15 เม.ย. เวลา 23:56 • ครอบครัว & เด็ก

แผนลดประชากรโลกเป้าหมายสูงสุด ขบวนการไซออนิสการก่อการร้ายซ่อนรูป.ถอนมนุษย์ออกจากศาสนาและยึดครองโลก

. #แผนการยึดครองโลก ของ ยิว ไซออนิสต์ .ตอนที่ 1-4
📌1 ควบคุมสื่อ ทุกชนิด ทุกประเภท นิตยสาร หนังสือพิมพ์ อื่นๆ📌2แผน ถอดถอนมนุษย์ออกจากศาสนาและจริยธรรมที่ดีงาม
📌3 ควบคุม องกรณ์ตำรวจ ทุกประเทศบนโลกนี้ (ซัพพอร์ตกฏหมาย) 📌4แผน ลดประชากรโลก และ ล้ม ระบอบกษัตริย์ที่ดีงาม
📌5 แผน เอาทรัพยากรทั่งโลกใว้ในกำมือ เช่น ทองคำ น้ำมัน สินแร่ต่างๆ รวมถึง บุคลากร ไอคิว สูงๆเพื่อทำงานไห้ องกรณ์ไซออนิสต์ และ อื่นๆ 👉 แผนงานอยู่ใน โปโตคอลมี 24 บท. ยุคสมัย ปรัชญา
8
หากจะปฏิเสธก็ย้อนไป อดีต ที่เกี่ยวข้อง ทุกสงครามได้ ทั่งเล็กและไหญ่ ทุกอย่างไม่ใช่เรื่อง บังเอิญ. ยิว ไซออนิสต์มีความเชื่อว่า 📌มีน้ำเชื้อมันโดยตรงที่ได้เข้าสวรรค์ น้ำเชื้ออื่นเป็นแค่สัตว์พาหนะไห้มันไช่งานบนโลกนี้ (จาก โปรโตคอลและตัลมุส)วิเคราะห์ วิวัฒนาการ มนุษย์มาจาก ลิงดู เป็นคำกล่าวของยิว ไส่ความเชื่อ สัตว์แล้วเข้าในความเชื่อทุกอย่างจะปกครองง่าย📌 ยิว ไซออนิสต์ ต้องเตรียมพร้อมสรรพ เพื่อรอการมาของ จักพรรดิ คือ ดัจญาน. 📌
ธุรกิจที่ทำกำไรสูงสุด 2 ประการ คือ สงครามและโรคภัย
( โปรดแชร์ ไห้ ลูกหลาน พี่น้อง เพื่อนร่วมแผ่นดินของท่านตื่นรู้ )
กำเนิดของขบวนการไซออนิสต์ซ่อนรูป ตอนที่ 1 .
ขบวนการไซออนิสต์เริ่มปรากฏเป็นรูปธรรมในปี ค.ศ.1897 เมื่อนักหนังสือพิมพ์ชาวออสเตรีย เชื้อสายยิว ชื่อ ธีโอดอร์ เฮอร์ตเซิล (Theodore Hertzl) ได้จัดประชุมใหญ่ผู้นำยิวคนสำคัญ ๆ ขึ้นเป็นครั้งแรก ที่เมืองบาเซิล ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ มีผู้เข้าร่วมมากกว่าสามร้อยคน และที่ประชุมครั้งนั้นได้มีมติให้จัดตั้งองค์การหนึ่งขึ้นมาเรียกว่า “องค์การไซออนิสต์สากล” (The world Zionist Organization)
📌 #อุดมการณ์ของขบวนการไซออนิสต์
ภายหลังการประชุมของผู้นำขบวนการไซออนิสต์ มีเอกสารที่รู้จักกันว่า “ปฏิญญาสากลของปราชญ์อาวุโสแห่งไซออน” (The Protocol of The Elder of Zion) เผยแพร่ออกมา แม้จะมีการกำจัดผู้มีส่วนนำเอกสารนี้สู่สายตาชาวโลกด้วยวิธีการทารุณ โหดร้าย ต่าง ๆ นานา
แต่ก็มิอาจปิดบังความจริงของเอกสารที่เปิดเผยให้เห็นธาตุแท้ของขบวนการไซออนิสต์ได้ ปฏิญญาดังกล่าวแสดงถึงอุดมการณ์บางอย่างที่ต้องการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษยชาติให้เป็นไปในเชิงการรับใช้วัตถุประสงค์ของผู้นำขบวนการ เป็นอุดมการณ์ซึ่งครอบคลุมทั้งมิติทางความเชื่อ สังคม/การเมือง และเศรษฐกิจ ซึ่งผู้รักในการศึกษาค้นคว้าอย่าง ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ ถอดความไว้บางส่วน ดังนี้
1
📌 1.ในมิติทางความเชื่อ
“พระผู้เป็นเจ้าทรงอนุญาตให้เราผู้เป็นประชากรที่ได้รับการคัดสรรแล้วจากพระองค์ ได้สร้างพรสวรรค์อันเกิดจากการต้องอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย ซึ่งดูคล้ายเป็นความอ่อนแอของเรา แต่ที่จริงกลับเป็นพละกำลังของเรา ซึ่งกำลังนำเราไปสู่ความมีอำนาจสูงสุดเหนือโลกทั้งโลก”
“ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกมานี้จะมาจากเบื้องบน เพื่อทำลายพลังอันไร้สาระที่เคลื่อนไหวไปตามสัญชาตญาณ มิใช่โดยเหตุผล เคลื่อนไหวไปด้วยความเป็นสัตว์ มิใช่ความเป็นมนุษย์ ขณะนี้...พลังเหล่านี้กำลังแสดงชัยชนะด้วยการสำแดงออกซึ่งการปล้นสะดม และการใช้ความรุนแรงทุกชนิด ภายใต้หน้ากากของหลักการแห่งอิสรภาพและเสรีภาพ พวกมันได้โค่นล้มความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคมทุกรูปแบบ เพื่ออะไรหรือ...???
ก็เพื่อให้ซากปรักหักพังเหล่านี้กลายเป็นฐานรองรับบัลลังก์ของกษัตริย์ชาวยิวนั่นเอง และบทบาทของพวกมันจะยุติลง เมื่อกษัตริย์ของเราได้เข้าไปสู่อาณาจักรของพระองค์ และจะกวาดล้างพวกมันให้ออกไปจากทางของพระองค์เสีย เพื่อให้หนทางนั้นราบเรียบ ปราศจากเสี้ยนหนามปุ่มปมใด ๆ ... ครั้นแล้วชาวยิวทั้งหลายก็จะกล่าวกับประชาชาติของโลกทั้งโลกว่าว่า...จงขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าของเรา และจงคุกเข่าโค้งคำนับพระองค์ พระองค์ทรงมีตราแห่งการกำหนดชะตากรรมของมนุษย์
2
และจะไม่มีใครอื่นนอกจากพระองค์ที่จะสามารถปลดปล่อยมนุษย์ให้พ้นไปจากความชั่วร้ายทั้งหลายได้...กษัตริย์แห่งอิสราเอลนั้นจะเป็นพระสันตะปาปาที่แท้จริงแห่งสากลโลก เป็นบิดาแห่งศาสนาสากล และเป็นบิดาของคนทั้งโลก...”
