Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Vate's Pharma Scope
•
ติดตาม
23 เม.ย. เวลา 03:00 • สุขภาพ
ผื่นคันหลังป่วยโรคหลอดเลือดสมอง เมื่อยาดี...อาจกลายเป็นตัวร้ายที่คุณไม่คาดคิด?
ลองนึกภาพตามนะครับ ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง เพิ่งฟื้นตัวจากโรคหลอดเลือดสมอง กลับบ้านมาพักผ่อนพร้อมยาที่คุณหมอจัดให้ แต่จู่ๆ ไม่กี่วันต่อมา กลับมีผื่นแดง คัน แสบร้อน ขึ้นเต็มตัวไปหมด มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ยาที่ควรจะช่วยรักษา กลับกลายเป็นต้นเหตุของปัญหาใหม่หรือเปล่า?
เรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงครับ และเป็นเรื่องสำคัญที่เราทุกคนควรใส่ใจ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องใช้ยาเป็นประจำ หรือเพิ่งเริ่มยาตัวใหม่ วันนี้ผมจะพาไปไขปริศนาจากกรณีศึกษาจริง เพื่อให้เราเข้าใจถึง “อาการแพ้ยา” ที่อาจแฝงตัวมาในรูปแบบที่เราคาดไม่ถึง อย่างเช่น อาการลมพิษเฉียบพลันหลังได้รับยาแอสไพริน ซึ่งเป็นยาที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดสมองครับ
เรื่องจริงจากห้องฉุกเฉิน สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม
มีกรณีศึกษาที่น่าสนใจจากทีมแพทย์ในบังคลาเทศ ชายวัย 53 ปี เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยอาการแขนขาขวาอ่อนแรง ซึ่งได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบด้านซ้าย (Left-sided ischemic stroke) หลังจากรักษาตัวอยู่ 3 วัน เขาก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน พร้อมกับยาหลายตัว รวมถึงยาสำคัญคือ แอสไพริน ขนาด 75 มิลลิกรัม วันละครั้ง เพื่อป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองซ้ำ นอกจากนี้ยังมี ยาลดความดันโลหิต (Enalapril), ยาลดไขมัน (Atorvastatin), และยาลดกรด (Omeprazole)
ฟังดูเหมือนทุกอย่างกำลังไปได้ดีใช่ไหมครับ? แต่เพียง 5 วันหลังกลับบ้าน เขาก็ต้องกลับมาที่ห้องฉุกเฉินอีกครั้ง ด้วยอาการผื่นแดง คัน แสบร้อน ลามไปทั่วลำตัว แขน และขา ที่สำคัญคือ เขาไม่ได้มีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น หายใจลำบาก หรือปากบวมตาบวม (Angioedema) และจากการซักประวัติอย่างละเอียด เขาไม่มีประวัติแพ้ยาหรือแพ้อาหารมาก่อน ไม่ได้เปลี่ยนสภาพแวดล้อม หรือสัมผัสสัตว์เลี้ยงใดๆ ในช่วงนั้นเลย ไม่มีคนในครอบครัวมีประวัติภูมิแพ้ด้วย
2
ตอนแรก ทีมแพทย์สงสัยว่าอาจเป็นผลข้างเคียงจากยา Enalapril ซึ่งเป็นยากลุ่ม ACE inhibitors ที่ทราบกันดีว่าอาจทำให้เกิดผื่นแพ้หรืออาการแพ้ได้ แม้ว่าผู้ป่วยจะใช้ยานี้มานานถึง 3 ปีแล้วก็ตาม จึงได้ลองเปลี่ยนไปใช้ยา Amlodipine แทนแต่...อาการผื่นคันก็ยังไม่ดีขึ้นเลยครับ
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อทีมแพทย์ตัดสินใจลองหยุดยาแอสไพริน และเปลี่ยนไปใช้ยา Clopidogrel ซึ่งเป็นยาต้านเกล็ดเลือดอีกชนิดหนึ่งแทน ไม่น่าเชื่อว่าเพียงวันรุ่งขึ้น อาการคันก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และผื่นแดงก็เริ่มยุบลง ภายใน 3 วัน ผื่นก็หายไปเกือบหมด ทำให้ทีมแพทย์ค่อนข้างมั่นใจว่า “ผู้ร้ายตัวจริง” ในกรณีนี้ก็คือ “ยาแอสไพริน” นั่นเองครับ
