14 เม.ย. เวลา 06:20 • การตลาด

ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังใหญ่แค่ไหน

ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศไทยถือเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มโดยรวม และเป็นที่น่าสังเกตว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการบริโภคเครื่องดื่มชูกำลังมากที่สุดในโลก ตัวเลขยอดขายต่อปีที่สูงถึง 2.3 พันล้านขวด แสดงให้เห็นถึงความสำคัญและขนาดของตลาดนี้ในระดับโลก การที่ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่สี่ของตลาดเครื่องดื่มชูกำลังที่ใหญ่ที่สุดในโลก สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมการบริโภคที่หยั่งรากลึก ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตการทำงานและค่านิยมทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานและความแข็งแกร่ง
ในปี 2566 ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศไทยสร้างรายได้ถึง 1,081.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดการณ์ว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจนมีมูลค่าถึง 1,935.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2573 อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่คาดการณ์ไว้ที่ 8.7% ตั้งแต่ปี 2567 ถึง 2573 บ่งชี้ถึงศักยภาพในการขยายตัวที่แข็งแกร่งของตลาดนี้ เมื่อพิจารณาถึงตลาดเครื่องดื่มโดยรวมในประเทศไทย พบว่ามีปริมาณการบริโภคถึง 5.56 พันล้านลิตรในไตรมาสที่ 3 ของปี
2567 และในปี 2566 ตลาดภายในประเทศมีการบริโภคเครื่องดื่มทั้งหมด 13.02 พันล้านลิตร แม้ว่าตลาดเครื่องดื่มโดยรวมจะมีขนาดใหญ่ แต่ มูลค่าของตลาดเครื่องดื่มชูกำลังที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับปริมาณ แสดงให้เห็นว่าเครื่องดื่มชูกำลังมีราคาต่อลิตรที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับเครื่องดื่มประเภทอื่นๆ เช่น น้ำเปล่า
ในอดีตและปัจจุบัน กลุ่มผู้บริโภคหลักของเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศไทยคือกลุ่มผู้ใช้แรงงาน พวกเขามองว่าเครื่องดื่มเหล่านี้เป็นวิธีที่ประหยัดในการเพิ่มพลังงานเพื่อให้สามารถทำงานประจำวันให้สำเร็จลุล่วงได้ ความนิยมของเครื่องดื่มชูกำลังเติบโตควบคู่ไปกับความจำเป็นในการทำงานล่วงเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มแรงงานก่อสร้างที่รายได้อาจไม่ทันกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น
พวกเขาจึงพึ่งพาเครื่องดื่มชูกำลังเพื่อให้สามารถทำงานได้นานขึ้นและมีรายได้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศไทยกำลังมีการเปลี่ยนแปลง โดยผู้บริโภคทั้งกลุ่มใหม่และกลุ่มเดิมเริ่มให้ความสำคัญกับการบริโภคที่เน้นไลฟ์สไตล์มากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้รวมถึงการดื่มเครื่องดื่มชูกำลังเพื่อรสชาติ ความสดชื่น และความเพลิดเพลิน ซึ่งคล้ายคลึงกับการบริโภคเครื่องดื่มอัดลม
และทำให้มีการดื่มในโอกาสต่างๆ มากขึ้น นอกจากนี้ แบรนด์ต่างๆ ยังเริ่มมุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้บริโภคใหม่ เช่น กลุ่ม Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับความคิดสร้างสรรค์ ความเป็นตัวของตัวเอง และความสนุกสนาน การเข้าถึงกลุ่ม Gen Z จำเป็นต้องมีความเข้าใจในค่านิยมและความชอบของพวกเขา และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาดให้สอดคล้องกัน เนื่องจากโฆษณาแบบเดิมอาจไม่ดึงดูดพวกเขา
เอ็ม-150: ส่วนแบ่งการตลาดและปัจจัยขับเคลื่อนความสำเร็จ
เอ็ม-150 เป็นแบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังที่ครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับหนึ่งในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ข้อมูล ณ ไตรมาสที่ 1 ปี 2567 แสดงให้เห็นว่ากลุ่มเครื่องดื่มของโอสถสภามีส่วนแบ่งการตลาดโดยรวม 46.4% โดยมีเอ็ม-150 เป็นแบรนด์หลักที่มีส่วนแบ่งการตลาด 32.2% แม้ว่าส่วนแบ่งการตลาดของเอ็ม-150
อาจมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในช่วงเวลาต่างๆ แต่การครองตำแหน่งผู้นำตลาดอย่างต่อเนื่องแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ การกระจายสินค้าที่มีประสิทธิภาพ และกลยุทธ์ทางการตลาดที่เข้าถึงผู้บริโภคชาวไทยมาอย่างยาวนาน ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนความสำเร็จของเอ็ม-150
ได้แก่ การมุ่งเน้นไปที่กลุ่มผู้ใช้แรงงานชายมาตั้งแต่เริ่มต้น ทำให้แบรนด์สร้างฐานผู้บริโภคที่ภักดีได้อย่างแข็งแกร่ง สโลแกน "ทุ่มเท กล้าหาญ เสียสละ" สื่อถึงคุณค่าที่กลุ่มเป้าหมายให้ความสำคัญ นอกจากนี้ การใช้กลยุทธ์การตลาดแบบ Idol และ Sports Marketing อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการจัดโปรโมชั่นที่สร้างสรรค์และเข้าถึงไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เอ็ม-150 ยังคงเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในใจผู้บริโภค
โอสถสภายังมีกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มชูกำลังที่แข็งแกร่ง ซึ่งครอบคลุมผู้บริโภคทุกกลุ่มที่มีกำลังซื้อแตกต่างกัน ซึ่งเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งผู้นำตลาดของเอ็ม-150
คาราบาวแดงเป็นแบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังที่ครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับสองในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม 2567 ระบุว่าคาราบาวแดงมีส่วนแบ่งการตลาด 25% และบริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดเป็น 27-28%
เพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดภายในปีนี้ ความสำเร็จและการเติบโตของคาราบาวแดงมีปัจจัยสำคัญมาจากการสร้างแบรนด์ที่เชื่อมโยงกับวงดนตรีชื่อดัง "คาราบาว" และสโลแกน "คาราบาวแดง: เพื่อพลังกายและใจที่แข็งแกร่ง" การเปิดตัวเครื่องดื่มพร้อมกับการโฆษณาทางโทรทัศน์ที่โดดเด่น โดยมีผู้ก่อตั้งบริษัทและนักร้องร็อคชื่อดัง "แอ๊ด คาราบาว" เป็นพรีเซนเตอร์
ช่วยสร้างการรับรู้และความนิยมในแบรนด์ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ กลยุทธ์ด้านราคาที่แข่งขันได้ โดยคาราบาวแดงยังคงราคาขายปลีกที่ 10 บาทต่อขวด ในขณะที่แบรนด์คู่แข่งปรับราคาขึ้นเป็น 12 บาท ทำให้คาราบาวแดงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับราคา การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์นี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดและก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง
กระทิงแดง ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแบรนด์ Red Bull ระดับโลก ครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับสามในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังของประเทศไทย ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม 2565 ระบุว่ากระทิงแดงมีส่วนแบ่งการตลาด 11% แม้ว่ากระทิงแดงจะเคยเป็นผู้นำตลาด แต่ปัจจุบันอยู่ในอันดับที่สาม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการแข่งขันที่รุนแรงจากแบรนด์ท้องถิ่น กระทิงแดงถือกำเนิดขึ้นในปี 2518 และเปิดตัวในปี 2519
โดยมีเป้าหมายเป็นเครื่องดื่มสำหรับผู้ใช้แรงงานในชนบท ภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ใช้แรงงานได้รับการส่งเสริมจากการสนับสนุนการแข่งขันมวยไทย ซึ่งโลโก้กระทิงแดงสองตัวชนกันปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ แม้ว่าส่วนแบ่งการตลาดจะลดลงจากในอดีต แต่การที่กระทิงแดงยังคงมีอยู่ในตลาดและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง อาจเป็นผลมาจากความที่เป็นแบรนด์ดั้งเดิมและเป็นที่มาของ Red Bull ระดับโลก ซึ่งอาจสร้างความน่าเชื่อถือและความคุ้นเคยให้กับผู้บริโภคชาวไทย
แบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังสำคัญอื่นๆ
ลิโพวิตันเป็นอีกหนึ่งแบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังที่มีบทบาทสำคัญในตลาดประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะแบรนด์ต่างประเทศที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ลิโพวิตันเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผลิตภัณฑ์ของโอสถสภา