📌📌 2. ในมิติทางสังคม/การเมือง
“อำนาจของเราจะมีอยู่ท่ามกลางสภาพอันง่อนแง่นของอำนาจทุกรูปแบบ และเป็นอำนาจที่เหนียวแน่นมากกว่าอำนาจอื่นใด เพราะยังคงเป็นอำนาจที่ไม่มีใครมองเห็น
จนกระทั่งเมื่อถึงเวลาที่มันมีพลังสูงสุด ก็จะไม่มีอำนาจหรือเล่ห์เหลี่ยมใด ๆ สามารถทำลายมันลงได้อีกเลย” “นี่แหละคือเหตุผลที่ทำไมเราถึงต้องทำลายความศรัทธาทั้งมวลลงไปให้หมด ต้องยึดเอาหลักการความเชื่อที่มีต่อพระเจ้าออกไปเสียจากจิตใจของพวกกอยยิม(พวกที่ไม่ใช่ยิว) แล้วเอาการคำนวณทางคณิตศาสตร์และความต้องการทางวัตถุใส่เข้าไปแทนที่ เพื่อไม่ให้พวกมันมีเวลาคิดและสังเกตสังกา เราจะต้องเบี่ยงเบนความสนในพวกมันไปยังการค้าและการอุตสาหกรรม
2
เพื่อให้ชาติทุกชาติถูกดูดกลืนเข้าไปสู่การแสวงหาผลประโยชน์และการแข่งขันเพื่อผลกำไร และพวกมันจะมองไม่เห็นศัตรูที่แท้จริงของมันได้
และเพื่อจะขจัดอิสรภาพออกไปจากชุมชนของพวกมันให้หมด เราจะต้องเอาอุตสาหกรรมมาวางเอาไว้บนพื้นฐานแห่งการเสี่ยงโชค เพื่อให้ผลของมันลื่นหลุดไปจากมือผ่านเข้าไปสู่ระบบแห่งการเสี่ยงโชค... นั่นก็คือ... ผ่านเข้ามาสู่มือของเรา...อุตสาหกรรมจะสูบเอาแรงงานและเงินทุนออกไปจากที่ดิน และถ่ายโอนเงินทั้งโลกเข้ามาสู่มือเราด้วยระบบการเสี่ยงโชคหากำไร และมันจะทำให้พวกกอยยิมทั้งหลายล้วนแล้วแต่ต้องกลายเป็นคนชั้นต่ำในแต่ละชุมชน”
“การต่อสู่แข่งขันเพื่อความวิเศษกว่ากันในทางเศรษฐกิจเช่นนี้นี่แหละ ย่อมจะสร้างชุมชนที่แล้งน้ำใจ เย็นชา และปราศจากหัวใจขึ้นมา ชุมชนเหล่านั้นจะหล่อเลี้ยงความเกลียดชังต่อชนชั้นที่สูงกว่า...และกระทั่งต่อศาสนาอื่นใด ผู้นำทางอย่างเดียวของพวกเขาก็คือ...ผลกำไร
นั่นก็คือ...ทองคำอันสามารถตอบสนองความยินดีปรีดาทางวัตถุให้กับเขาได้...กงล้อทุกอัน และเครื่องจักรกลของกลไกแห่งรัฐต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่หมุนไปได้ด้วยเครื่องยนต์ซึ่งอยู่ในมือของเรา...ซึ่งก็คือเจ้าแม่แห่งทองคำนั่นเอง พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานอัจฉริยภาพให้เรา ถ้ามีคนเป็นอัจฉริยะอยู่ในฝ่ายตรงกันข้าม แม้นว่ามันคิดจะสู่กับเรา...แต่คนมาใหม่น่ะหรือจะสู้กับคนที่ตั้งรกรากมาแล้วเก่าแก่ ศาสตร์แห่งเศรษฐกิจการเมืองซึ่งนักปราชญ์อาวุโสของเราได้ประดิษฐ์มานานแล้ว...
1
มือหนึ่งซึ่งของไม่เห็นในทุก ๆ ส่วนของโลกนี่แหละ ที่จะให้พลังทางการเมืองที่เป็นอิสระแก่เงินทุน การค้า อุตสาหกรรม อำนาจในการที่จะใช้กิเสสตัณหาของพวกเขาระเบิดออกมาเป็นเปลวไฟ...ครั้นแล้วก็จะถึงเวลาที่พวกชนชั้นต่ำเหล่านี้จะเดินตามการนำทางของเราไปต่อสู่กับอำนาจที่เป็นคู่แข่งขันของเรา
มิใช่เพื่อการบรรลุถึงสิ่งที่ดีงาม หรือแม้กระทั่งในท้ายที่สุดก็มิใช่เพื่อทรัพย์สินเงินทองด้วยซ้ำ...แต่เพราะความเกลียดชังที่มีต่อพวกบรรดาชนชั้นสูงต่างหาก... เมื่อใดก็ตามที่ถึงเวลาซึ่งเราได้สร้างวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นทั่วโลก
เมื่อนั้น...เราก็จะโยนฝูงกรรมกรลงไปในท้องถนน ฝูงชนเหล่านี้จะวิ่งไปวิ่งมาอย่างยินดีปรีดา เพื่อที่จะหลั่งเลือดบรรดาผู้ที่เขาอิจฉาริษยามาตั้งแต่ยังนอนเปล และพวกที่เขาจะปล้นยึดทรัพย์กลับมาเป็นของเขาได้...ส่วนสมบัติของเรา พวกเขาจะไม่แตะต้อง และไม่มีวันแตะต้องได้เลย เพราะเราย่อมรู้เวลาที่พวกเขาจะเข้าโจมตีเนื่องจากเป็นเวลาที่เราจะกำหนดเอาไว้ให้...และเราย่อมสามารถหามาตรการป้องกันเอาไว้ได้ก่อนล่วงหน้า”
1
“ทุกประเทศจะต้องจำเอาไว้ในใจว่า...ใครก็ตามที่พยายามทำข้อตกลงใด ๆ เพื่อต่อต้านอำนาจของเรานั้น...จะไม่ได้ก่อให้เกิดผลกำไรแก่พวกมันเลย...เรานั้นแข็งแกร่งเกินไปกว่าที่ใครจะต่อต้านได้ อำนาจ ของเราจะไม่มีวันหายไป ชาติไหน ๆ ก็จะไมมีวันทำความตกลงอะไรกันได้โดยที่เราไม่ได้มีส่วนร่วมอย่างลับ ๆ หรอก Per Me reges regnant…กษัตริย์จะครองราชย์ได้ด้วยข้า...”
1
“ย้อนหลังไปไกลในสมัยโบราณนั้น...เราเป็นพวกแรกที่ตะโกนก้องอยู่ท่ามกลางมวลชนว่า...เสรีภาพ – เสมอภาค – ภราดรภาพ นับแต่นั้นมาคำเหล่านี้ก็ถูกพูดซ้ำ ๆ หลายครั้งโดยพวกนกแก้วโง่ ๆ ที่ถลาลงมากินเบ็ดในทุกทิศทุกทาง แล้วนำเอาสิ่งที่ดีของโลกและอิสรภาพที่เคยถูกระแวดระวังเอาไว้เป็นอย่างดีในแต่ละชุมชนไปกับพวกมันด้วย...พวกปัญญาชนในหมู่พวกกอยยิมนั้นไม่สามารถทำอะไรจากถ้อยคำอันเป็นนามธรรมเหล่านี้
พวกมันไม่เคยสังเกตว่าในธรรมชาตินั้นไม่เคยมีความเสมอภาคและไม่อาจเป็นอิสรภาพได้เลย พวกมันไม่ยักเห็นว่าธรรมชาติได้สร้างความคิดอุปนิสัยใจคอ และความสามารถที่ไม่เท่าเทียมกันขึ้นมาอย่างเปลี่ยนรูปไปไม่ได้เพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของตัวธรรมชาติเอง...”
1
อิสรภาพทางการเมืองนั้น...จึงเป็นเพียงความคิด...ไม่ใช่ข้อเท็จจริง แต่เราต้องเรียนรู้ว่าจะใช้ความคิดนี้อย่างไร ให้เป็นเบ็ดที่จะเกี่ยวประชาชนเข้าไปอยู่ในกลุ่มก้อนต่าง ๆ และกลายเป็นพลังในการบดขยี้ผู้ที่มีอำนาจในสังคมนั้น ๆ งานนี้จะทำได้ง่ายดาย เมื่อพวกมันหลงเข้าไปอยู่ในความคิดเรื่องอิสรภาพอย่างที่เรียกกันว่า...เสรีนิยม จุดนี้นี่แหละที่จะนำเราไปสู่ชัยชนะ เมื่อรัฐบาลต่าง ๆ ได้หย่อนบังเหียนลงมา บังเหียนนั้นก็จะถูกคว้าเอาไว้ทันทีด้วยมืออันใหม่ที่เข้าใจต่อกฎธรรมชาติแห่งชีวิต...”
“คำว่าอิสรภาพนั้น สามารถทำให้ฝูงชนออกมาต่อสู้กับอำนาจทุกชนิด แม้กระทั่งต่อสู้กับพระเจ้าหรือกฎธรรมชาติ และมันสามารถเปลี่ยนฝูงชนให้กลายเป็นสัตว์ป่ากระหายเลือดได้...และก็เป็นความจริงที่เจ้าสัตว์ป่าเหล่านี้จะหลับไปทุก ๆ ครั้งที่มันได้ดื่มเลือดไปจนอิ่มแล้ว ซึ่งในเวลาเช่นนั้นเราก็อาจเอาโซ่ไปสวมมันไว้ได้ง่าย ๆ แต่ถ้าเราไม่ให้เลือดมันดื่ม มันก็จะนอนไม่หลับและต่อสู้ต่อไป...”