แอสไพรินและยากลุ่ม NSAIDs (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs) เป็นยาที่ใช้กันอย่างกว้างขวางทั่วโลก มีประโยชน์มากมาย ทั้งลดไข้ บรรเทาปวด ลดการอักเสบ และที่สำคัญคือช่วยป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง แต่เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ ยาเหล่านี้ก็สามารถทำให้เกิด “ปฏิกิริยาภูมิไวเกิน” (Hypersensitivity Reactions) ได้หลากหลายรูปแบบเช่นกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ “ลมพิษ” (Urticaria) หรือผื่นคันที่เรากำลังพูดถึงนี่แหละครับ
ข้อมูลระบุว่า ภาวะภูมิไวเกินต่อแอสไพรินพบได้ประมาณ 0.9% ถึง 1.5% ในประชากรทั่วไป ส่วนอาการลมพิษที่เกิดจากแอสไพรินโดยเฉพาะ พบได้ราว 0.3% ในผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดี แม้ตัวเลขจะดูไม่สูงมาก แต่เมื่อพิจารณาถึงจำนวนผู้ใช้ยาแอสไพรินทั่วโลกแล้ว ก็นับว่าเป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้ามเลยครับ
ลมพิษจากแอสไพริน แบ่งได้เป็น 2 แบบหลักๆ คือ
1. ลมพิษเฉียบพลัน (Acute Urticaria) อาการจะเกิดขึ้นภายในไม่กี่นาทีไปจนถึง 24 ชั่วโมงหลังได้รับยา และอาการมักจะหายไปภายใน 6 สัปดาห์ เหมือนในกรณีศึกษาที่เราเล่าไปครับ
2. ลมพิษเรื้อรัง (Chronic Urticaria) อาการผื่นคันจะเป็นๆ หายๆ นานกว่า 6 สัปดาห์ขึ้นไป แอสไพรินอาจกระตุ้นให้อาการลมพิษเรื้อรังที่มีอยู่เดิมกำเริบขึ้นได้
ทำไมบางคนถึงแพ้แอสไพริน?
กลไกที่แท้จริงว่าทำไมแอสไพรินถึงทำให้เกิดลมพิษในบางคน ยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างสมบูรณ์นักครับ แต่มีข้อสันนิษฐานทางเภสัชวิทยาว่า อาจเกี่ยวข้องกับการที่แอสไพรินไปรบกวนสมดุลของสารเคมีในร่างกายที่ชื่อว่า “กรดอะราคิโดนิก” (Arachidonic Acid Metabolism) ทำให้เกิดการหลั่งสารกระตุ้นการอักเสบและสารฮีสตามีน (Histamine) ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดอาการคันและผื่นลมพิษออกมามากกว่าปกติ
1
นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่บ่งชี้ว่า “ปัจจัยทางพันธุกรรม” อาจมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย บางคนอาจมียีนบางตัวที่ทำให้ไวต่อการเกิดปฏิกิริยาแพ้แอสไพรินมากกว่าคนอื่น หรืออาจมีกระบวนการสลายสารฮีสตามีนที่บกพร่องไป ทำให้มีฮีสตามีนสะสมในร่างกายมากเกินไปเมื่อได้รับยา
ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ บางครั้งปฏิกิริยาแพ้ไม่ได้เกิดจากตัวยาแอสไพรินโดยตรง แต่อาจเกิดจาก “สารปรุงแต่ง” (Excipients) ที่ผสมอยู่ในเม็ดยาแทนก็เป็นได้ครับ
มากกว่าแค่ผื่นคัน ความหลากหลายของอาการแพ้ยา
ต้องบอกว่า อาการแพ้ยาในกลุ่ม NSAIDs รวมถึงแอสไพรินนั้น พบได้ค่อนข้างบ่อยนะครับ คิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของอาการไม่พึงประสงค์จากยาทั้งหมดเลยทีเดียว ซึ่งอาการทางผิวหนังก็มีได้หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ลมพิษ ผื่นแดงธรรมดา (Maculopapular exanthem) ผื่นแพ้ยาแบบตุ่มน้ำใสเฉพาะที่ (Fixed drug eruption) ไปจนถึงอาการแพ้รุนแรงที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เช่น กลุ่มอาการ DRESS หรือกลุ่มอาการสตีเวนส์-จอห์นสัน (Stevens-Johnson Syndrome - SJS) และ Toxic Epidermal Necrolysis (TEN)
