11 เม.ย. เวลา 07:22 • สุขภาพ

⚠️แผ่นดินไหวเมียนมา 8.2: สะเทือนถึงระบบสาธารณสุขไทย – เมื่อภัยพิบัติเขย่าความเปราะบางของโรงพยาบาล🚫

“ในโลกการแพทย์ ความแม่นยำของการวินิจฉัยอาจไร้ค่า… หากระบบพยุงชีวิตพังลงเพราะแรงสั่นสะเทือน”
เหตุแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูดที่เมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 สร้างแรงสั่นสะเทือนที่รู้สึกได้ถึงกรุงเทพมหานคร ภายใน 90 วินาทีแรก อาคารสูงกว่า 3,000 แห่งทั่วประเทศมีคำสั่งให้อพยพ บุคลากรทางการแพทย์เร่งเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินลงชั้นล่าง แต่สิ่งที่ช็อกกว่านั้นคือ – โรงพยาบาล 24 แห่งเกิดรอยร้าว และ ระบบบางส่วนหยุดทำงานชั่วคราว
ในฐานะ Biological Engineer เหตุการณ์นี้เปิดเผย “จุดเปราะบางเชิงระบบ” ที่มักถูกมองข้ามในการออกแบบโครงสร้างและเทคโนโลยีชีวการแพทย์ในบริบทของภัยพิบัติ
1. โครงสร้างทางกายภาพของโรงพยาบาล ไม่ได้ถูกออกแบบเพื่อรับมือแผ่นดินไหว
ปัจจุบันอาคารโรงพยาบาลในไทยจำนวนมากถูกออกแบบตามโครงสร้างมาตรฐานทั่วไปที่ไม่รองรับแรงสั่นจากรอยเลื่อนเปลือกโลก โดยเฉพาะในอาคารที่มี:
• ห้อง ICU หรือ NICU อยู่บนชั้นสูง
• ห้องผ่าตัดที่มีโต๊ะผ่าตัดไฟฟ้าและเครื่องดมยาสลบ
• ตู้แช่ยาที่ต้องการอุณหภูมิคงที่ (2–8 °C)
• ห้องปลอดเชื้อแรงดันบวกหรือแรงดันลบ
การสั่นสะเทือนจากพื้นฐานที่ไม่ยืดหยุ่น (Rigid Base) ทำให้เครื่องมือในกลุ่ม life-support มีความเสี่ยงสูงต่อการหยุดทำงานชั่วคราว หรือเกิด error ทางกลไก เช่น ชิ้นส่วนหลุดจากตำแหน่ง หรือระบบ sensor fail
ตัวอย่าง: ตู้เก็บวัคซีนชนิดชีวภาพ (Bio-vaccine) ที่มีระบบควบคุมอุณหภูมิด้วย Peltier Module เมื่อเกิดแรงกระแทกหรือสั่นสะเทือน อาจเกิดความคลาดเคลื่อนในการควบคุมความเย็น และทำให้วัคซีนเสื่อมสภาพโดยไม่รู้ตัว
2. ระบบสำรองพลังงานในอาคาร Critical Care ยังไม่เป็นอิสระจากระบบหลัก
โรงพยาบาลหลายแห่งมีระบบไฟฟ้าสำรองที่รวมศูนย์อยู่กับ generator เดียว ซึ่งใช้ได้เฉพาะเวลาไฟดับ แต่:
• ไม่สามารถจ่ายไฟแบบไร้รอยต่อ (seamless power switching) ให้กับระบบที่มีความละเอียดสูง เช่น MRI, CT, Ultracentrifuge
• ไม่มีการออกแบบแยกเส้นวงจรให้กับ critical load ในห้องผ่าตัดหรือห้องชีววิเคราะห์
• ยังไม่มีการติดตั้ง Uninterruptible Power Supply (UPS) แยกเฉพาะในระดับห้องที่สำคัญทางคลินิก
ผลกระทบ: ข้อมูลจาก ICU/OR ที่บันทึกด้วยเครื่อง Vital Sign หรือระบบ Telemetry อาจสูญหาย หรือไม่สามารถบันทึกต่อได้หากเกิดแรงสั่นสะเทือนขณะกำลังชาร์จแบตสำรอง
3. ระบบสื่อสารล้มเหลว = อัมพาตในการประสานงาน
แม้ว่าโรงพยาบาลหลายแห่งมีระบบ Digital Health และ eHospital แต่ขาดสิ่งสำคัญคือ “communication redundancy”:
• ไม่มีเครือข่าย backup (4G/5G redundancy หรือ satellite signal)
• วิทยุสื่อสาร (walkie-talkie) มักกระจายไม่ทั่วถึงในพื้นที่อาคารขนาดใหญ่
• ข้อมูลผู้ป่วยวิกฤตที่จำเป็นต่อการส่งต่อ (เช่น ค่าก๊าซในเลือด, ค่า Renal function) ไม่สามารถเข้าถึงแบบ Real-time หาก server ล่มหรือช้า
หมายเหตุทางวิศวกรรม: หากระบบฐานข้อมูลกลางล่ม ระบบ cloud-based EMR ต้องมี “edge computing node” ประจำอาคารเพื่อให้สามารถเรียกข้อมูลได้แม้สัญญาณขาด
4. โมเดลโครงสร้างที่รองรับแผ่นดินไหว: กรณีศึกษาสำคัญจากการทดลองจำลอง
จากการจำลองแรงสั่นสะเทือนด้วยโมเดลจำลองในคลิปวิดีโอ:
• อาคารแบบธรรมดา (ไม่มีระบบดูดซับแรง) สั่นอย่างรุนแรง และไม่สามารถรักษาสภาพโครงสร้างอุปกรณ์ได้
• อาคารแบบติด Damper (แบบ V หรือ X) แสดงผลว่าช่วยดูดซับแรงสะเทือนในแนวแกนได้ดี
• อาคารที่ติดตั้ง Base Isolation ที่ฐานอาคารแสดงผลดีที่สุด: ชั้นบนเกือบไม่เคลื่อนเลย ทั้งที่ฐานขยับแรง
บทเรียน: การออกแบบโรงพยาบาลแห่งอนาคตควรพิจารณา Base Isolation เป็น “มาตรฐานขั้นต่ำ” ในอาคารที่มีห้องผ่าตัด ห้อง ICU และศูนย์ข้อมูล
5. ข้อเสนอเชิงระบบสำหรับประเทศไทย: ความรับผิดชอบร่วมระหว่าง Bioengineer, สถาปนิก, และภาครัฐ
ระยะสั้น (2025–2027)
• ตรวจสอบความมั่นคงของห้อง Critical Care ทั่วประเทศ ร่วมกับกรมโยธาฯ
• ติดตั้งระบบ Real-time Earthquake Alert System ที่เชื่อมโยงกับอุปกรณ์ Bio-safety
• วางระบบพลังงานสำรองเฉพาะสำหรับ ICU/OR ที่แยกจากระบบ generator กลาง
ระยะกลาง (2028–2032)
• ปรับปรุงแบบก่อสร้างโรงพยาบาลให้มี Damper หรือ Isolation ในส่วนของห้อง critical
• กำหนดให้อาคารทางการแพทย์ใช้ “Seismic Design Code” เป็นเกณฑ์ EIA/BOQ ใหม่
ระยะยาว (2033 เป็นต้นไป)
• ร่าง “พระราชบัญญัติความปลอดภัยทางชีวภาพในสถานพยาบาลภาวะฉุกเฉิน” ที่กำหนดให้ต้องมีระบบ redundancy ทางพลังงาน + การสื่อสาร + การควบคุมอุณหภูมิ
• ส่งเสริมการวิจัยร่วมระหว่างวิศวกรชีวการแพทย์และวิศวกรโครงสร้างเพื่อพัฒนา smart earthquake-proof hospital
บทสรุป: ไม่ใช่แค่แรงสั่นสะเทือน…แต่คือสัญญาณของความไม่พร้อม
“เราสร้างเทคโนโลยีล้ำหน้าเพื่อรักษาชีวิต แต่มักลืมวางแผนปกป้องระบบที่จะทำให้เทคโนโลยีนั้นมีความหมาย”
แผ่นดินไหวเมียนมาครั้งนี้ไม่เพียงแต่สั่นสะเทือนอาคาร – มันเขย่าระบบสาธารณสุขของไทยและชี้ชัดว่า หากไม่มีการเตรียมพร้อมด้าน “ระบบสนับสนุนทางชีววิศวกรรม” อย่างจริงจัง การแพทย์แม่นยำก็อาจไร้ประโยชน์ในภาวะวิกฤต
โฆษณา