งูตัวนี้จะซอกซอนเข้าไปในหัวใจของชาติต่าง ๆ แล้วก็จะเขมือบและทำลายอำนาจของชาติที่ไม่ได้เป็นชาวยิวทั่วทั้งหมด ได้มีการคาดเดาเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า งูตัวนี้จะยังคงเคลื่อนไหวต่อไปตามแผนการที่กำหนดเอาไว้อย่างเข้มงวด จนกระทั่งหนทางที่จะชอนไชไปนั้นทำให้หัวของงูวกกลับมายังภูเขาไซออน ด้วยประการนี้จึงกล่าวได้ว่างูตัวนี้จะชอนไชไปรอบทวีปยุโรปจนครบวงรอบของมัน และด้วยการที่มันล้อมยุโรปเอาไว้ก็เท่ากับมันล้อมโลกเอาไว้ด้วย การที่หัวงูจะย้อนกลับมายังภูเขาไซออนได้สำเร็จ
1
ก็ต่อเมื่ออำนาจของประเทศในยุโรปลดต่ำลง นั่นก็คือเมื่อวิกฤติการณ์เศรษฐกิจได้ทำลายอำนาจของพวกมันจนหมดสิ้น และนำความเสื่อมโทรมทางจิตวิญญาณ ความฉ้อฉล ความไร้จริยธรรมมาให้กับพวกมัน... ความสำเร็จของสิ่งเหล่านี้จึงสามารถเกิดขึ้นได้ก็โดยการเอาชนะด้วยอำนาจเศรษฐกิจ”
📌📌📌3. ในมิติทางเศรษฐกิจ
“เงินกู้ทุกชนิดนั้น...ย่อมนำมาซึ่งความไม่มั่นคงให้กับประเทศต่าง ๆ รวมทั้งความไมเข้าใจในสิทธิที่ประเทศตัวเองพึงมีได้โดยง่าย มันจะเป็นเสมือนดาบที่ห้อยต่องแต่งอยู่เหนือหัวของผู้ปกครองแต่ละประเทศ ผู้ซึ่งแทนที่จะพอใจอยู่เพียงแค่การรับเงินภาษีพลเมืองของตัวเอง...แต่กลับต้องมาแบมือขอเงินจากนายธนาคารของเรา
และเมื่อพวกมันพร้อมที่จะกู้...มันก็จะไม่สามารถถึงดาบเล่มนี้ออกไปจากประเทศของมันได้ จนกระทั่งมันหล่นลงมาเองหรือจนกว่าจะมีใครมาดึงและขว้างมันทิ้งไป แต่โดยทั่วไปแล้ว ประเทศของพวกกอยยิมนั้นไม่เพียงแต่จะคิดขว้างมันทิ้งไปเท่านั้น แต่จะกลับดื้อดึงยื้อยุดมันเอาไว้มากขึ้นไปอีก แม้กระทั่งต้องตายไปเพราะถูกสูบเลือดไปหมดแล้วก็ตาม
“เงินกู้ก็คือการออกตั๋วเงินของรัฐบาลซึ่งมีดอกเบี้ยเป็นอัตราตามส่วนของเงินต้นที่กู้ไป ถ้าเงินกู้นั้นต้องเสียดอกเบี้ย 5 เปอร์เซ็นต์ในเวลา 5 ปี ประเทศนั้นก็ต้องเสียเงินค่าดอกเบี้ยไปเท่ากับจำนวนเงินต้นที่กู้ยืมมา ในเวลา 40 ปีจะต้องจ่ายเป็นสองเท่า ใน 60 ปีต้องจ่ายเป็นสามเท่า..และตลอดเวลาเงินต้นก็ยังคงเท่าเดิมโดยไม่ได้ลดลงไปเลย...จากการคำนวณนี้จะเห็นได้ว่า
1
ท้ายที่สุดแล้วพวกมันจะต้องบีบคั้นเอาเงินเหรียญสุดท้ายจากผู้จ่ายภาษีที่ยากจนที่สุดมาให้กับผู้ที่ร่ำรวยเพื่อหักกลบลบบัญชีต่อไปเรื่อย ๆ...ตราบใดที่เงินกู้เหล่านี้เป็นเงินในประเทศตัวเอง พวกกอยยิมก็จะเปลี่ยนเงินจากกระเป๋าคนรวยเท่านั้น...แต่ถ้าหากเราสามารถทำให้พวกมันต้องโอนเงินกู้ไปสู่วงภายนอก ทรัพย์สินทั้งหมดในแต่ละประเทศก็จะหลั่งไหลเข้ามาสู่หีบเงินสดของเรา
1
และในไม่ช้าพวกมันทั้งหมด...จะเริ่มจ่ายเครื่องบรรณาการของพลเมืองของมันมาให้เรา ผู้นำของพวกกอยยิมที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั้น...ส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ได้จริงจังอะไรมากนักกับเรื่องกิจการระหว่างประเทศ ความคดโกงในหมู่ผู้บริหาร หรือการขาดความรู้ความเข้าใจในศิลปะเรื่องการเงินของผู้ปกครองเหล่านั้นย่อมทำให้พวกมันจะตกเป็นลูกหนี้แห่งท้องพระคลังของเราจนไม่สามารถใช้คืนได้...”
ธีโอดอร์ เฮอร์ตเซิล เคยยื่นข้อเสนอต่อพระเจ้าไกเซอร์วิลเลียมที่ 2 แห่งเยอรมัน และต่อสุลต่านอับดุลฮาหมีด แห่งออตโตมาน เพื่อขอใช้พื้นที่ในเขตปกครองของทั้งสองจัดตั้งอาณานิคมชาวยิวขึ้น แต่ได้รับการปฏิเสธ และแม้นายโจเซฟ แชมเบอร์เลน รัฐมนตรีกระทรวงอาณานิคมของอังกฤษจะเสนอให้ตั้งรัฐยิวในอูกันดาซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษ แต่สมัชชาไซออนิสต์ก็ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย (ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ 2550 : 161-162)
3
สมัชชาไซออนิสต์ปฏิเสธดินแดนอื่น ๆ ทั้งหมด เพราะความตั้งใจและใฝ่ฝันของพวกเขา รัฐยิวจะตั้งที่อื่นไม่ได้นอกจากดินแดนปาเลสไตน์เท่านั้น การเลือกดินแดนปาเลสไตน์เป็นที่ตั้งของรัฐยิว มีเหตุผลอันลึกซึ้งหลายประการ ที่สำคัญคือ
1. ที่ตั้งของปาเลสไตน์เอง อยู่ในกลุ่มอาหรับ ใกล้ใจกลางของโลกอิสลาม หากตั้งรัฐยิวขึ้นในดินแดนนี้ได้ ย่อมช่วยให้การควบคุมโลกอิสลามทำได้ง่ายขึ้น รัฐยิวจะทำหน้าที่เป็นรัฐกันชน ทำให้โลกอิสลามต้องพะวักพะวงอยู่กับอิสราเอลแทนการคิดถึงศูนย์กลางของไซออนิสต์ ยิ่งกว่านั้น
1
การดำรงอยู่ของอิสราเอลในแถบนี้ อาจนำไปสู่ความแตกแยกของกลุ่มอาหรับ ซึ่งจะช่วยให้การครอบครองทรัพยากรน้ำมันเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น และหากมีประเทศใดคิดแข็งข้อขัดขืน ไซออนิสต์ก็มีที่เก็บสะสมหรือผลิตอาวุธซึ่งอยู่ใกล้และพร้อมใช้งานในการเข่นฆ่าทำลายล้างศัตรูได้ทันที ซึ่งก็คือรัฐอิสราเอลนั่นเอง
2. การเลือกดินแดนปาเลสไตน์ แม้จะเป็นการเลือกบนฐานคิดที่เกิดจากความละโมบต่อลาภยศทางโลกล้วน ๆ ก็จริง แต่เป็นการเลือกที่สามารถนำเหตุผลทางศาสนามาสนับสนุนและช่วยให้บรรลุวัตถุประสงค์ได้รวดเร็วขึ้น ทั้งนี้เพราะศาสนายูดายก็ผูกพันกับเยรูซาเล็มเช่นเดียวกับอิสลามและคริสต์ ประเด็นทางศาสนาจึงถูกนำมาเป็นเครื่องมือเพื่อรับใช้เป้าหมายทางโลกของขบวนการไซออนิสต์
3
โดยการอ้างว่าแผ่นดินเยรูซาเล็มคือพื้นที่แห่งพันธะสัญญาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญาว่าจะมอบให้ชาวยิวเท่านั้น เป็นพันธะสัญญาที่มีมาแต่ครั้งศาสดาอิบรอฮีม (อับราฮัม) ข้ออ้างนี้สอดรับกับคำสอนของศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนท์พอดี ในขณะที่นิกายโรมันคาทอลิกสอนว่าแผ่นดินแห่งพันธะสัญญา คือสรวงสวรรค์ในปรภพ มิใช่ดินแดนในโลกใบนี้
📌ข้ออ้างที่สอดรับกันของทั้งสองศาสนา คือยูดายและคริสต์นิกายโปรแตสแตนท์ เป็นแรงกระตุ้นสำคัญที่ทำให้การอพยพชาวยิวจากที่ต่าง ๆ ทั่วโลกไปสู่ปาเลสไตน์ ภายใต้การอำนวยการช่วยเหลือของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยได้เริ่มมีการอพยพชาวยิวระลอกแรกตั้งแต่ปี ค.ศ.1897-1902 และระลอกล่าสุดคือเมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนการประกาศสถาปนารัฐอิสราเอลในปี ค.ศ.1948
1
นอกจากเหตุผลหลัก ๆ สองข้อที่กล่าวแล้ว สถานการณ์ที่ผลักดันให้ชาวยิวจากที่ต่าง ๆ อพยพสู่ปาเลสไตน์มากขึ้นคือ ลัทธิเกลียดชังยิว (Anti Semitic) ซึ่งกระจายอยู่ทั่วไปในยุโรปและการทารุณกรรมชาวยิวของนาซีเยอรมันระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งได้ทำให้เกิดภาวะตื่นตระหนกในหมู่ชาวยิวและนำไปสู่จำนวนผู้อพยพที่เพิ่มมากขึ้น.