อย่างไรก็ตาม ลมพิษเฉียบพลันเองก็สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ใช่แค่ยาเพียงอย่างเดียว อาจเกิดจากการติดเชื้อ แพ้อาหาร แพ้สารสัมผัส แพ้แสงแดด หรือแม้แต่ถูกแมลงกัดต่อย นี่จึงเป็นความท้าทายของแพทย์ในการวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริงครับ
1
รู้ทัน ป้องกันได้ การจัดการเมื่อสงสัยว่าแพ้ยา
หัวใจสำคัญที่สุดเมื่อสงสัยว่าเกิดอาการแพ้ยา ก็คือ การหยุดยาตัวที่สงสัยว่าเป็นสาเหตุทันที แต่ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรนะครับ อย่าหยุดยาเองโดยพลการ โดยเฉพาะยาที่จำเป็นต่อการรักษาโรคประจำตัว
1
ในกรณีที่แพ้แอสไพริน แพทย์อาจพิจารณาให้ยาทางเลือกอื่น เช่น Clopidogrel ดังในกรณีศึกษา หรือยาต้านเกล็ดเลือดชนิดอื่นๆ แทน ส่วนอาการผื่นคันลมพิษ ก็จะรักษาตามอาการเป็นหลัก โดยใช้ยาแก้แพ้ (Antihistamines) เป็นอันดับแรก หากอาการรุนแรง อาจจำเป็นต้องใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) หรือยากดภูมิคุ้มกัน (Immunomodulators) ร่วมด้วยในระยะสั้นๆ
สิ่งสำคัญอีกประการคือ ผู้ที่แพ้ยาในกลุ่ม NSAIDs ตัวใดตัวหนึ่ง อาจเกิด "การแพ้ข้ามกลุ่ม" (Cross-reactivity) กับยาตัวอื่นในกลุ่มเดียวกันได้ ดังนั้น ในช่วงแรกควรหลีกเลี่ยงการใช้ยา NSAIDs ทุกชนิด จนกว่าจะได้รับการประเมินหรือทดสอบเพิ่มเติมจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อยืนยันว่าแพ้ยาตัวไหนกันแน่ และสามารถใช้ยาตัวไหนได้อย่างปลอดภัยบ้าง
การจดจำชื่อยาที่แพ้ หรือพกบัตรแพ้ยาติดตัว (Drug Allergy Card) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อแจ้งให้บุคลากรทางการแพทย์ทราบทุกครั้งที่เข้ารับการรักษา จะช่วยป้องกันการได้รับยาที่แพ้ซ้ำได้ครับ
เรื่องราวของผู้ป่วยรายนี้ เป็นเครื่องย้ำเตือนให้เราเห็นว่า แม้แต่ยาที่ใช้กันทั่วไปอย่างแอสไพริน ก็อาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่คาดไม่ถึงได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว หรือเพิ่งผ่านการเจ็บป่วยมา การสังเกตอาการผิดปกติของตนเองหลังจากได้รับยาใหม่ หรือแม้แต่ยาเดิมที่เคยใช้ ก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งครับ
หากคุณมีผื่นคัน หรืออาการผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นหลังใช้ยา อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรนะครับ การซักประวัติอย่างละเอียด การตรวจร่างกาย และการสืบค้นหาสาเหตุที่ถูกต้อง จะนำไปสู่การวินิจฉัยและการจัดการที่เหมาะสม ช่วยให้คุณปลอดภัยจากการแพ้ยาได้
การสื่อสารที่ดีระหว่างผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ คือกุญแจสำคัญในการใช้ยาอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุดนะครับ
แหล่งอ้างอิง:
Dahal A, et al "Aspirin- induced urticaria in a recently diagnosed ischemic stroke patient: A case report and literature review" Clin Case Rep 2023; DOI: 10.1002/ccr3.7704.
สุขภาพ
ข่าวรอบโลก
การแพทย์
7 บันทึก
14
3
10
7
14
3
10
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย