12 เม.ย. เวลา 21:44 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ณ วันที่ 13 เมษายน 2025

เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง หลังจากช่วงสัปดาห์ที่มีความผันผวนอย่างรุนแรงในตลาดหุ้นทั่วโลกความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้น รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจที่ปะปนกัน ได้สร้างเงาแห่งความไม่แน่นอนที่กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนขณะที่ทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญทั่วโลกยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่กำเนินเส้นทางการฟื้นตัวเศรษฐกิจ
การกลับมาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และนโยบายภาษีเชิงรุกของเขาได้สร้างความวิตกกังวลอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจโลกนักลงทุนและผู้กำหนดนโยบายกำลังจับตาดูผลกระทบของการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
สาเหตุหลักของความผันผวนเศรษฐกิจโลก: สงครามการค้ารุนแรงขึ้น
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนได้กลายเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศเพิ่มภาษีสินค้าจีนเป็น 145% ในขณะที่จีนตอบโต้ด้วยการเพิ่มภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ เป็น 125% จากเดิม 84%การขึ้นภาษีนำเข้าไม่เพียงแต่มีผลต่อสหรัฐฯ และจีนเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อคู่ค้าสำคัญอย่างแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% สำหรับสินค้าทุกประเภท
สงครามการค้านี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกอย่างไม่เคยเห็นมาก่อนบริษัทข้ามชาติหลายแห่งหันมาให้ความสำคัญกับความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานมากกว่าการแสวงหาต้นทุนที่ต่ำที่สุดการย้ายฐานการผลิตเข้าใกล้ตลาดมากขึ้น (Near-shoring) กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญในการลดความเสี่ยง แม้ว่าจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น
นโยบายการเงินท่ามกลางความไม่แน่นอน
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 3 ครั้งในปี 2024 เพื่อรับมือกับสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจและตลาดแรงงานการประชุมในวันที่ 17-18 กันยายน 2024 มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.5% สู่ระดับ 4.75-5.00% ซึ่งเป็นการลดครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปีตามด้วยการปรับลดอีก 0.25% เป็น 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 6-7 พฤศจิกายน 2024และลดลงอีก 0.25% เป็น 4.00-4.25% ในการประชุมวันที่ 17-18 ธันวาคม 2024
ตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะลดดอกเบี้ยลงมากกว่า 90 basis points ในปี 2025 โดยเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนอย่างไรก็ตาม นโยบายการคลังเชิงรุกของรัฐบาลสหรัฐฯ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทำให้เกิดความต้องการสินค้าและบริการที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อ
กระทรวงเศรษฐกิจและการคลังเกาหลีใต้ได้ออกรายงาน "กรีนบุ๊ก" (Green Book) เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์เศรษฐกิจในภูมิภาคในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) แสดงความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อนโยบายการเงินและเศรษฐกิจโลก
ผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก
ตลาดหุ้นทั่วโลกกำลังเผชิญกับความผันผวนอย่างรุนแรงการประกาศนโยบายภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์ทำให้เกิดการเทขายอย่างหนักในตลาดหุ้นทั่วโลกดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลงมากกว่า 10% ในช่วงสองวันทำการสุดท้ายของสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นผลงานที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง
ในวันที่ 9 เมษายน 2568 ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดร่วงเกือบ 4% หลุดระดับ 32,000 จุด ท่ามกลางแรงเทขายที่เพิ่มสูงขึ้นจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดร่วงลงกว่า 13% ในวันที่ 7 เมษายน 2568 ซึ่งปรับตัวลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2540
ตลาดหุ้นยุโรปก็ประสบกับภาวะตลาดตกเช่นกัน โดยปิดร่วงลงอย่างหนักหลังจากที่จีนประกาศขึ้นภาษีตอบโต้การขึ้นภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์ดัชนี DAX ของเยอรมนีลดลง 1% และ FTSE ของลอนดอนลดลง 0.8%