..........📌📌...
2
ขบวนการไซออนิสต์ การก่อการร้ายซ่อนรูป (ตอนที่ 2) | ข้ออ้าง กับ ข้อเท็จจริง
หมวดหมู่: บทความ 22 February 2018 at 15:35 2669 0
ข้ออ้าง กับ ข้อเท็จจริง
ชาวยิวเคยอยู่อาศัยในดินแดนปาเลสไตน์มาแล้วในอดีต ตั้งแต่ครั้งที่ศาสดาโมเสส (นบีมูซา อลัยฮิสสลาม) นำพวกเขาหลบหนีภัยจากฟาโรห์ของอียิปต์เข้าสู่ดินแดนปาเลสไตน์ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของชาวฟิลิสตีน (ปาเลสไตน์) คานาอัน (กันอาน) อันเป็นเผ่าพันธุ์หนึ่งของชาวอาหรับและเผ่าอื่น ๆ อีกหลายเผ่ามาแต่เดิม แม้จะมีแผ่นดินอาศัยอย่างมั่นคงแล้ว และพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงเมตตาส่งศาสนทูตมาชี้ทางสว่างให้เป็นระยะ ๆ แต่ชาวยิวก็มักกบฏต่อศาสนทูตเหล่านั้น
ศาสนทูตหลายคนถูกพวกเขาฆ่าเสียเอง เช่น ศาสดาซะกะรียา ศาสดายะห์ยา เป็นต้น มิใช่ด้วยเหตุผลอื่นใด แต่เพราะความลุ่มหลงในชีวิตโลก ซึ่งดูเหมือนชาวยิวจะมีมากกว่าชนกลุ่มอื่นเสมอ ความลุ่มหลงในโลกทำให้ชาวยิวไม่สามารถปฏิบัติภารกิจตามที่ได้รับมอบหมายจากอัลลอฮ์พระผู้เป็นเจ้าให้สำเร็จลุล่วงไปได้ ภารกิจดังกล่าวก็คือการผลักดันผู้คนที่มีพฤติกรรมต่ำช้า สามานย์ออกไปจากดินแดนปาเลสไตน์ แต่แล้ว นอกเหนือจากจะไม่ปฏิบัติภารกิจดังกล่าวแล้ว ชาวยิวยังปล่อยให้วิถีชีวิตของคนเหล่านั้นเข้า
มาครอบงำตนเอง จนต้องสลายอัตลักษณ์ของการบูชาพระเจ้าองค์เดียวกลายเป็นพวกบูชาเจว็ดไปด้วย ผลที่ตามมาก็คือพวกเขากระทำการอันขัดต่อศีลธรรมจรรยาต่าง ๆ มากมาย ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสังคม ในเชิงเศรษฐกิจ ชาวยิวมีความถนัดทางการค้าพาณิชย์
พวกเขามักทำตัวเป็นพ่อค้าคนกลางซึ่งสามารถทำรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ผ่านการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เช่น ระบบดอกเบี้ยและกลโกงต่าง ๆ ในด้านสังคม ความเสื่อมทรามเกิดขึ้น จนแม้คนในครอบครัวเดียวกันที่เป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตก็สมสู่กันเอง ซึ่งคัมภีร์ใบเบิ้ลได้บันทึกความเลวทรามนี้เอาไว้มากมาย
ความชั่วร้ายที่แผ่ขยายไปโดยไม่มีคนคิดยับยั้งเป็นเหตุให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งคนเข้ามาทำลายอาณาจักรของชาวยิวเสียราบเรียบ ครั้งแรกโดยกษัตริย์ เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน ราว 598 ปี ก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นการทำลายล้างชีวิตชาวยิวแทบหมดสิ้นแผ่นดิน ที่เหลือยู่ประมาณ 70,000 คน ก็ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยในอาณาจักรบาบิโลน
ภายหลังความตกต่ำนี้ ชาวยิวได้มีโอกาสสร้างตนเองตามคำบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอีกหลายครั้ง แต่เมื่อปฏิรูปตนเองได้บางส่วนแล้วก็มักกลับเข้าสู่รูปรอยเดิมอีก จึงถูกลงโทษโดยการทำลายล้างอยู่หลายครั้ง เช่นกัน ทั้งโดยผ่านน้ำมือของเปอร์เซีย กรีก และโรมัน ภายใต้การปกครองของมหาอำนาจเหล่านี้ ชาวยิวกลายเป็นกลุ่มชนที่กระจัดพลัดพราย ไร้แผ่นดิน และสิ้นศักดิ์ศรีของตนเองอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตามในช่วงที่อยู่ภายใต้การปกครองของกรีก ชาวยิวได้ต่อสู้กับอำนาจของกรีกที่พยายามทำลายศาสนาของพวกเขาจนได้รับชัยชนะและสร้างรัฐของตนเองขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง โดยการนำของแมคคาบี แต่อาณาจักรนี้ก็ดำรงอยู่ได้ไม่นานนัก ประวัติศาสตร์ได้กลับมาซ้ำรอยอีกครั้ง
คราวนี้แม่ทัพปอมเปอีย์ของโรมันเข้ายึดและทำลายกรุงเยรูซาเล็มเสียจนพินาศยับเยิน ราว 63 ปี ก่อนคริสตกาล เมื่ออยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรโรมัน พระผู้เป็นเจ้าได้ส่งทั้งนบียะห์ยา(ยอห์น) และนบีอีซา(เยซู) มาโปรดชาวยิว แต่ทั้งสองคนกลับถูกต่อต้านจากชาวยิวส่วนใหญ่ที่หลงใหลในการบูชาวัตถุและความเสเพลตามแบบฉบับของพวกโรมัน ยิวชื่อ เฮโรด แอนติพาส ซึ่งปกครองดูแลชาวยิวในนามของกษัตริย์โรมัน เป็นผู้สั่งตัดศีรษะของนบียะห์ยา ตามคำขอของนางรำคนหนึ่ง
และในราวปี ค.ศ.41 นบีอีซา ผู้ซึ่งอัลลอฮ์ทรงส่งมาเพื่อช่วยเหลือชาวยิว กลับถูกชาวยิวที่ใกล้ชิดศูนย์กลางอำนาจโรมัน ยืมมือผู้ปกครองโรมัน ชื่อ พอนติอุส ไพเลท (นักเขียนบางคนใช้ว่า “ปิลาต” ) ให้ทำการประหารท่านนบี มีคนเพียงไม่กี่คนที่ร้องไห้กับความเลวทรามครั้งนั้น เมื่อพอนติอุส ไพเลท ถามยิวที่อยู่รอบ ๆ ลานประหารว่าระหว่างนบีกับหัวขโมยชื่อบารับบัส เขาควรจะปล่อยใคร ชาวยิวเหล่านั้นร้องบอกว่าควรปล่อยบารับบัส ....
