Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Vate's Pharma Scope
•
ติดตาม
7 ชั่วโมงที่แล้ว • สุขภาพ
ยาแพง-ขาดตลาด? เมื่อสงครามการค้าสะเทือนถึงสุขภาพคนไข้
สงครามการค้า หลายคนอาจจะนึกถึงเรื่องภาษีนำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ หรือสินค้าเกษตร แต่รู้ไหมครับว่า ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน กำลังส่งผลกระทบมาถึง "ยา" ที่เราใช้รักษากันอยู่ทุกวันนี้ด้วย
เรื่องราวเริ่มร้อนแรงขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อประเทศจีนประกาศว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกา สูงถึง 125% นี่เป็นการตอบโต้มาตรการทางภาษีที่ทางสหรัฐฯ ได้ประกาศใช้กับสินค้าจีนก่อนหน้านี้ ซึ่งการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ก็เปรียบเสมือนการสร้างกำแพงให้สินค้าจากอีกประเทศหนึ่งเข้ามาขายได้ยากขึ้น หรือมีราคาสูงขึ้นนั่นเองครับ
ในขณะเดียวกัน ฝั่งสหรัฐอเมริกาเองก็กำลังพิจารณาอยู่ว่า การนำเข้ายาจากต่างประเทศ (รวมถึงจีน) จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศหรือไม่ ซึ่งนี่อาจจะเป็นสัญญาณนำไปสู่การขึ้นภาษีสินค้ายาที่นำเข้าสหรัฐฯ เช่นกัน เรียกได้ว่าต่างฝ่ายต่างมีมาตรการตอบโต้กันไปมา และน่าเสียดายที่สินค้ายา ซึ่งจำเป็นต่อชีวิตผู้คน ก็ดันเข้ามาอยู่ในสมรภูมินี้ด้วย
ยาอะไรบ้างที่อาจโดนหางเลข?
หลายคนอาจจะคิดว่ายาที่ใช้ในจีนก็น่าจะผลิตในจีนสิ แต่จริงๆ แล้ว จากข้อมูลของหน่วยงานกำกับดูแลผลิตภัณฑ์ยาของจีน พบว่ายาแผนปัจจุบันหลายตัวที่ได้รับความนิยมและใช้กันอย่างแพร่หลายในจีน จริงๆ แล้วมีฐานการผลิตอยู่ในสหรัฐอเมริกาครับ
บริษัทยายักษ์ใหญ่หลายแห่ง เช่น AstraZeneca, Sanofi, GSK และ Eli Lilly ล้วนมีโรงงานผลิตยาอย่างน้อยหนึ่งแห่งในสหรัฐฯ ที่ผลิตยาเพื่อส่งไปขายในจีน ผมขอยกตัวอย่างยาสำคัญๆ ที่มีข้อมูลระบุไว้ชัดเจนนะครับ
1. ยารักษาโรคมะเร็ง Durvalumab ผลิตโดย AstraZeneca ที่โรงงานในรัฐอินเดียน่า สหรัฐอเมริกา ยาตัวนี้ถือเป็นยาสำคัญที่ช่วยชีวิตผู้ป่วยมะเร็งหลายราย
2. ยารักษาโรคเบาหวานและลดน้ำหนัก Tirzepatide ผลิตโดย Eli Lilly ในรัฐอินเดียน่าเช่นกัน เป็นยาที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน
3. ยาแอนติบอดีป้องกันไวรัส RSV (Nirsevimab) ไวรัส RSV นี้เป็นสาเหตุสำคัญของโรคทางเดินหายใจในเด็กเล็ก ยาตัวนี้ผลิตโดย AstraZeneca และ Sanofi ที่โรงงานในรัฐนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา
4. ยาสูตรผสมรักษา HIV (Lamivudine/Dolutegravir) ยาต้านไวรัสเอชไอวีแบบสองตัวในเม็ดเดียว ผลิตโดย GSK ที่โรงงานในรัฐนอร์ทแคโรไลนา
จะเห็นว่ายาเหล่านี้ใช้รักษาโรคที่ร้ายแรงและพบบ่อย ตั้งแต่มะเร็ง เบาหวาน ไปจนถึงโรคติดเชื้อไวรัสสำคัญอย่าง RSV และ HIV การที่ยาเหล่านี้อาจได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีจึงเป็นเรื่องที่น่ากังวลไม่น้อยเลยครับ
ผลกระทบที่อาจเกิดกับผู้ป่วย ยาแพงขึ้น หรือหาซื้อยาก?
