13 เม.ย. เวลา 05:11 • หุ้น & เศรษฐกิจ

📱 iPhone จะเป็นไงต่อ? หลัง Apple รอดพ้นวิกฤตภาษีครั้งประวัติศาสตร์! 💰

เรื่องของเรื่องคือ อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยขู่ว่าจะตั้งกำแพงภาษีสินค้าที่ผลิตในจีนสูงถึง 125% ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริงนี่กระทบ Apple เต็มๆ เลยค่ะ เพราะสินค้าหลักๆ อย่าง iPhone ส่วนใหญ่ก็ผลิตในจีนทั้งนั้น ทำให้เรื่องนี้ร้ายแรงพอๆ กับตอนที่ซัพพลายเชนปั่นป่วนเพราะโควิดเมื่อ 5 ปีก่อนเลยนะคะ
🥳 ข่าวดี! Apple รอดพ้นกำแพงภาษี (ชั่วคราว)
ล่าสุดเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมาก็มีข่าวดีออกมาค่ะ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ยกเว้นภาษีให้กับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคหลายรายการ ซึ่งรวมถึงสินค้าฮิตของ Apple อย่าง iPhone, iPad, Mac, Apple Watch และ AirTags ด้วย เท่ากับว่า Apple รอดพ้นจากกำแพงภาษี 125% นี้ไปได้
ยังไม่หมดแค่นั้นนะคะ ภาษี 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากประเทศอื่นๆ (นอกเหนือจากจีน) ก็ถูกยกเลิกสำหรับสินค้ากลุ่มนี้ด้วย ถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของ Apple และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังต้องพึ่งพาจีนในการผลิตอยู่มาก
นักวิเคราะห์จาก Evercore ISI ถึงกับบอกว่า "นี่เป็นการปลดล็อกความกังวลครั้งใหญ่ให้ Apple" เพราะถ้าโดนภาษีไปเต็มๆ ต้นทุนจะพุ่งสูงมากแน่นอนค่ะ ส่งผลให้มีการคาดการณ์ว่าข่าวดีนี้น่าจะทำให้หุ้น Apple กลับมาบวกได้ หลังจากที่ร่วงไป 11% ในเดือนนี้
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่บ้างนะคะ เพราะอาจจะมีภาษีตัวใหม่ที่เรียกว่า "sectoral tariff" (ภาษีเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรม) ในอัตราที่ต่ำกว่า สำหรับสินค้าที่มีส่วนประกอบเป็นเซมิคอนดักเตอร์ และภาษี 20% สำหรับสินค้าจากจีนโดยรวมก็ยังคงอยู่
ทำให้นโยบายต่างๆ ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้อีกในอนาคต แต่ ณ ตอนนี้ ผู้บริหาร Apple ก็คงหายใจโล่งอกไปตามๆ กันค่ะ
🎯 เบื้องหลัง: Apple เตรียมแผนรับมือไว้อย่างไร?
ก่อนที่จะมีการประกาศยกเว้นภาษี Apple ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจนะคะ เขามีแผนสำรองอยู่แล้ว คือการปรับเปลี่ยนซัพพลายเชน โดยจะย้ายฐานการผลิต iPhone ที่จะส่งไปขายในสหรัฐฯ ไปยังประเทศอินเดียมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีมหาโหดจากจีน และจะได้ไม่ต้องขึ้นราคาสินค้ามากนัก
ตอนนี้โรงงาน iPhone ในอินเดียมีกำลังการผลิตมากกว่า 30 ล้านเครื่องต่อปี ซึ่งถ้าเร่งผลิตเต็มที่ ก็น่าจะเพียงพอต่อความต้องการในสหรัฐฯ ได้ไม่น้อยเลยค่ะ เพราะปกติแล้ว Apple ขาย iPhone ทั่วโลกปีละประมาณ 220-230 ล้านเครื่อง โดยประมาณ 1 ใน 3 เป็นยอดขายในสหรัฐฯ
แต่การย้ายฐานการผลิตครั้งใหญ่ขนาดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ โดยเฉพาะเมื่อ Apple กำลังจะเปิดตัว iPhone 17 ซึ่งส่วนใหญ่ยังต้องผลิตในจีน
ทำให้การย้ายการผลิตจำนวนมากไปอินเดียหรือที่อื่นในเวลาอันสั้นเป็นเรื่องที่ท้าทายมากๆ และอาจจะต้องขึ้นราคาสินค้า หรือต้องไปต่อรองกับซัพพลายเออร์อย่างหนัก ซึ่งก็สร้างความกังวลภายใน Apple ไม่น้อยเลยค่ะ
📱ความสำคัญของ iPhone และการพึ่งพาจีน
ต้องยอมรับว่า iPhone คือเส้นเลือดใหญ่ของ Apple จริงๆ ค่ะ เพราะทำรายได้ให้บริษัทมากกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมด และประมาณ 87% ของ iPhone ก็ผลิตในจีน (ตามข้อมูลจาก Morgan Stanley)
นอกจากนี้ iPad ประมาณ 80% และ Mac อีก 60% ก็ผลิตในจีนเช่นกัน รวมๆ แล้วสินค้าเหล่านี้สร้างรายได้ให้ Apple ถึง 75% ของรายได้ต่อปีเลยทีเดียว
📦 การกระจายฐานการผลิต: ไม่ใช่แค่จีน
แม้จะพึ่งพาจีนอย่างมาก แต่ Apple ก็พยายามกระจายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นๆ มาสักพักแล้วค่ะ อย่างตอนนี้ Apple Watch และ AirPods เกือบทั้งหมดผลิตในเวียดนามแล้ว รวมถึง iPad และ Mac บางส่วนด้วย และกำลังขยายการผลิต Mac ไปยังมาเลเซียและไทย
ยอดขายในสหรัฐฯ เองก็สำคัญค่ะ ประมาณ 38% ของยอดขาย iPad, และราวๆ ครึ่งหนึ่งของยอดขาย Mac, Apple Watch และ AirPods มาจากตลาดสหรัฐฯ
🇺🇸 ทำไมไม่ย้ายมาผลิตในสหรัฐฯ เลย?
แม้ทรัมป์จะเคยอยากให้ Apple ผลิต iPhone ในสหรัฐฯ แต่ในระยะสั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยค่ะ เพราะขาดทั้งบุคลากรที่มีทักษะด้านวิศวกรรมและการผลิต รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น
ขณะที่โรงงานในจีนมีขนาดใหญ่และมีประสิทธิภาพสูงมาก ยากที่จะหาใครเทียบได้ นอกจากนี้ Apple ยังต้องพึ่งพาฐานการผลิตในจีนเพื่อส่งออกสินค้าไปขายทั่วโลกด้วย เพราะรายได้เกือบ 60% ของ Apple มาจากนอกทวีปอเมริกาค่ะ
⚠️ ความเสี่ยงหากย้ายออกจากจีนเร็วเกินไป
อีกประเด็นที่น่ากังวลคือ ถ้า Apple ย้ายฐานการผลิตออกจากจีนเร็วเกินไป จีนจะตอบโต้อย่างไร? เพราะ Apple ทำรายได้จากจีนถึง 17% และมีร้านค้า Apple Store หลายสิบแห่งในจีน ทำให้ Apple ถือว่ามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับจีนยิ่งกว่าบริษัทอเมริกันอื่นๆ
จีนอาจใช้มาตรการต่างๆ เช่น การตรวจสอบด้านการแข่งขัน หรือสร้างปัญหาด้านศุลกากร เหมือนที่เคยแบนการใช้อุปกรณ์ของสหรัฐฯ (รวมถึง iPhone) ในหน่วยงานรัฐบาลมาแล้ว
🇮🇳 ความเคลื่อนไหวในอินเดีย: ฐานการผลิตใหม่ที่น่าจับตา
ตอนนี้อินเดียกลายเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของ Apple มากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ โดยในช่วง 12 เดือนที่สิ้นสุดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Apple ประกอบ iPhone ในอินเดียคิดเป็นมูลค่าถึง 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นการเพิ่มขึ้นเกือบ 60% จากปีก่อนหน้า
ตัวเลขนี้หมายความว่า ตอนนี้ iPhone ที่ผลิตในอินเดียคิดเป็นสัดส่วนถึง 20% หรือ 1 ใน 5 ของ iPhone ทั้งหมดที่ผลิตทั่วโลกแล้วนะคะ โดยมีซัพพลายเออร์หลักในอินเดียคือ Foxconn และ Tata Group
การเร่งผลิตในอินเดียนี้ ส่วนหนึ่งก็เพื่อกระจายความเสี่ยงออกจากจีน หลังจากที่เคยเจอปัญหาการผลิตหยุดชะงักช่วงโควิด และยังได้แรงหนุนจากนโยบายส่งเสริมการผลิตของรัฐบาลอินเดียภายใต้นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี อีกด้วย
✈️ การส่งออกและการเติบโตในอินเดีย
มีการคาดการณ์ว่า ในปีงบประมาณที่สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2025 Apple จะส่งออก iPhone ที่ผลิตในอินเดียเป็นมูลค่าถึง 1.5 ล้านล้านรูปี หรือประมาณ 1.74 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
การส่งออก iPhone จากอินเดียไปสหรัฐฯ ก็เร่งตัวขึ้นหลังจากทรัมป์ประกาศแผนการเก็บภาษี และด้วยการยกเว้นภาษีล่าสุด ทำให้ iPhone ที่ผลิตในอินเดียตอนนี้ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าในสหรัฐฯ เลย
1
อย่างไรก็ตาม การย้ายฐานการผลิตออกจากจีนทั้งหมดคงต้องใช้เวลาอีกหลายปี เพราะ Apple มีซัพพลายเออร์ในจีนเกือบ 200 ราย และความเชี่ยวชาญในการผลิตของจีนก็ยังเป็นที่ยอมรับ (Tim Cook CEO ของ Apple ก็เคยชื่นชมทักษะของแรงงานจีน)
โดยทางด้าน Bloomberg Intelligence เคยประเมินว่า อาจต้องใช้เวลาถึง 8 ปี ในการย้ายกำลังการผลิตแค่ 10% ออกจากจีน
ปัจจุบัน Apple ประกอบ iPhone ทุกรุ่นในอินเดียแล้ว รวมถึงรุ่น Pro ที่มีราคาสูงด้วย นอกจากนี้ Apple ยังมีส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนในอินเดียเกือบ 8% และทำยอดขาย (ส่วนใหญ่จาก iPhone) ได้เกือบ 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีงบประมาณ 2024
🎯 สรุป
แม้ Apple จะรอดพ้นจากวิกฤตกำแพงภาษีครั้งใหญ่ไปได้ในตอนนี้ แต่ก็ยังต้องจับตาดูสถานการณ์และนโยบายต่างๆ ต่อไปค่ะ สิ่งที่ชัดเจนคือ Apple กำลังเดินหน้ากระจายฐานการผลิตออกจากจีนอย่างจริงจัง โดยมีอินเดียเป็นหมุดหมายสำคัญ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าติดตามต่อไปว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะส่งผลต่อ Apple และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในระยะยาวอย่างไรค่ะ
โฆษณา