หลังจากนั้นแล้วชาวยิวก็ไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุขอีกเลย พวกเขาถูกโรมันฆ่าฟัน อย่างทารุณ โดยแม่ทัพตีตุสนั้นได้สังหารชาวยิวไปประมาณ 133,000 คน ที่เหลืออีกประมาณ 67,000 คน ถูกจับเป็นทาสและถูกล้างผลาญอย่างเหี้ยมเกรียม
ไม่ว่าจะเป็นการโยนเข้ากองเพลิงทั้งที่มีชีวิต ผลักให้ตกกำแพง หน้าผา เป็นเหยื่อให้สัตว์ร้ายกัดฉีกในเวทีการต่อสู้ระหว่างคนกับสัตว์ เป็นเป้าซ้อมดาบของพวกนักรบโรมัน รวมทั้งตรึงกางเขนให้ตายด้วยความทรมานอย่างช้า ๆ ไม่ต่างไปจากที่พวกเขาเคยพยายามทำกับนบีอีซามาก่อน นับเป็นความสิ้นชาติสิ้นแผ่นดินครั้งใหญ่สุดครั้งที่สองของชาวยิวดัง อัลกุรอาน ระบุว่า
“แม้นหากพวกเจ้าทำดี ก็เป็นการทำดีต่อตนเอง หากพวกเจ้าทำชั่วก็จะประสบกับผลของมันด้วยตนเองเช่นกัน เมื่อคำสัญญาครั้งที่สองมาถึง (เราให้ศัตรูของพวกเจ้า) เข้ามาฉีกหน้าพวกเจ้าจนย่อยยับ พวกเขาจะเข้าไปในมัสยิดดุจเดียวกับที่ศัตรูเมื่อครั้งแรกเคยเข้าไป และจะทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขายึดครองได้”
📌📌📌 ขบวนการไซออนิสต์ การก่อการร้ายซ่อนรูป (ตอนที่ 3) | ยิว อดีตกับปัจจุบัน สายสัมพันธ์ที่ขาดสิ้นแล้ว
หมวดหมู่: บทความ 22 กุมภาพันธ์ 2018 at 15:37 3894 0
ยิว อดีตกับปัจจุบัน สายสัมพันธ์ที่ขาดสิ้นแล้ว
นับตั้งแต่ถูกทำให้กระจัดพลัดพรายออกไปจากเยรูซาเล็มโดยมหาอำนาจโรมันแล้ว พวกยิวที่ถูกกวาดต้อนออกไปก็ไม่มีโอกาสกลับสู่ดินแดนปาเลสไตน์อีก นานนับ 2,000 ปี พวกเขากระจัดกระจายอยู่ทั้งในยุโรปตะวันตกและยุโรปตะวันออก เมื่อคนรุ่นแรกตายไปคนรุ่นหลังก็เติบโตมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมแบบตะวันตก
1
ซึ่งมีพัฒนาการต่าง ๆ มาตามยุคสมัยตั้งแต่อารยธรรมแบบโรมัน แบบคริสต์นิกายโรมันคาธอลิค การปฏิวัติทางศาสนา การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ การปฏิวัติอุตสาหกรรม ลัทธิฆราวาสนิยม(Secularism) การปกครองแบบประชาธิปไตย ทุนนิยมเสรี สังคมนิยม และคอมมิวนิสต์.
แนวคิด อุดมคติ และมโนทัศน์ต่าง ๆ ที่ปรากฏขึ้นในสังคมตะวันตก ล้วนมีชาวยิวทั้งหลายที่บรรพบุรุษของพวกเขาถูกต้อนไปจากปาเลสไตน์ เมื่อ 2,000 ปีก่อน เข้าไปมีส่วนร่วมสร้างอย่างมิต้องสงสัย ภายใต้อิทธิพลของแนวคิดแบบ “พระเจ้าตายแล้ว” ของฟรีดริกซ์ นิทเช่ แนวคิดในแบบของ “ซิกมันด์ ฟรอยด์” และแบบของคาร์ล มาร์กซ์ เจ้าแห่งสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ สะท้อนว่าชาวยิวในรุ่นหลัง ๆ ไม่ได้ถูกอบรมบ่มเพาะให้ยึดมั่นต่อพระผู้เป็นเจ้าอีกแล้ว
แต่พวกเขาคือนักวัตถุนิยมเช่นเดียวกับผู้คนในโลกตะวันตกทั่วไป ระยะเวลา 2,000 ปี ที่จากไปทำให้ชาวยิวรุ่นหลังไม่มีความผูกพันใด ๆ กับปาเลสไตน์อีก ข้ออ้างทางศาสนา และข้อสนับสนุนทางประวัติศาสตร์ที่บ่งบอกความผูกพันของยิวกับปาเลสไตน์ เป็นเพียงวาทกรรมที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อปิดบังเป้าหมายอันแท้จริงซึ่งถูกทับซ่อนไว้ เพราะจริง ๆ แล้วคนที่อ้าง ไม่สามารถสืบสาวสายเลือดของตนไปถึงยิวในเยรูซาเล็มอีกแล้ว และศาสนาของพวกเขาก็ไม่ใช่ยูดาย คัมภีร์ของพวกเขาไม่ใช่โตรา
แต่เป็นศาสนาและคัมภีร์เล่มเดียวกับที่ชาวยุโรปทั่วไปใช้อยู่ คือ คัมภีร์วัตถุนิยมนั่นเอง การอพยพที่แท้จริงของคนเหล่านี้มิใช่เพื่ออุดมการณ์ทางศาสนา แต่เป็นอุดมการณ์ทางโลกล้วน ๆ เห็นได้จากยิวในสหรัฐซึ่งครอบครองทรัพย์สินมหาศาล ส่วนใหญ่ปฏิเสธที่จะไปอยู่ในอิสราเอล ยิวในรัสเซียก็มุ่งมาดปรารถนาที่จะอพยพไปยังสหรัฐมากกว่าจะไปอิสราเอล ยกเว้นไม่มีทางไปได้เท่านั้น พวกเขาจึงจะบ่ายหน้าไปยังอิสราเอล
ความจริงแล้ว ยิวในตะวันตกก็ผูกพันกับแผ่นดินถิ่นเกิดของตนเองเยี่ยงปุถุชนทั่วไป (มิใช่แผ่นดินเกิดของบรรพบุรุษเมื่อ 2,000 ปีก่อน) ธีโอดอร์ เฮอร์ตซัล เองก่อนที่จะกลายเป็นผู้นำขบวนการโซออนิสต์ ก็เป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคมการเมืองที่แทบไม่เกี่ยวกับความเป็นยิวเลย
เขาเคยสมัครเข้าร่วมขบวนการ Burschenshaft อันเป็นขบวนการที่มีเป้าหมายรวมชาวเยอรมันให้เป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน “เคยร่วมร้องตะโกนคำขวัญว่า “Honer – Freedom – Fatherland” กับฝรั่งออสเตรีย – เยอรมัน โดยไม่ได้ตระหนักถึงความเป็นยิว แม้แต่น้อย (ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ 2550 : 160)
อย่างไรก็ตาม การเติบโตขึ้นในสังคมตะวันตกก็ทำให้ชาวยิวซึมซับเอาการมองโลกและชีวิตตามจักรวาลทัศน์แบบวัตถุนิยมซึ่งครอบงำสังคมนั้นไว้เต็มตัว และแรงส่งของวัตถุนิยมในตัวชาวยิวอาจมีมากกว่าฝรั่งตะวันตกด้วยซ้ำไป ทั้งนี้เนื่องจากปัจจัยทางสังคมที่พวกเขาอยู่ในฐานะคนกลุ่มน้อยและถูกกดดันให้ต้องดื้นรนเอาตัวรอดทุกวิถีทาง ภายใต้แรงกดดันเช่นนี้
ความถนัดที่สืบทอดกันมาแต่ครั้งบรรพบุรุษในเรื่องกลเกมและกลโกงเชิงการค้าทำให้ชาวยิวมีบทบาทอันโดดเด่นในการประกอบธุรกิจ และการสร้างกระแสทุนนิยมเสรี ซึ่งเป็นบรรยากาศที่ช่วยหนุนให้พวกเขาสามารถผูกขาดการค้าได้โดยง่าย จนแม้แต่ คาร์ล มาร์กซ์ ที่เป็นยิวคนหนึ่ง ก็ยังกล่าวถึงชาวยิวด้วยกันเองว่า “การแลกเปลี่ยนทางการค้าคือพระเจ้าที่แท้จริงของชาวยิว และเบื้องหน้าของพระเจ้าองค์นี้ ไม่ควรมีพระเจ้าองค์ใดดำรงอยู่อีก” (El Musaiyari 1999 v.2 : 16)
ความโลภในการครอบครองวัตถุโดยไม่คำนึงถึงคุณธรรมจริยธรรม ปรากฏให้เห็นได้ในสายสัมพันธ์ที่เป็นเครือข่ายของชาวยิวในการผลักดันให้เกิดการปฏิวัติต่าง ๆ ขึ้นในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นการปฏิวัติทางศาสนาที่นำไปสู่การแยกศาสนาออกจากวิถีชีวิต (Secularism) ซึ่งปรากฏว่ามีนักคิดชาวยิวร่วมอยู่ในขบวนการหลายต่อหลายคน การปฏิวัติในฝรั่งเศสปี ค.ศ.1789 การปฏิวัติโค่นล้มระบบกษัตริย์ในรัสเซีย ตลอดไปจนถึงสงครามต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