ซึ่งช่วยให้แบรนด์ได้รับประโยชน์จากเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่กว้างขวางและความรู้ความเข้าใจในตลาดของโอสถสภา สโลแกน "Gets You Going" สื่อถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขึ้น ซึ่งรวมถึงผู้บริหารที่วุ่นวาย ครัวเรือน และนักกีฬา โดยเน้นที่ประโยชน์ด้านการเพิ่มความตื่นตัว พลังงาน และลดความเหนื่อยล้า นอกจากนี้ ลิโพวิตันยังมีผลิตภัณฑ์ที่เจาะจงกลุ่มเป้าหมาย เช่น Lipo-fine
ซึ่งเป็นเครื่องดื่มชูกำลังสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ มีส่วนผสมของทอรีนคุณภาพจากญี่ปุ่น ปราศจากน้ำตาล และมีรสชาติมิกซ์เบอร์รี การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นผู้หญิงแสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์การแบ่งส่วนตลาดและการตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคเพศหญิงที่ใส่ใจสุขภาพ
สติงเป็นแบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยค่อนข้างใหม่ โดยมีกลยุทธ์ที่เน้นไลฟ์สไตล์และมุ่งเป้าไปที่กลุ่ม Gen Z การเข้ามาของสติงเป็นการเพิ่มการแข่งขันในตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง ซึ่งมีผู้เล่นระดับโลกอย่าง Suntory PepsiCo เป็นผู้สนับสนุน ปัจจัยที่ทำให้สติงดึงดูดผู้บริโภคได้แก่ กลยุทธ์ทางการตลาดที่สร้างสรรค์และเชื่อมโยงกับความเชื่อและวัฒนธรรมไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิด "MuKetting" ที่ผสมผสานความเชื่อทางไสยศาสตร์และจิตวิญญาณ แคมเปญนี้มีการนำขวดสติงสีแดงไปวางไว้ตามศาลเจ้าต่างๆ ทั่วประเทศไทย โดยเชื่อว่าเป็นเครื่องบูชาที่นำความโชคดีมาให้ นอกจากนี้ สติงยังมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น Strawberry Blast ที่มีรสชาติซ่าและหวานกำลังดี การวางตำแหน่งแบรนด์ให้เป็นเครื่องดื่มที่ให้พลังงานเชิงบวกและความรู้สึกดี ยังสอดคล้องกับแนวโน้มการบริโภคที่เน้นไลฟ์สไตล์
เรดดี้เป็นแบรนด์ที่มุ่งเน้นไปที่ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังระดับพรีเมียม โดยให้ความสำคัญกับการนำเสนอรสชาติใหม่ๆ และคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ ในตลาดพรีเมียมที่มีการแข่งขันสูง การสร้างความแตกต่างด้วยรสชาติที่เป็นนวัตกรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญ เรดดี้อาจมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น วิตามิน แร่ธาตุ
หรือสารสกัดจากสมุนไพรต่างๆ เพื่อดึงดูดผู้บริโภคที่พร้อมจ่ายมากขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติพิเศษ ตัวอย่างเช่น เครื่องดื่มฟังก์ชันนอลที่มีส่วนผสมของวิตามินบีรวมและแมกนีเซียมเพื่อช่วยเรื่องอารมณ์และประสิทธิภาพในการทำงาน หรือเครื่องดื่มที่มีวิตามินซีและแอสตรากาลัสเพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
ทิศทางในอนาคตของตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศไทย
ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศไทยยังคงเป็นตลาดที่มีชีวิตชีวาและมีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยมีผู้เล่นหลักที่แข็งแกร่งและแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงไป การเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดได้รับแรงหนุนจากปัจจัยต่างๆ เช่น การเติบโตทางเศรษฐกิจ
วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป และความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการด้านพลังงานและสุขภาพที่เพิ่มขึ้น การทำความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปและการปรับตัวให้เข้ากับพลวัตของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป จะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับแบรนด์ต่างๆ ที่ต้องการประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังของประเทศไทย
โฆษณา