เมื่อวาน เวลา 03:41 • ธุรกิจ

“แมริออทฯ” เดินหน้าลุย ขยาย 41 แห่งทั่วโลก รับดีมานด์ท่องเที่ยวพุ่ง

ซีรีส์ The White Lotus –ฟรีวีซ่าหนุนต่างชาติเพิ่ม “แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล” เดินหน้าลุยขยาย 41 แห่งทั่วโลก พร้อมลงทุนพัฒนา “บุคลากร-บริการ” ปรับกลยุทธ์ “Hyperlocal” เจาะนักท่องเที่ยวไทย - ต่างชาติด้วยประสบการณ์ท้องถิ่น
นายแบรด เอ็ดแมน รองประธานกรรมการประจำประเทศไทย กัมพูชา และเมียนมา แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า ธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากนโยบายของภาครัฐที่เอื้อต่อการเดินทางรูปแบบฟรีวีซ่า (Frictionless Travel) ส่งผลให้จำนวนเที่ยวบินจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนและรัสเซีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง
อีกทั้งปัจจุบันกระแสซีรีส์ระดับโลกอย่าง “The White Lotus” ช่วยดึงกลุ่มนักเดินทางพรีเมียมหันมาสนใจประเทศไทยมากขึ้น เพราะมองเห็นความโดดเด่นในเรื่องธรรมชาติ วัฒนธรรม และการบริการที่เป็นเอกลักษณ์แบบไทย ซึ่งถือเป็นเสน่ห์แท้จริงที่ทำให้ประเทศไทยน่าสนใจในสายตาชาวโลก
ส่วนความเสี่ยงจากสถานการณ์ทางการเมืองในระดับโลกจากสหรัฐฯ และจีน ยังคงต้องติดตามอยู่ตลอด แต่บริษัทยังคงยึดแนวทางเดินหน้าตามแผนธุรกิจหลักที่วางไว้ โดยมองว่าอุตสาหกรรมโรงแรมเป็นธุรกิจระยะยาวที่ต้องปรับตัวให้ทันและพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบ
ปัจจุบันโรงแรมในเครือแมริออทในประเทศไทย กัมพูชา และเมียนมา มีทั้งหมด 64 แห่ง ซึ่งรวมถึงที่พักอาศัย 2 แห่ง ครึ่งหนึ่งของโรงแรมและที่พักเหล่านี้ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ 32 แห่ง ส่วนที่เหลือ 32 แห่งตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ระยอง หัวหิน พัทยา ภูเก็ต เขาหลัก กระบี่ และสมุย
ขณะที่แผนธุรกิจในปี 2568 จะขยายสาขา 41 แห่ง ทั่วโลก ส่วนประเทศไทยมีแผนเปิดโรงแรมใหม่ 5 แห่ง ได้แก่ 1.Pattaya Marriott Resort & Spa (เป็นโรงแรมแบรนด์ Marriott Hotels & Resort แห่งแรกในพัทยา), 2.Tribute Portfolio Metropole Bangkok (เป็นโรงแรมแบรนด์ Tribute แห่งแรกในประเทศไทย),
3.Four Points by Sheraton Krabi Ao Nang Beach Resort, 4.Fairfield by Marriott Krabi Ao Nang Beach Resort (เป็นโรงแรมแบรนด์ Fairfield แห่งแรกในประเทศไทย) 5.Courtyard By Marriott Chalong Bay และที่เปิดตัวล่าสุด Four Points by Sheraton ซอยสุขุมวิท 22
ทั้งนี้บริษัทเร่งขยายพอร์ตโฟลิโอในเซ็กเมนต์ระดับกลาง ควบคู่กับการพัฒนาในทุกเซกเมนต์ เนื่องจากบริษัทมีแบรนด์มากกว่า 30 แบรนด์ และครอบคลุมกว่า 1 หมื่นจุดหมายปลายทางทั่วโลก ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของนักเดินทางทุกกลุ่ม ตั้งแต่นักท่องเที่ยวทั่วไปไปจนถึงนักธุรกิจและกลุ่มครอบครัว
อีกทั้งเรายังเน้นบริการจัดเลี้ยง รวมถึงการจับมือกับพันธมิตรในอีเว้นท์ใหญ่ ๆ เช่น Bangkok Music City และ LiveNation เพื่อเชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ ส่วนกลยุทธ์สำคัญของบริษัทในปีนี้คือการเดินหน้า “Hyperlocal” หรือ การสร้างประสบการณ์ให้เข้าถึงวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในท้องถิ่น เพื่อเจาะตลาดคนไทยและชาวต่างชาติ
ขณะเดียวกัน บริษัทยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม ผ่านแนวคิด “Connect Responsibly” ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น JW Marriott Khao Lak ที่ออกแบบมาให้สอดคล้องกับแนวทางอนุรักษ์พลังงาน
แม้ยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขงบลงทุน แต่บริษัทชี้ว่าได้จัดสรรงบประมาณเพื่อใช้ในการพัฒนาบุคลากร ยกระดับบริการ และขยายเครือข่ายโรงแรมในทำเลใหม่ ๆ เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยจะมองหาโอกาสใหม่ ๆ ในไทย กัมพูชา และเมียนมา ทั้งในด้านที่ตั้งแบรนด์ และประสบการณ์การเข้าพัก
นายแบรด กล่าวอีกว่า สัดส่วนรายได้ของบริษัทแบ่งออกเป็น 3 เซกเมนต์หลัก ได้แก่ กลุ่มลูกค้าแบบกลุ่มหรือจัดประชุมสัมมนา 20%, ลูกค้าองค์กร 20% เช่น บริษัทเอกชน หน่วยงานราชการ และอีก 60% เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยว นักเดินทางรายย่อย ลูกค้าโฮลเซล องค์กรที่เช่าที่พัก และผู้ใช้คะแนนรางวัล
จากข้อมูล Marriott International Global Business ระบุว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวแบบพักสั้น เป็นเซกเมนต์ที่เติบโตเร็วที่สุดในช่วงไตรมาส 4 ที่ผ่านมา โดยมีรายได้ต่อห้องพักเพิ่มขึ้น 15% ส่วนกลุ่มนักเดินทางแบบกรุ๊ปโตขึ้นถึง 33%
สำหรับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในปัจจุบันมีความหลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะ 3 กลุ่มหลักที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างชัดเจน ได้แก่ กลุ่มแรกคือ นักท่องเที่ยวครอบครัว ซึ่งให้ความสำคัญกับความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และกิจกรรมที่ตอบโจทย์ทุกวัย กลุ่มนี้มักเลือกเข้าพักในโรงแรมที่มีบริการครบวงจรและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับเด็กหรือผู้สูงอายุ
กลุ่มที่สองคือ นักเดินทางคนเดียว ที่มองหาประสบการณ์เฉพาะตัว ชอบความยืดหยุ่น และเน้นการใช้เวลาอย่างคุ้มค่า อีกกลุ่มคือ นักท่องเที่ยวหลายเจเนอเรชั่น เป็นการเดินทางพร้อมกันหลายช่วงวัยในครอบครัวเดียวกัน ต้องการบริการที่หลากหลายและยืดหยุ่น เช่น ห้องพักแบบเชื่อมต่อ พื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ และกิจกรรมที่สามารถเข้าร่วมได้พร้อมกัน
โฆษณา