บริษัทในอุตสาหกรรมต่างๆ ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจโลกบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Volkswagen และ Stellantis ไม่เพียงต้องเผชิญกับการลดลงของรายได้ แต่ยังต้องทบทวนกลยุทธ์การผลิตและห่วงโซ่อุปทานทั้งระบบ
ความผันผวนในตลาดเงินและอัตราแลกเปลี่ยน
ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนได้รับผลกระทบอย่างมากจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักหลายสกุล รวมถึงเปโซเม็กซิโก (MXN) ดอลลาร์แคนาดา (CAD) และยูโร (EUR) เนื่องจากนักลงทุนมองหาสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอน
เงินเปโซเม็กซิโกและดอลลาร์แคนาดาอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ดิ่งลงอย่างหนักเทียบสกุลเงินหลัก ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ
เงินดองของเวียดนาม ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ รายใหญ่ ได้รับผลกระทบอย่างมาก ค่าเงินดองแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์และต่ำกว่าระดับสูงสุดในเดือนกันยายนปีที่แล้วประมาณ 5%แม้ว่าค่าเงินที่อ่อนลงจะทำให้สินค้าส่งออกเวียดนามมีราคาถูกลง แต่อาจไม่เพียงพอที่จะชดเชยความเสียหายจากภาษีนำเข้าสูงของสหรัฐฯ
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์และทองคำ
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันศุกร์ (11 เม.ย. 2568) ทะลุระดับ 3,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงทองคำได้กลายเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยท่ามกลางความผันผวนของตลาดส่งผลให้หุ้นของบริษัทเหมืองทองคำอย่าง Newmont และ Barrick Gold ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.8% และ 2.6% ตามลำดับ
ในขณะเดียวกัน สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 7% ในวันศุกร์ (4 เม.ย. 2568) แตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปีนักลงทุนกังวลว่าสงครามภาษีของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลก
สัญญาทองแดงตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (27 มี.ค.) ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศนโยบายภาษีภาคพลังงานได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยมูลค่าการค้าที่เสี่ยงสูงถึง 165 พันล้านดอลลาร์
ภาคธนาคารและสถาบันการเงิน
หุ้นกลุ่มธนาคารทั่วโลกได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการขายทิ้ง โดยหุ้นธนาคารในยุโรปและญี่ปุ่นได้สูญเสียมูลค่าประมาณ 20% ในช่วงสามวันทำการที่ผ่านมาในยุโรป หุ้นธนาคารที่เคยปรับตัวขึ้นจากความคาดหวังเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตที่สดใสในระยะยาวหลังจากเยอรมนีประกาศมาตรการกระตุ้นการคลังขนาดใหญ่ ได้ลดลง 15% ในสามวัน ซึ่งเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่วิกฤติโควิด
ในทางตรงกันข้าม รายงานผลประกอบการของธนาคารใหญ่ในสหรัฐฯ แสดงให้เห็นความแข็งแกร่ง JPMorgan Chase และ Wells Fargo รายงานกำไรที่สูงขึ้น ซึ่งช่วยเสริมความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ บางส่วนขณะที่บริษัทจัดการสินทรัพย์ BlackRock ก็มีผลประกอบการไตรมาสแรกที่ดี
ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยส่งผลให้คาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางขนาดใหญ่เร็วขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วถือเป็นบรรยากาศที่ไม่ดีสำหรับธนาคารนอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น และความเสี่ยงด้านหนี้ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเงิน
สถานการณ์เศรษฐกิจไทย
เศรษฐกิจไทยในสัปดาห์ล่าสุดสะท้อนสัญญาณขยายตัว โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม 2568 ปรับตัวในระดับที่น่าพอใจนอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจการคลังภูมิภาคในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ก็แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ดีขึ้น
สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวในระดับสูงอย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยมีความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการค้าและการลงทุนท่ามกลางความท้าทายใหม่ๆ ที่เข้ามา ไม่ว่าความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ และปัญหาเงินเฟ้อที่อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
วิจัยกรุงศรีคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตในอัตรา 2.9% ในปี 2568 เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่คาดว่าจะขยายตัว 2.7%โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐที่เร่งตัวขึ้นจากการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2568 มูลค่าเกือบ 1 ล้านล้านบาท เพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจรวมถึงการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะแตะระดับ 40 ล้านคน เทียบเท่าช่วงก่อนโควิด-19 เพิ่มขึ้นจาก 35.6 ล้านคนในปี 2567
ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจยังคงอยู่ในระดับสูงหลังจากที่โลกต้องเผชิญกับความไม่มั่นคงจากหลายปัจจัย ทั้งการระบาดใหญ่ของโควิด-19 การพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ภัยพิบัติทางสภาพอากาศ และเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นอาจทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเกิดความปั่นป่วนในตลาดการเงิน ชะลอการตัดสินใจบริโภคและลงทุนของประชาชนและธุรกิจ และทำให้ผู้ปล่อยกู้เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ
หากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้นเหมือนช่วงวิกฤติการเงินโลก ความเสี่ยงด้านลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้น 1.2%ซึ่งหมายความว่าหากเศรษฐกิจโลกคาดการณ์ว่าจะเติบโต 0.5% ในสถานการณ์ที่เลวร้าย ก็อาจจะหดตัวลง 0.7%ผลกระทบทางเศรษฐกิจนี้อาจแตกต่างกันในแต่ละประเทศ และอาจรุนแรงขึ้นเมื่อระดับหนี้ของภาครัฐและเอกชนสูงเมื่อเทียบกับขนาดของเศรษฐกิจ
นายแลร์รี ฟิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแบล็คร็อค บริษัทบริหารสินทรัพย์ใหญ่ที่สุดในโลก กล่าวว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังอ่อนแอลงจนถึงขั้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอลงนอกจากนี้ นายคาร์ล ไวน์เบิร์ก หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก High Frequency Economics เปิดเผยว่านโยบายเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง
กลยุทธ์การลงทุนในภาวะตลาดผันผวน
การลงทุนในเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเงินเฟ้อ (Inflation-Led Growth Economy) จำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจนักลงทุนควรพิจารณาการลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่สามารถส่งผ่านต้นทุน (Cost Pass-Through) เช่น สินค้าอุปโภค-บริโภค พลังงานและวัตถุดิบ และสินค้าแบรนด์พรีเมียม ที่ผู้บริโภคยอมจ่ายในราคาที่สูงขึ้น
นอกจากนี้ การลงทุนในสินทรัพย์ที่เชื่อมโยงกับเงินเฟ้อ เช่น อสังหาริมทรัพย์ สินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำ และหุ้นที่มีการป้องกันเงินเฟ้อ อย่างพันธบัตรรัฐบาลที่มีผลตอบแทนปรับตามอัตราเงินเฟ้อ ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจการกระจายการลงทุนในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดที่มีการเติบโตสูง เช่น อินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาจเสนอโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าประเทศที่มีปัญหาอัตราเงินเฟ้อสูง
ปี 2025 เป็นปีที่ตลาดต้องปรับตัวต่อการเมืองและนโยบาย นักลงทุนควร "Zoom Out" และมองจังหวะลงทุนในระยะยาววัฏจักรเศรษฐกิจและการเมืองสามารถช่วยให้จับจังหวะการเข้าลงทุนใน Medium-Long Term ได้การทยอยลงทุนในจังหวะที่ต้นทุนยังต่ำ อาจเป็นโอกาสสำคัญสำหรับการเติบโตในปี 2026-2027 ซึ่งจะเป็นช่วงที่นโยบายเริ่มส่งผลชัดเจน
สรุปภาพรวมและแนวโน้มเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจโลกในปี 2025 ยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง ทั้งจากภาวะเงินเฟ้อที่อาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อทั่วโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจก่อให้เกิดความผันผวน และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็วนโยบายภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์ที่คาดว่าจะประกาศอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลก
สงครามการค้าส่งผลให้ตลาดมีความผันผวนสูง และทำให้ความคาดหวังเงินเฟ้อในระยะสั้นของผู้บริโภคพุ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1981นักลงทุนกำลังรอติดตามข้อมูลจากรายงานผลประกอบการของบริษัทและการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้าซึ่งคาดว่าจะให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับวิธีที่ผู้กำหนดนโยบายวางแผนที่จะรับมือกับแรงกดดันเงินเฟ้อและความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เกิดจากนโยบายการค้า
ขณะที่ตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและปรับกลยุทธ์การลงทุนให้ยืดหยุ่นและสอดคล้องกับสภาวะตลาด การลงทุนที่หลากหลายและการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมจะเป็นกุญแจสำคัญในการนำทางผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายนี้
Verified by Kritsada S.
โฆษณา