ทั้งสงครามระดับภูมิภาค เช่น สงครามอังกฤษ-ฝรั่งเศส หรือสงครามโลกทั้งสองครั้ง เหตุการณ์สำคัญ ๆ เหล่านี้ล้วนปรากฏว่ามีชาวยิวกลุ่มหนึ่งเกี่ยวข้องในบทบาทสำคัญ คือเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ทางวัตถุอย่างเป็นกอบเป็นกำเสมอ นำไปสู่การที่ชาวยิวกลุ่มนี้ก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำและผู้บงการอันแท้จริงต่อความเป็นไปของโลก ผ่านสถาบันและองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ เพราะพวกเขาครอบงำได้ตั้งแต่ธนาคารแห่งชาติของอังกฤษซึ่งก่อตั้งโดย
นาธาน ร็อทไชลด์ บุตรชายของไมเยอร์ ร็อทไชลด์ อันเป็นผู้ที่เจ้าชายวิลเลียมที่ 9 แห่งออสเตรีย ไว้วางใจฝากเงินไว้ถึง 3 ล้านดอลลาร์ในปี 1809 ก่อนที่เจ้าชายผู้นั้นจะหลบหนีอิทธิพลของนโปเลียนแห่งฝรั่งเศสไปอยู่ที่เดนมาร์ก ไม่มีหลักฐานใด ๆ ว่าเงินจำนวนนี้ถูกส่งคืนเจ้าของ แต่มีการเปิดเผยในภายหลังว่า เงินดังกล่าวถูกส่งไปให้ นาธาน ร็อตไชลด์ ในอังกฤษ และถูกนำไปลงทุนในบริษัทอีสต์อินเดียของอังกฤษในเวลาต่อมา
ซึ่งบริษัทนี้ก็คือเครื่องมือสำคัญในการล่าและควบคุมอาณานิคมของอังกฤษ ต่อมา นาธาน ร็อดไชลด์ ผู้นี้ก็ก่อตั้งธนาคารแห่งชาติของอังกฤษขึ้น เขาคือผู้ฝากคำพูดไว้ว่า “ผู้ที่ควบคุมจักรวรรดิ แห่งนี้ (อังกฤษ) ก็คือผู้ที่ควบคุมระบบการเงินของประเทศนี้” (ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ 2550 : 129)
นอกจากธนาคารกลางของอังกฤษแล้ว ในสหรัฐ อับราฮิม สินดอล์น ตระหนักดีถึงอันตรายจากการครองอำนาจทางเศรษฐกิจของยิว เขาพยายามขัดขวางการครอบงำทางเศรษฐกิจของตระกูลยิว โดยกล่าวไว้ว่า “บัดนี้ บรรษัทธุรกิจ ได้ครองประเทศไปแล้ว ศักราชแห่งการโกงกินในระดับสูงจะติดตามมา อำนาจเงินจะสามารถอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างได้อีกนาน
โดยอาศัยความหลงผิดของประชาชน จนกระทั่งเมื่อความมั่งคั่งถูกสะสมอยู่ในมือของกลุ่มคนกลุ่มเล็ก ๆ สาธารณรัฐก็จะถูกทำลายในที่สุด” (อ้างโดย ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ 2550 : 135) หลังจากนั้น สินคอล์นก็ถูกสังหาร และต่อมาในปี 1913 กลุ่มธุรกิจของชาวยิว ซึ่งผูกขาดกิจการหลัก ๆ ของสหรัฐไว้เกือบสิ้นเชิงแล้ว ก็ร่วมกันก่อตั้ง “ธนาคารกลางแห่งสหรัฐ” หรือ Federal Reserve ขึ้นมาได้
1
📌📌📌📌👉📌📌📌📌
ขบวนการไซออนิสต์ การก่อการร้ายซ่อนรูป (ตอนที่ 4) | กลไกเพื่อการครอบโลกของขบวนการไซออนิสต์
หมวดหมู่: บทความ 22 February 2018 at 15:39 5420 0
กลไกเพื่อการครอบโลกของขบวนการไซออนิสต์
ดูเหมือนถ้อยความที่ปรากฏในปฏิญญาสากลของไซออนิสต์จะสะท้อนให้เห็นว่า พวกเขาได้ถอดบทเรียนจากประวัติการต่อสู้อันยาวนานได้บทหนึ่ง สาระสำคัญของบทเรียนนั้นมีอยู่ว่าว่า สงครามความคิดมีความแหลมคมและสำคัญกว่าสงครามอาวุธ ดังนั้น ไซออนิสต์จึงมุ่งทำสงครามความคิดมากกว่าการใช้กำลังอาวุธ สงครามนี้มีเป้าหมายอยู่ที่การทำให้ผู้คนหมดสิ้นความคิดอ่าน แต่จะใช้ชีวิตตามแรงปรารถนาของอารมณ์ กิเลสและตัณหา อาวุธที่สำคัญอย่างยิ่งในสงครามความคิดที่ถูกนำมาใช้โดยขบวนการไซออนิสต์ ก็คือ
สายเลือด ต่างๆ
1. กระบวนการแยกส่วนชีวิต
คือ การทำให้ชีวิตมนุษย์ถูกแยกเป็นภาคส่วนต่าง ๆ เช่น ภาคเศรษฐกิจ ภาคสังคม ภาคการเมือง ภาคศาสนาเป็นต้น แต่ละภาคส่วนจะมีความแปลกแยกต่อกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคส่วนศาสนาซึ่งจะถูกเบียดขับ และถูกจัดให้อยู่ในพื้นที่อันจำกัดคับแคบที่สุด ดุจดังเชลยที่ถูกกักขังไว้ เพราะศาสนามักเป็นแหล่งกำเนิดของอุดมคติ ความคิดและคุณธรรมจริยธรรม อันอาจจะกลายเป็นตัวขัดขวางการครอบโลกของบรรษัทธุรกิจข้ามชาติได้
2
เมื่อแยกศาสนาออกไปได้แล้ว สิ่งที่ดำรงอยู่ในสังคมก็คือความเหลวแหลกเละเทะทางสังคม ความโลภอันไร้ขีดจำกัด การฉ้อฉลคดโกง และความหวาดระแวงต่อกันและกัน จนไม่อาจไว้วางใจใครได้ ก่อเกิดความแตกแยกร้าวฉาน และสงครามขับเคี่ยวระหว่างกันและกันอยู่เนืองนิจ ภายใต้สภาวการณ์เช่นนี้ ย่อมจะหาคนที่ปลีกตัวหามุมสงบแก่ชีวิต และใช้ความคิดค้นหาสัจธรรมได้ยาก แต่จะเป็นการง่ายในการสูบผลประโยชน์ทางวัตถุป้อนให้แก่ผู้บงการ การอุบัติขึ้นของลัทธิฆราวาสนิยม
และกำเนิดของลัทธิวิวัฒนาการ โดย ชาร์ลส์ ดาร์วิน ช่วยให้วิถีชีวิตแบบที่ชาวยิวเป็นผู้ควบคุมอยู่เติบโตอย่างก้าวกระโดด โลกมีแต่วัตถุ ไม่มีอำนาจใด ๆ อยู่เบื้องหลังธรรมชาติ ไม่มีพระเจ้าผู้สร้างโลก มีก็แต่พระเจ้าเงินตราเท่านั้น ภายใต้มโนทัศน์เช่นนี้ ภาคส่วนที่เติบโตสูงสุด และกลายเป็นตัวชี้วัดคุณค่าความเป็นมนุษย์ แทนที่มาตรฐานทางศีลธรรมที่ศาสนาเคยพร่ำสอนก็คือ ภาคส่วนเศรษฐกิจ ซึ่งเมื่อถูกแยกออกมาจากสังคมและศาสนาแล้ว เศรษฐกิจจึงมีเพียงการแข่งขันกันหารายได้
1
การเอารัดเอาเปรียบ การเก็งกำไรระยะสั้นในรูปแบบของการพนัน ในขณะที่กดข่มให้ภาคสังคมอ่อนแอ เนื่องจากขาดแคลนคนทำงานด้วยจิตสาธารณะ มีแต่สภาวะต่างคนต่างอยู่ และแข่งกันทำลายทรัพยากรธรรมชาติ เพียงเพื่อจะส่งผลกำไรสูงสุดเข้าสู่ตลาดโลกที่ส่วนใหญ่แล้วมีชาวยิวเป็นผู้ควบคุมอยู่นั่นเอง
2. การทำลายฟิตรอฮ์ของมนุษย์
ฟิตรอฮ์ คือ ศักยภาพและความสำเหนียกตามธรรมชาติที่อัลลอฮ์พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานแก่มนุษย์ เพื่อใช้ในการแสวงหาและรับเอาความรู้และความดีงามอันแท้จริงบนโลก
การดำรงอยู่อย่างเข้มแข็งของฟิตรอฮ์ จึงหมายถึง การดำรงอยู่ของคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ ขณะที่ความอ่อนแอของฟิตรอฮ์ก็หมายถึงการพังทลายของคุณค่าที่มนุษย์มีอยู่
ฟิตรอฮ์เข้มแข็งได้ก็เพราะอิงแอบกับอัลลอฮ์ผู้ทรงรังสรรค์มันขึ้นมา ดุจเดียวกับที่ทารกรู้สึกมั่นคงในอ้อมกอดของผู้ให้กำเนิดนั่นเอง แต่โลกภายใต้การชักนำของไซออนิสต์กำลังทำให้ฟิตรอฮ์ของมนุษย์อ่อนแอลง จนกลายเป็นเหมือนทารกที่ถูกพรากจากไออุ่นของบิดรมารดา จึงมีแต่ความหยาบกระด้าง ตะกละตะกราม และดิบเถื่อน กระบวนการสำคัญที่ทำให้ฟิตรอฮ์ของมนุษย์อ่อนแอนี้ อยู่ที่การสร้างอุตสาหกรรมอารมณ์ขึ้นมา
ซึ่งก็ได้แก่ อุตสาหกรรมหรือกิจการที่ผู้ประกอบการมุ่งเพียงสนองตอบอารมณ์ความรู้สึกและกิเลสตัณหาของผู้บริโภคเป็นหลัก โดยไม่คำนึงถึงคุณธรรมจริยธรรม และไม่มีการกระตุ้นให้เกิดความคิดอ่านหรือการใช้เหตุผลแต่อย่างใด อุตสาหกรรมประเภทนี้จึงมุ่งสร้างความบันเทิงเริงรมย์แก่ผู้บริโภคเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เราจึงเห็นรายการต่าง ๆ ที่เผยแพร่ผ่านสถานีโทรทัศน์จะเป็นรายการบันเทิงไร้สาระมากกว่า ร้อยละ 50 และรายการเหล่านี้มีคนดูคอยติดตามอย่างหนาแน่น ขณะที่รายการซึ่งให้สาระและข้อคิดมักมีผู้ชมเพียงน้อยนิดเท่านั้น และเมื่อในหมู่มนุษย์
👉เพศที่มักอ่อนไหวไปกับอารมณ์ความรู้สึกได้ง่ายกว่าคือเพศหญิงไซออนิสต์จึงไม่รีรอที่จะพุ่งสาส์นของตนไปยังเพศหญิงโดยตรง และเป็นการพุ่งไปยังอารมณ์ความรู้สึกของเธอนั่นเอง ชักจูงให้เธอออกจากบ้าน ด้วยข้ออ้างด้านความเสมอภาค โน้มน้าวให้เธอเปลี้องอาภรณ์ออกจากเรือนกาย ด้วยข้ออ้างสิทธิส่วนบุคคล และชี้ชวนให้เธอเดินเข้าไปในวังวนของการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย ด้วยข้ออ้างความทันสมัย
📌ผลของการส่งสาส์นไปที่เพศหญิงโดยตรง📌 คือการล่มสลายของสถาบันครอบครัว การกลายเป็นสินค้าของบรรดาสตรี ความสำส่อนทางเพศ และการเติบโตของลัทธิบริโภคนิยม ในขณะที่กลุ่มวัยรุ่น ก็ถูกอุตสาหกรรมอารมณ์ขูดรีดความคิดอ่านและเหตุผลไปจนหมดสิ้น เหลือแต่ซากร่างที่ดิ้นรนหาความสุขฉาบฉวยชั่วครู่ ไปวัน ๆ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของสินค้าอารมณ์ ทั้ง 👉ยาเสพติด เกมส์ ดนตรี กีฬา และการพนันขันต่อ
1
ผู้เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็น👉 ดารา นางแบบ นักร้อง นักดนตรี นักกีฬา ต่างกอบโกยรายได้ล้นเหลือ ในขณะที่ผู้ผลิตสินค้าเพื่อชีวิตจริง ๆ เช่น ชาวนา ชาวไร่ ถูกกดข่มอยู่ชั่วนาตาปี เราควรตั้งคำถามว่า สิ่งเหล่านี้ แพร่กระจายเข้าสู่สังคมต่าง ๆ และไปทำลาย รื้อทิ้งค่านิยมอันดีงามของวิถีอดีตได้อย่างไร?
📌📌สื่อสารมวลชนคือหนทางที่ทรงประสิทธภาพอย่างยิ่ง ต่อการเผยแพร่สิ่งที่ไซออนิสต์ต้องการ การศึกษาบริษัทที่ประกอบธุรกิจสื่อ พบว่าส่วนใหญ่อยู่ในการกำกับดูแลของชาวยิวทิ้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสื่อโทรทัศน์ สื่ออิเลคโทรนิคส์ สิ่งพิมพ์ และธุรกิจอุตสาหกรรมภาพยนตร์ นิตยสาร THAI COON 2.1 ปักษ์แรก เดือนพฤศจิกายน 2544 เปิดเผยว่า
บริษัทสื่อใหญ่ ๆ ในสหรัฐอเมริกานั้น เป็นที่รู้กันว่ามีอยู่เพียงสิบกว่าแห่งเท่านั้น ซึ่งล้วนแล้วแต่มียิวเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่แทบทั้งสิ้น สื่อเหล่านี้ทรงอิทธิพลชนิดที่สามารถสร้าง MANUFACTURING CONSENT หรือ การผลิตความเห็นชอบร่วมกันของประชาชนได้ สื่อที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือ AOL TIME WARNER INC. ซึ่งควบคุมสื่อทุกแขนงไว้ในมือ ทั้ง นิตยสารชั้นนำ กว่า 20 หัว เช่น TIME FORTUNE สตูดิโอ
รวมทั้งสำนักข่าวใหญ่อย่าง CNN ด้วย หรืออย่างบริษัท วอลท์ดิสนีย์ ซึ่งควบคุมดูแลบริษัทผลิตภาพยนตร์ต่าง ๆ เช่น ฮอลลิวู้ด พิกเจอร์ ทัชสโตน พิกเชอร์ คาราวาน พิกเชอร์ ก็อยู่ในมือยิวชื่อโมเคิล อีสเนอร์
ส่วนบริษัท เวียคอม ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจสถานีโทรทัศน์ 13 แห่ง ในสหรัฐ เป็นเจ้าของ MTV (ช่องเพลงระดับโลกที่มีผู้ติดตามประมาณ 250 ล้านครัวเรือนทั่วโลก) และ Nickelodeon ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดโทรทัศน์เกี่ยวกับเด็ก และทะลุทะลวงไปถึง 90 ล้านครัวเรือนในเจ็ดสิบประเทศ ก็เป็นของยิว ชื่อ ซัมเนอร์ เรดสโตน
กลุ่ม นิวส์ คอปส์ ซึ่งประกอบด้วยหนังสือพิมพ์มากกว่า 130 ฉบับทั่วโลก สตูดิโอ ทเวนตี้เซ็นจูรี่ ฟอกซ์ เจ้าของสตาร์ทีวีก็อยู่ในอำนาจของยิว ชื่อ รูเพิร์ต เมอร์ดอกซ์
📌📌หนังสือพิมพ์สามฉบับที่มีอิทธิพลที่สุดในอเมริกา คือ วอชิงตันโพสต์ นิวยอร์กไทม์ และวอลสตรีท เออร์นิล ทั้งสามฉบับอยู่ในอุ้งมือยิว นิวยอร์กไทม์นั้น กล่าวได้ว่าเป็นหนังสือพิมพ์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดของอเมริกา เพราะสามารถชี้ทิศทางของการเมือง สังคม แฟชั่น วัฒนธรรมของอเมริกาได้ สื่อที่อยู่ในมือยิวนี้เอง คือ เครื่องมือสำคัญที่สุดในการสร้างกระแสโลกาภิวัตน์
อันเป็นกระแสที่หล่อหลอมผู้คนทั้งโลกให้มีความคิดเห็นและค่านิยมต่าง ๆ ไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งก็คือทิศทางที่เจ้าของสื่อต้องการ โดยผู้บริโภคสื่อแทบไม่มีความคิดอ่านอะไรเป็นของตนเอง ยิ่งการบริโภคเน้นความบันเทิงเป็นหลักเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้พื้นที่ความคิดและเหตุผลของผู้บริโภคยิ่งหดตัวแคบลงเท่านั้น จนในที่สุดก็กลายเป็นมนุษย์หุ่นยนต์ที่พร้อมจะคิดหรือทำอะไรก็ได้ แล้วแต่สื่อเหล่านั้นจะไขลานไปในทิศทางใด
ชีวิตในท่วงทำนองนี้จึงเรียกได้ว่าถูกทำลายฟิตรอ์ไปอย่างสิ้นเชิง และเป็นการทำลายที่เหยื่อแทบไม่รู้ตัว เนื่องจากต้องไขว่คว้าหาสินค้าที่เป็นตัวล่ออยู่ตลอดเวลาจนไม่มีโอกาสทบทวนตัวเอง
📌ทำไมจึงต้องเป็น ปาเลสไตน์ ?
