาก
ความโดดเด่นของลูกศิษย์จางเชอะทั้ง 5 ได้แก่ กั๊วะจุย, ลู่เฟิง, เจียงเซิน, ซุนเจี้ยน และหลอเมิ่ง บางคนคล่องแคล่วดั่งนักกายกรรม บางคนถนัดเทควันโด บางคนเด่นด้านกังฟู สิ่งเหล่านี้กลายเป็นที่จดจำทดแทนรูปลักษณ์ และทำให้ผู้ชมลืมเรื่องหน้าตาไปได้เลย
ฉากแอ็กชันทำได้ดีเยี่ยม โดยเฉพาะท่ามวยของสัตว์ทั้ง 5 ที่มีเอกลักษณ์ชัดเจน ทำให้ผู้ชมโดยเฉพาะเด็กๆ สามารถจินตนาการและเลียนแบบได้ง่าย เชื่อว่าในยุคนั้น เด็กหลายคนต้องเล่นบทบาทเป็น “ตะขาบ งู แมงป่อง ตุ๊กแก และคางคก” ต่อกันแน่นอน
จางเชอะทำหนังกลุ่มจอมโหดต่อมาอีกหลายเรื่อง โดยใช้ทีมดารากลุ่มเดิมสลับกันไป ทำให้แม้พวกเขาอาจไม่ได้หล่อแบบดารา แต่ก็โด่งดังในฐานะกลุ่มที่มีฝีมือ ทางฝั่งตะวันตกเรียกนักแสดงกลุ่มนี้ว่า “Five Venoms” ซึ่งกลายเป็นชื่อกลุ่มแฟนคลับตามติดพวกเขาไปอีกนาน
หนังกลุ่มนี้กลับมาโด่งดังอีกครั้งหลังจากฉายไปหลายสิบปี เมื่อเควนติน ตารานติโน สร้าง Kill Bill โดยอ้างอิงหนังเรื่องนี้อย่างชัดเจน รวมถึงภาพยนตร์แอนิเมชัน Kung Fu Panda ก็ได้รับอิทธิพลจาก The Five Deadly Venoms เช่นกัน
และอีกครั้งที่ในหนังจอมโหด 5 อสรพิษ ไม่มีบทผู้หญิงสำหรับหนังของจางเชอะ
โฆษณา