12 เม.ย. เวลา 13:17 • ธุรกิจ

“ระบบการจัดการองค์ความรู้: จากประสบการณ์ สู่ความเป็นเลิศ”

โดย พฤฒิพงษ์ เชิดเกียรติกุล
ในยุคที่โลกหมุนเร็ว การเรียนรู้ให้เร็วกว่าคู่แข่ง อาจเป็นข้อได้เปรียบที่ยั่งยืนที่สุดขององค์กร
จากประสบการณ์กว่า 25 ปี ในแวดวงอุตสาหกรรมพลังงานระดับโลก ทั้งในเอเชียแปซิฟิก ปากีสถาน แอฟริกาใต้ และประเทศไทย ผมได้เห็นว่า “องค์กรที่สามารถเปลี่ยนประสบการณ์ของบุคลากร ให้กลายเป็นระบบการเรียนรู้ที่พัฒนาองค์กรได้อย่างยั่งยืน” คือองค์กรที่เติบโตได้จริง
1
บทความนี้จะชวนคุยถึง 4 หัวใจของการสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้:
1
• ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge)
– องค์ความรู้ที่เขียนไว้แล้ว เช่น คู่มือปฏิบัติงาน (SOP), นโยบายบริษัท ฯลฯ
• ความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge)
– องค์ความรู้จากประสบการณ์ เช่น ช่างเทคนิคที่ทำงานมากว่า 30 ปี — สิ่งเหล่านี้ไม่มีในตำรา
2
• ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (Subject Matter Experts: SMEs)
– ไม่ใช่แค่เก่งงาน แต่ “ถ่ายทอดเป็น” ด้วย
– ช่างฝีมือที่แท้จริง คือผู้มีศิลปะในการสอนผู้อื่น
1
• การสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization)
– ไม่สำคัญว่าความรู้จะถูกเก็บไว้ใน ERP, SAP, Excel หรือแม้แต่ในกระดาษ
– สำคัญที่ต้อง “เข้าถึงได้ง่าย” และใช้ในการพัฒนาคนทุกระดับ
– ไม่ใช่แค่ทำตาม แต่ “เข้าใจและประยุกต์ใช้ได้”
• สมรรถนะมนุษย์ และความยืดหยุ่นขององค์กร (Human Performance & Organizational Resilience)
– ความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์
– ระบบที่ดีไม่ใช่แค่ป้องกันความผิดพลาด แต่ “ฟื้นตัวได้เมื่อผิดพลาด”
บทสรุป:
องค์กรที่ยืดหยุ่นได้ ต้องเริ่มจากคนที่ยืดหยุ่นได้
ความรู้ไม่ใช่อำนาจ — แต่ “การแบ่งปันความรู้” ต่างหากที่ทรงพลังที่สุด
เรามาร่วมกันสร้างองค์กรที่เรียนรู้ เติบโต และปรับตัวได้อย่างมั่นใจไปด้วยกันครับ
ดูโพสต์ต้นฉบับบน LinkedIn ได้ที่นี่
References (for those who’d like to dive deeper):
• Nonaka & Takeuchi’s SECI Model – Knowledge Conversion Theory
• Peter Senge’s The Fifth Discipline – The Learning Organization
• Human Performance Improvement (HPI) – Performance-Based Learning
• TQA / Baldrige Framework – Organizational Capability Development
1
#ExecutiveCafe #ระบบจัดการความรู้ #องค์กรแห่งการเรียนรู้
#การพัฒนาศักยภาพบุคลากร #SMEs #TacitKnowledge #HumanPerformance #Prudtipong
โฆษณา