การทำให้ผู้คนอ่อนแอด้วยกระบวนการใหญ่ ๆ 2 กระบวนการที่กล่าวมา อาจไม่มีความยุ่งยากมากนัก ในการใช้กับผู้คน ซึ่งมีจักรวาลทัศน์ (อกีดะฮ์) ในรูปลักษณ์ที่มีการแยกส่วนอยู่แล้ว หรือที่เรียกกันว่า ชิริกหรือการตั้งภาคีนั่นเอง เพราะจักรวาลทัศน์ในลักษณะนี้จะมีพระเจ้าหลายองค์ แต่ละองค์มีอำนาจในตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาพระเจ้าองค์อื่น หลายครั้งพระเจ้าแต่ละองค์ยังต้องสู้รบกันเองอีกด้วย
เมื่อไซออนิสต์เพิ่มพระเจ้าเงินตราเข้ามาอีกหนึ่งองค์ ก็ย่อมไม่มีอะไรเสียหายเพิ่มขึ้น ความเปลี่ยนแปลงเพียงประการเดียวก็คือ ในหมู่พระเจ้าทั้งหมดเหล่านั้น เงินตรากลายมาเป็นพระเจ้าสูงสุด ส่วนพระเจ้าองค์อื่น ๆ ก็มีหน้าที่เป็นสื่อกลางในการนำผู้บูชาเข้าหาพระเจ้าเงินตราให้มากที่สุดเท่านั้นเอง
1
ปัญหาใหญ่อยู่ที่จักรวาลทัศน์แบบอิสลาม ซึ่งมีลักษณะเป็นเอกภาพและไม่ยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้าอื่นใดทั้งหมด การยอมรับในเอกภาพแห่งอัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียว(เตาฮีด) นำไปสู่วิถีชีวิตที่มองเห็นเงินตรา สินค้า และความบันเทิงเริงรมย์ต่าง ๆ เป็นเพียงส่วนปลีกย่อยเล็กน้อยของชีวิต และการบริโภคสิ่งเหล่านั้น
ก็ยังวางจุดมุ่งหมายไว้ที่ “เพื่อนำไปสู่การอิบาดะฮ์ หรือถวายสักการะต่อพระองค์เท่านั้น” ซึ่งหากผู้คนใช้ชีวิตภายใต้มโนทัศน์ / จักรวาลทัศน์เช่นนี้ โอกาสที่ไซออนิสต์จะบรรลุสู่เป้าหมายการครองโลกผ่านทางการแยกส่วนชีวิตและการทำลายฟิตรอฮ์ก็ริบหรี่รางเลือน ยุทธศาสตร์การทำให้มุสลิมอ่อนแอจึงทรงความสำคัญสูงสุด และไม่อาจดำเนินการเพียงด้านสงครามความคิดเท่านั้น. หากแต่ต้องสร้างพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สามารถทำให้ไซออนิสต์สามารถครอบครองทรัพยากรสำคัญของอุตสาหกรรมทั้งหลายคือน้ำมัน
ขณะเดียวกันพื้นที่ยุทธศาสตร์นี้ยังจะช่วยกดข่มโลกมุสลิมมิให้ลืมตาอ้าปากได้ ทั้งทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์และการรวมตัวอย่างเป็นเอกภาพ แต่ทุกประเทศจะต้องพึ่งพาอาวุธจากมหาอำนาจซึ่งควบคุมโดยไซออนิสต์อยู่แล้ว และจะต้องถูกแบ่งแยกเป็นประเทศเล็กประเทศน้อยต่อไป เพื่อความสะดวกในการควบคุมดูแล พื้นที่ยุทธศาสตร์นี้ชื่อว่า “อิสราเอล” และไม่อาจตั้งอยู่ในพื้นที่อื่นใดได้ นอกจากในปาเลสไตน์เท่านั้น
ทั้งหมดนี้ สะท้อนว่าไซออนิสต์มิได้มุ่งร้ายเฉพาะมุสลิม แต่การทำให้มนุษยชาติอ่อนแอคือเป้าหมายของขบวนการอันชั่วร้ายนี้ การดำรงอยู่ของอิสราเอล จึงมิใช่ชัยชนะของไซออนิสต์เหนือโลกมุสลิมเท่านั้น แต่เป็นชัยชนะของไซออนิสต์เหนือโลกทั้งมวล
1
ในอดีตวันที่ยิวเคยมีองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาเคยแหลกสลายเพราะถูกวาทกรรมอันชั่วร้ายของชาติพันธุ์อื่นครอบงำ แต่วันนี้วันที่ยิวไม่มีพระเจ้า ยิวได้สร้างวาทกรรมอันชั่วร้ายขึ้นเอง เพื่อตนจะได้ดำรงอยู่อย่างเข้มแข็งบนซากปรักหักพังของชาติพันธุ์อื่น
พระเจ้าเคยทรงทำลายแผนการอันชั่วร้ายของยิวมาหลายครั้ง พระองค์พร้อมที่จะ ทำลายแผนการของพวกเขาอีก แต่เราพร้อมจะกลับไปพึ่งพาพระองค์หรือไม่ ? 📌🌻📌ที่มา จุฬาราชมนตรี
📌เพิ่มเติม อิสลาม ไม่สนับสนุนไห้เชื่องมงายและไม่มีข้อพิสูจน์
📌เพิ่มเติม อิสลาม สนับสนุน ไห้ตั้งคำถาม ค้นหาความจริง และ พิสูจน์ได้ ด้วยใจที่ ซื่อสัตย์ และ เปิดกว้าง. ไม่ว่าจะทาง ตระกะ หรือ วิทยาศาสตร์.
ที่สำคัญที่สุด 👉 มนุษย์ทุกคน มีเจตจำนงค์ เสรี ในการตัดสินใจ นับถือ และ ศรัทธา ของตนเอง. 🙏🙏🙏
👉 นี้คือ ของขวัญ ที่แอดมอบไห้ พี่น้องทุกท่านตระหนัก และ ตื่นรู้ ทุกคน ในห้องนี้ ขอบคุณมากๆ ( ทุกอย่างไม่ใช่เรื่อง บังเอิญ )
..❤️ขอบคุณจากหัวใจดวงน้อยๆดวงนี้❤️
คำถาม ข้อสงสัย https://youtu.be/SeB-87qpK48?si=5rVDFi4m1syYK_E5
บนโลกนี้มีคำภีร์ไดบ้าง ท้าทาย วิทยาศาสตร์ 👉 https://youtu.be/PI8hEJwuaS4?si=lkXG3c5eEXGLBkyi
...📌นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า
ทุกอย่างไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากความ ว่างเปล่า📌
ดร.เทวะนิยม โต้วาที กับ อิสลาม https://youtu.be/v3fvNIlDnBw?si=NT1tWQ38T-fUmPW1
โฆษณา