8 ชั่วโมงที่แล้ว • สุขภาพ

เมื่อความคุ้นชินกลายเป็นกับดัก: บทเรียนจากเภสัชกรเรื่องยาและอคติ

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแต่ง แต่เป็นประสบการณ์จริงที่ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ท่านหนึ่งต้องกลับมาทบทวนอะไรหลายอย่าง มันเป็นเรื่องราวของผู้ป่วยชายคนหนึ่งที่ถูกมองว่าเป็น "ผู้ป่วยเจ้าปัญหา" และเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นกับเขา ซึ่งสะท้อนบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับยา การสื่อสาร และมุมมองที่เรามีต่อผู้ป่วยครับ
ผมเชื่อว่าทุกคนมีโอกาสเป็นผู้ป่วย หรือมีคนใกล้ชิดเป็นผู้ป่วย การเข้าใจพลวัตที่ซับซ้อนในโรงพยาบาล ความเสี่ยงของยา และผลกระทบจากทัศนคติ สามารถช่วยให้เราเป็นผู้ป่วยที่ดีขึ้น เป็นญาติที่เข้าใจมากขึ้น หรือแม้กระทั่งเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น เรื่องราวของคุณ M (นามสมมติ) อาจทำให้เราได้ฉุกคิดถึงสิ่งที่มองข้ามไปในระบบสุขภาพครับ
ภาพจำของ "คุณ M" ชายผู้มาพร้อมเสียงบ่นและคำขอ
คุณ M เป็นที่คุ้นเคยของโรงพยาบาลหลายแห่งในละแวกบ้านของเขา เขามักจะปรากฏตัวที่ห้องฉุกเฉินในช่วงบ่ายๆ ด้วยอาการเจ็บหน้าอก ประวัติการผ่าตัดบายพาสและผลตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) ที่ผิดปกติมานาน ทำให้แพทย์ต้องนึกถึงภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจและอาจมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
ทุกครั้งที่มา กระบวนการก็จะซ้ำๆ เดิม เขาจะถูกส่งไปยังหอผู้ป่วยวิกฤต (ICU) หรือหอผู้ป่วยกึ่งวิกฤต เพื่อติดตามสัญญาณชีพอย่างใกล้ชิด พอรุ่งเช้า ผลเอนไซม์หัวใจมักจะออกมาปกติ ก็สามารถหยุดการติดตามได้ การรักษาเบื้องต้นอย่างยาพ่นใต้ลิ้นไนโตรกลีเซอริน ซึ่งปกติใช้ขยายหลอดเลือดในผู้ป่วยเจ็บหน้าอกจากหัวใจขาดเลือด กลับไม่ได้ช่วยบรรเทาอาการเจ็บของคุณ M เลย แถมยังทำให้เขาปวดหัวอีกต่างหาก
สิ่งที่คุณ M ยืนกรานต้องการเสมอคือ "มอร์ฟีน" ยาระงับปวดกลุ่มโอปิออยด์ เขาอ้างว่ามีแต่ยานี้เท่านั้นที่ช่วยเขาได้ และมักจะได้รับยาตามที่ขอในช่วงเย็น พอได้มอร์ฟีนแล้ว เขาก็ยังไม่หยุดกดกริ่งเรียกพยาบาล ยังคงบ่นสารพัด ตั้งแต่เรื่องเตียง เรื่องอาหาร ไปจนถึงตัวพยาบาลเอง พอตกดึกราวๆ 4 ทุ่ม คุณ M ก็จะแจ้งว่านอนไม่หลับ เพราะเสียงดัง แสงไฟ หรือสิ่งรบกวนอื่นๆ และจะขอมอร์ฟีนเพิ่ม พร้อมกับ "ลอราซีแพม" (Lorazepam) ซึ่งเป็นยานอนหลับกลุ่มเบนโซไดอะซีพีน เขาอ้างว่ามีแต่ตัวนี้เท่านั้นที่ทำให้เขาหลับได้
วงจรซ้ำๆ และความคุ้นชินที่อาจนำไปสู่ความประมาท
พยาบาลเวรก็มักจะต้องโทรศัพท์ปรึกษาแพทย์เวรเพื่อขอคำสั่งใช้ยาเหล่านี้ คุณหมอ Mark Earnest ซึ่งเป็นผู้เล่าเรื่องนี้ หลังจากดูแลคุณ M อยู่ 3-4 ครั้ง ก็เริ่มสั่งยา Lorazepam เตรียมไว้ล่วงหน้า และอนุญาตให้พยาบาลปรับขนาดยาได้ตามความจำเป็น เพื่อความสะดวกในการจัดการ โดยปกติ หลังจากได้ยาไปสัก 2 โดส คุณ M ก็จะหลับไป พอตื่นเช้ามาก็จะบอกว่าหายเจ็บแล้ว และยืนยันจะขอกลับบ้านทันที เขามักจะได้รับยาต่างๆ กลับบ้านไปด้วย ซึ่งเขาก็ไม่เคยใช้ และคำแนะนำให้ไปพบแพทย์โรคหัวใจก็ไม่เคยได้รับการปฏิบัติตาม
พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้คุณ M กลายเป็นที่เอือมระอาของบุคลากรทางการแพทย์ที่พบเจอ ชีวิตนอกโรงพยาบาลของเขาก็ดูจะโดดเดี่ยว ไม่มีใครมาเยี่ยมหรือมารับ อดีตภรรยาและลูกๆ ก็ตัดขาดการติดต่อ ภาพลักษณ์ "ผู้ป่วยเจ้าปัญหา" จึงยิ่งเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ
การมาโรงพยาบาลครั้งสุดท้าย จุดเปลี่ยนที่ไม่คาดฝัน
การเข้ารับการรักษาครั้งสุดท้ายของคุณ M เริ่มต้นคล้ายเดิม แต่มีจุดต่างสำคัญจุดหนึ่ง แพทย์รุ่นน้องที่ยังไม่คุ้นเคยกับประวัติของคุณ M ได้ตัดสินใจให้ "ยาละลายลิ่มเลือด" (Thrombolytic agent) ซึ่งเป็นมาตรฐานการรักษาในขณะนั้นสำหรับผู้ป่วยที่สงสัยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ก่อนที่จะส่งไปฉีดสีดูหลอดเลือดหัวใจ
ยาละลายลิ่มเลือด ทำหน้าที่ตามชื่อเลยครับ คือสลายลิ่มเลือดที่อาจอุดตันในหลอดเลือด แต่ยากลุ่มนี้มี ความเสี่ยงที่สำคัญมาก คือ ทำให้เลือดออกง่ายผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เลือดออกในสมอง ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิต
คุณหมอ Earnest ได้เตือนแพทย์รุ่นน้องถึงความเสี่ยงเรื่องเลือดออกนี้ และแจ้งเกี่ยวกับพฤติกรรมของคุณ M พร้อมแนะนำให้ใช้มอร์ฟีนและ Lorazepam ได้ค่อนข้างเต็มที่ เพื่อควบคุมอาการและพฤติกรรม คุณ M จึงได้รับยาแก้ปวดและยานอนหลับอย่างรวดเร็วตามปกติ
สัญญาณอันตรายที่ถูกมองข้าม
เย็นวันนั้น คุณหมอ Earnest มีงานยุ่งมาก และไม่ได้สังเกตว่าไม่มีใครติดต่อมาเรื่องคุณ M เลย พอเช้าวันรุ่งขึ้น ตอนเดินราวด์ พบว่าคุณ M ยังคงหลับอยู่ ถาดอาหารเช้าวางอยู่ข้างเตียง ไม่ได้แตะต้อง ในตอนแรก ทุกคนไม่ได้เอะใจนัก เพราะคิดว่าเป็นผลจากยา Lorazepam ขนาดสูงที่ได้รับไปเมื่อคืน
เมื่อพยาบาลพยายามปลุก คุณ M ลืมตาขึ้นมาเพียงครู่เดียว พึมพำว่า "อย่ามายุ่ง" แล้วก็หลับต่อ การตรวจร่างกายทางระบบประสาทเบื้องต้นไม่พบความผิดปกติ รูม่านตายังตอบสนองต่อแสง คุณหมอ Earnest จึงสั่งให้ฉีด "ฟลูมาซีนิล" (Flumazenil) ซึ่งเป็นยาต้านฤทธิ์ของ Lorazepam และแนะนำว่าหากยังไม่ตอบสนอง ให้ฉีด "นาโลโซน" (Naloxone) ยาต้านฤทธิ์มอร์ฟีน เผื่อว่าฤทธิ์กดประสาทจากมอร์ฟีนอาจมีส่วนร่วมด้วย
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา พยาบาลแจ้งว่าคุณ M ตอบสนองต่อยา Flumazenil แล้ว พอช่วงบ่าย คุณหมอ Earnest กลับมาที่หอผู้ป่วยอีกครั้ง พยาบาลที่ดูแลอยู่บอกว่า "อาการปกติดีค่ะ" และ "หลับเหมือนเด็กทารกเลย"
แต่เมื่อคุณหมอ Earnest เข้าไปในห้อง เขาพบคุณ M นอนราบ ถาดอาหารกลางวันยังคงไม่ได้แตะต้อง ครั้งนี้ คุณ M ไม่ตอบสนองต่อการเรียกหรือการกระตุ้นใดๆ เลย ที่น่าตกใจคือ รูม่านตาข้างซ้ายขยายกว้าง และไม่ตอบสนองต่อแสงไฟ ผล CT Scan สมองยืนยันสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ภาวะเลือดออกในสมองอย่างรุนแรง (Massive intracerebral hemorrhage)
บทเรียนราคาแพงและความเห็นอกเห็นใจที่มาช้าไป
คุณ M ถูกใส่ท่อช่วยหายใจและใช้เครื่องช่วยหายใจ มีการผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะเพื่อลดความดันในสมอง แต่เขาก็ไม่ฟื้นคืนสติอีกเลย ข้อมูลติดต่อฉุกเฉินเพียงหนึ่งเดียวคือเจ้าของบ้านเช่า ซึ่งไม่มีข้อมูลญาติพี่น้อง หลายวันต่อมา คุณ M ก็เสียชีวิตลงอย่างโดดเดี่ยว
เหตุการณ์นี้ทิ้งคำถามและความรู้สึกหนักอึ้งไว้ให้คุณหมอ Earnest ความรับผิดชอบเป็นประเด็นแรกที่ผุดขึ้นมา เห็นได้ชัดว่ายาละลายลิ่มเลือดเป็นสาเหตุของอันตรายที่เกิดขึ้น และเพราะความสะดวก หรืออาจเป็นเพราะความคุ้นชินกับพฤติกรรมเดิมๆ สัญญาณเตือนภัยสำคัญ คืออาการซึมลงผิดปกติและความเงียบที่ไม่เคยเป็นของคุณ M กลับถูกมองข้ามไป ถูกตีความว่าเป็น "ภาวะสงบ" ที่น่าพอใจจากพฤติกรรมก่อกวนตามปกติของเขาเสียมากกว่า
คุณหมอ Earnest เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า เขาได้มอบหมายความรับผิดชอบให้ทีมดูแลมากเกินไปหรือไม่ และที่สำคัญกว่านั้นคือ อคติที่เขามีต่อคุณ M ได้ถูกส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ โดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า?
ข้างเตียงของคุณ M ในวาระสุดท้ายนั่นเอง ที่คุณหมอ Earnest ได้สัมผัสถึงความเห็นอกเห็นใจที่ยากจะเข้าถึงได้ตอนที่คุณ M ยังมีชีวิตอยู่ เขาสงสัยว่าในวัยเด็ก คุณ M เป็นคนอย่างไร มีบาดแผลหรือประสบการณ์ชีวิตแบบไหนที่หล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนแบบนี้ และเมื่อไหร่กันที่คนรอบข้างเลิกมองเขาในฐานะ "เหยื่อ" ของสถานการณ์บางอย่าง แล้วเริ่มมองเขาเป็นเพียง "ปัญหา" ที่ต้องจัดการ
มองให้ลึกกว่าแค่ "ยา" และ "อาการ"
เรื่องราวของคุณ M เป็นเครื่องเตือนใจสำคัญครับ ในฐานะเภสัชกร ผมมองเห็นประเด็นเรื่องความปลอดภัยของยาเป็นอันดับแรก ยาละลายลิ่มเลือดมีประโยชน์มากในสถานการณ์ที่ถูกต้อง แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงสูงที่ต้องประเมินอย่างรอบคอบ การใช้ยาหลายตัวร่วมกัน โดยเฉพาะยากดประสาทอย่างมอร์ฟีนและ Lorazepam ก็เพิ่มความเสี่ยงของการซึมและการหายใจช้าลง ซึ่งอาจบดบังสัญญาณอันตรายอื่นๆ ได้ (แม้ในกรณีนี้ สาเหตุหลักคือเลือดออกในสมองก็ตาม)
ข้อมูลจากหน่วยงานสุขภาพ เช่น องค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอเมริกา ก็มีการเตือนถึงความเสี่ยงของการใช้ยา Opioids และ Benzodiazepines ร่วมกันอยู่เสมอ
แต่บทเรียนที่ลึกซึ้งกว่านั้น คือเรื่องของ "มนุษย์" ครับ การตีตราผู้ป่วยว่าเป็น "คนเรื่องเยอะ" หรือ "เจ้าปัญหา" อาจนำไปสู่อคติโดยไม่รู้ตัว ทำให้เรามองข้ามสัญญาณเตือนภัยที่สำคัญได้ ความเหนื่อยหน่าย ความคุ้นชิน อาจทำให้เราลดทอนความใส่ใจในรายละเอียดลง
เรื่องนี้ไม่ได้ต้องการหาคนผิด แต่ชวนให้เราทุกคน ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วย และญาติ ลองถามตัวเองว่า
เราจะป้องกันไม่ให้อคติส่วนตัวส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจทางการแพทย์ได้อย่างไร? ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) ควรเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ จำเป็นต้องรอให้เกิดวิกฤตก่อนหรือไม่?
1
ในฐานะผู้ป่วยหรือญาติ เราจะสื่อสารความต้องการและความกังวลของเราให้ชัดเจนได้อย่างไร เพื่อให้ทีมแพทย์เข้าใจบริบทของเรามากขึ้น
ผมหวังว่าเรื่องราวของคุณ M จะเป็นจุดเริ่มต้นให้เราได้พูดคุยและมีการสื่อสารที่ดีและเกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพราะนั่นคือหัวใจสำคัญของการดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพและปลอดภัยครับ
แหล่งอ้างอิง:
Weiss, M. (2025, April 9). When a 'Difficult' Patient Dies Unexpectedly. Medscape Medical News. (ข้อมูลหลักจากไฟล์ PDF ที่ให้มา)
U.S. Food and Drug Administration (FDA). (Updated September 20, 2020). FDA Drug Safety Communication: FDA requires Boxed Warning updated to improve safe use of benzodiazepine drug class.
โฆษณา