เมื่อยาที่ผลิตในสหรัฐฯ ถูกเก็บภาษีนำเข้าในจีนสูงขึ้น มันจะเกิดอะไรตามมา? ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าและอุตสาหกรรมยาให้ความเห็นว่า ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้มีอยู่สองทางหลักๆ ครับ
1. ราคายาที่สูงขึ้น ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษี อาจถูกผลักภาระมาสู่ผู้ป่วย ทำให้ต้องจ่ายค่ายาแพงขึ้น ซึ่งจะเป็นปัญหาอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องใช้ยาเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง
2. การเข้าถึงยาที่จำกัดลง ในบางกรณี บริษัทอาจตัดสินใจลดปริมาณการนำเข้ายาตัวนั้นๆ มายังจีน หรืออาจเกิดปัญหายาขาดตลาดชั่วคราวได้ หากการปรับตัวด้านการผลิตหรือการนำเข้าไม่ทันท่วงที
แล้วทำไมบริษัทไม่ย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่นที่ไม่โดนภาษีล่ะ? คำถามนี้ดีมากครับ แต่ในความเป็นจริง การย้ายฐานการผลิตยาไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนการย้ายโรงงานผลิตเสื้อผ้าหรือของเล่นนะครับ อุตสาหกรรมยาต้องผ่านมาตรฐานการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวดมาก ตั้งแต่การสร้างโรงงาน การติดตั้งเครื่องจักรเฉพาะทาง กระบวนการผลิตที่ซับซ้อน ไปจนถึงการขออนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลในแต่ละประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้เวลาและเงินลงทุนมหาศาล การจะย้ายฐานการผลิตยาในระยะสั้นเพื่อหนีภาษีจึงเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยครับ
ภาพใหญ่ ความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทานยาโลก
สถานการณ์นี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนและความเปราะบางของ "ห่วงโซ่อุปทานยา" (Pharmaceutical Supply Chain) ในระดับโลกครับ ยาหนึ่งตัวอาจมีแหล่งผลิตตัวยาสำคัญ (Active Pharmaceutical Ingredient - API) อยู่ประเทศหนึ่ง นำไปผลิตเป็นยาเม็ดหรือยาฉีดในอีกประเทศหนึ่ง แล้วส่งไปบรรจุและจำหน่ายในอีกหลายๆ ประเทศ การที่ประเทศใดประเทศหนึ่งในห่วงโซ่นี้มีปัญหา ไม่ว่าจะจากภัยธรรมชาติ โรคระบาด หรือแม้แต่นโยบายทางการเมืองอย่างกำแพงภาษี ก็สามารถส่งผลกระทบเป็นวงกว้างได้
ณ ตอนนี้ (เมษายน 2025) เรายังไม่ทราบแน่ชัดว่า ปริมาณยาที่ผลิตในสหรัฐฯ และส่งไปจีนนั้นมีสัดส่วนมากน้อยเพียงใด และท่าทีของบริษัทยาต่างๆ ก็ยังค่อนข้างระมัดระวัง แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ ความไม่แน่นอนนี้ได้สร้างความกังวลให้กับทั้งผู้ผลิตและผู้ป่วยทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในจีนเท่านั้นนะครับ เพราะในฝั่งสหรัฐฯ เอง บริษัทต่างๆ ก็กำลังวิ่งเต้นให้รัฐบาลทยอยขึ้นภาษี (หากจะมีการขึ้น) เพื่อให้พวกเขามีเวลาปรับตัวและย้ายฐานการผลิตสำหรับยาที่ นำเข้า สหรัฐฯ เช่นกัน
มองไปข้างหน้า เราควรทำอย่างไร?
เรื่องราวสงครามการค้าที่ส่งผลต่อยานี้ เป็นเครื่องเตือนใจว่าโลกเราเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออกจริงๆ ครับ นโยบายเศรษฐกิจของประเทศหนึ่ง อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของผู้คนในอีกซีกโลกหนึ่งได้
ในฐานะผู้บริโภคและผู้ป่วยอย่างเราๆ ท่านๆ สิ่งสำคัญคือการติดตามข้อมูลข่าวสารจากแหล่งที่น่าเชื่อถืออยู่เสมอครับ หากคุณหรือคนในครอบครัวกำลังใช้ยาตัวใดตัวหนึ่งที่อาจได้รับผลกระทบ (โดยเฉพาะยาที่นำเข้าจากต่างประเทศ) การปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรที่ดูแลอยู่เป็นประจำ จะช่วยให้คุณทราบถึงสถานการณ์ล่าสุดและทางเลือกอื่นๆ ที่อาจมีได้หากเกิดปัญหาราคายาสูงขึ้นหรือยาขาดแคลนขึ้นมาจริงๆ
แหล่งอ้างอิง:
Silver, Andrew. (2025, April 15). Tariff Wars to Hit Popular US-made Drugs in China, Regulator Data Shows. Reuters Health Information.
สุขภาพ
ข่าวรอบโลก
การแพทย์
บันทึก
2
1
2
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย