Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Vate's Pharma Scope
•
ติดตาม
22 เม.ย. เวลา 14:00 • สุขภาพ
ต้นกำเนิดอาหารแพลนต์เบส เรื่อง (ไม่) ลับของ ดร.เคลล็อกก์ ผู้มาก่อนกาล
เวลาพูดถึงนามสกุล "เคลล็อกก์" หลายคนคงนึกถึงซีเรียลอาหารเช้ากล่องเหลืองๆ แต่รู้หรือไม่ว่า ชายผู้อยู่เบื้องหลังนามสกุลนี้ ดร. จอห์น ฮาร์วีย์ เคลล็อกก์ (John Harvey Kellogg) ไม่ได้โด่งดังแค่เรื่องอาหารเช้าเท่านั้น แต่เขายังเป็นทั้งแพทย์ นักโภชนาการ นักประดิษฐ์ และผู้ประกอบการชาวอเมริกัน ที่มีความคิดล้ำหน้าไปไกลกว่ายุคสมัยของเขามากครับ
แนวคิดของ ดร.เคลล็อกก์ ที่มองว่า "อาหารคือยา" ซึ่งเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับหลักการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมในปัจจุบันอย่างน่าประหลาดใจ เขาอาจจะถือเป็น "อินฟลูเอนเซอร์ด้านสุขภาพ" คนแรกๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ ก่อนที่คำนี้จะแพร่หลายเสียอีก แนวคิดหลายอย่างของเขา โดยเฉพาะการส่งเสริมการกินอาหารจากพืชเป็นหลัก (Plant-based) ถือเป็นรากฐานสำคัญของเทรนด์สุขภาพที่กำลังมาแรงทั่วโลกในขณะนี้
2
ดร.เคลล็อกก์ กับปรัชญา "การใช้ชีวิตตามชีวภาพ"
ดร.เคลล็อกก์ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพแบตเทิลครีก (Battle Creek Sanitarium) ในรัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ที่นี่เองที่เขาได้ทดลองและพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพที่เรียกว่า "Biologic Living" หรือ "การใช้ชีวิตตามชีวภาพ" ปรัชญานี้เน้นความเชื่อมโยงระหว่างอาหาร ร่างกาย และสุขภาพ เขาเชื่อว่าการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและอาหารการกินสามารถป้องกันและรักษาโรคได้
แนวทางการรักษาของเขามีหลากหลาย ตั้งแต่วิธีการที่ดูสมเหตุสมผลในปัจจุบัน เช่น การสนับสนุนให้อยู่ในที่อากาศบริสุทธิ์ การอาบน้ำ (ซึ่งสมัยนั้นอาจยังไม่แพร่หลายเท่าปัจจุบัน) และการกินอาหารที่มีแบคทีเรียชนิดดี (โปรไบโอติกส์) ไปจนถึงวิธีที่อาจจะดูแปลกประหลาดในสายตาคนยุคนี้ เช่น การสวนทวารด้วยโยเกิร์ต หรือการใช้เก้าอี้สั่นเพื่อสุขภาพ (ซึ่งบางวิธีก็ไม่ได้รับการยอมรับทางการแพทย์ในปัจจุบันนะครับ)
อย่างไรก็ตาม หัวใจสำคัญของแนวคิด ดร.เคลล็อกก์ คือการส่งเสริม การกินมังสวิรัติ เขาได้รับอิทธิพลจากขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อชีวิตที่สะอาดบริสุทธิ์ (Progressive clean-living movement) และเชื่อว่าการกินเนื้อสัตว์ส่งผลเสียต่อระบบย่อยอาหารและระบบประสาท เขาเชื่อมั่นว่าถั่วและธัญพืชต่างๆ สามารถเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีต่อสุขภาพและยั่งยืนกว่าเนื้อสัตว์ได้
จุดกำเนิด "เนื้อเทียม" จากห้องครัวทดลองสู่เชิงพาณิชย์
ด้วยความเชื่อมั่นนี้ ดร.เคลล็อกก์ และภรรยา (เอลล่า) ได้ก่อตั้งครัวทดลองขึ้นภายในสถาบันฯ เพื่อคิดค้นอาหารจากพืชที่จะมาทดแทนเนื้อสัตว์ จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1896 เมื่อกระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ (U.S. Department of Agriculture) ได้ติดต่อ ดร.เคลล็อกก์ ให้ช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารจากพืชที่ปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการ เพื่อเป็นทางเลือกแทนเนื้อสัตว์
1
ดร.เคลล็อกก์ ตอบรับคำท้านั้น และได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมขึ้นมาหลายชนิด ที่โดดเด่นคือ
1. นัทโทส (Nuttose): ทำจากถั่วและธัญพืชบด
2. กราโนส (Granose): บิสกิตที่ทำจากข้าวสาลีเป็นหลัก
3. โปรโทส (Protose): ส่วนผสมของกลูเตนข้าวสาลี (โปรตีนจากข้าวสาลี) ซีเรียล และถั่วลิสงบด
ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ถือเป็น "เนื้อเทียม" หรือ "เนื้อจากพืช" (Vegetable Meat) ยุคแรกๆ เลยก็ว่าได้ ดร.เคลล็อกก์ เล็งเห็นศักยภาพทางการค้า จึงก่อตั้งบริษัท Sanitas Nut Food Company ขึ้นในปี ค.ศ. 1899 ภายในปี ค.ศ. 1912 บริษัทของเขาสามารถจัดส่ง "เนื้อจากพืช" เหล่านี้ไปทั่วสหรัฐอเมริกาได้มากถึงปีละกว่า 65,000 กิโลกรัม หนังสือพิมพ์ Chicago Tribune ถึงกับพาดหัวข่าวว่า ดร.เคลล็อกก์ ได้ "แก้ปัญหาเรื่องเนื้อสัตว์" ได้แล้ว
กลยุทธ์การตลาดสุดช็อก จากความกลัวสู่ทางเลือกสุขภาพ
บริษัท Sanitas ไม่ได้หยุดแค่การผลิต แต่ยังทุ่มเททำการตลาดอย่างหนักผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ยอดนิยมในยุคนั้น กลยุทธ์ที่พวกเขาใช้เรียกว่า "Shockvertising" หรือการโฆษณาแบบกระตุ้นให้ตกใจ เพื่อสร้างความกลัวเกี่ยวกับการบริโภคเนื้อสัตว์
โฆษณาหลายชิ้นใช้ภาพที่น่าสะเทือนใจ เช่น ภาพวัวที่ถูกล่ามโซ่ มีเลือดไหล และกำลังจะถูกทุบด้วยค้อน ในโฆษณาชื่อ "Why Slay to Eat" (ทำไมต้องฆ่าเพื่อกิน) หรือบางโฆษณาก็พุ่งเป้าไปที่ผู้อ่านโดยตรง เรียกคนที่กินเนื้อหมูว่า "Pigarians" (มนุษย์หมู) โดยอ้างว่าการกินหมูทำให้คนมีลักษณะท่าทางเหมือนหมู นอกจากนี้ ยังมีการเตือนถึงความไม่สะอาดของโรงฆ่าสัตว์ และการปนเปื้อนในเนื้อสัตว์ที่อาจนำไปสู่โรคต่างๆ เช่น โรคพยาธิตัวตืด หรือโรคทริคิโนซิส (พยาธิในหมู)
2
นอกจากการสร้างความกลัวแล้ว โฆษณายังใช้คำรับรองจากนักกีฬาชื่อดังและบุคลากรทางการแพทย์ชั้นนำ เพื่อยกย่องประโยชน์ต่อสุขภาพของผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์ โดยนำเสนอว่าเป็นยาครอบจักรวาลที่ช่วยให้ผู้คนแข็งแรง ฟิตขึ้น และดูอ่อนเยาว์ลง มีการเรียกร้องให้ "กลับสู่ธรรมชาติ" และกินอาหารเหมือนบรรพบุรุษ ซึ่งนักวิชาการด้านอาหารในปัจจุบันเรียกว่า "Nutritional Primitivism" หรือ "โภชนาการแบบดั้งเดิมนิยม"
ที่น่าสนใจคือ โฆษณายุคนั้นพยายามเน้นย้ำว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้มี รสชาติและลักษณะใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์จริง เพื่อลดความกังวลของผู้บริโภค และยังชี้ให้เห็นถึงความสะดวกสบายสำหรับแม่บ้าน เพราะเตรียมง่ายและนำไปปรุงอาหารได้หลากหลาย ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ยังคงเห็นได้ในผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์ในปัจจุบัน
มรดกของเคลล็อกก์ สู่ยุคเฟื่องฟูของอาหารแพลนต์เบส
เวลาผ่านไปกว่าศตวรรษ แนวคิดของ ดร.เคลล็อกก์ ได้หยั่งรากลึกและเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ปัจจุบัน ตลาดผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์ทั่วโลกมีมูลค่าสูงกว่า 13,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดการณ์ว่าจะเติบโตเกือบถึง 88,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี ค.ศ. 2032 การเติบโตนี้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพ จริยธรรม และความยั่งยืนมากขึ้น บริษัทอาหารยักษ์ใหญ่หลายแห่ง (ซึ่งบางแห่งก็ขายเนื้อสัตว์ด้วย) ต่างปรับตัว พัฒนา และนำเสนอผลิตภัณฑ์จากพืชเพื่อตอบสนองความต้องการนี้
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์การตลาดในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป การโฆษณาที่โจมตีการกินเนื้อสัตว์โดยตรงแบบในอดีตมีน้อยลง แต่หันมาเน้นประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและจริยธรรมในการกินเนื้อสัตว์แทน โดยเชื่อมโยงสุขภาพของร่างกายเข้ากับสุขภาพของโลก แต่สิ่งที่ยังคงคล้ายเดิมคือ การเน้นย้ำว่าผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์นั้น มีลักษณะและรสชาติเหมือนเนื้อจริง ซึ่งบางครั้งอาจเป็นการตอกย้ำโดยไม่ได้ตั้งใจว่า "โภชนาการที่ดี" ต้องมีพื้นฐานมาจากเนื้อสัตว์ และลดทอนคุณค่าของอาหารจากพืชในตัวเองลงไป
ในมุมมองของผม การสื่อสารในปัจจุบันน่าจะให้ความสำคัญกับการให้ความรู้เกี่ยวกับ คุณประโยชน์ทางโภชนาการที่แท้จริง และความหลากหลายของอาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ ควบคู่ไปกับการสร้างความตระหนักถึงผลกระทบของการทำปศุสัตว์ต่อสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยให้อาหารจากพืชยืนหยัดได้ด้วยคุณค่าของตัวเอง เป็นทางเลือกที่มั่นคงในระยะยาว ไม่ใช่เป็นเพียงกระแสที่ผ่านมาแล้วผ่านไป
เรื่องราวของ ดร. จอห์น ฮาร์วีย์ เคลล็อกก์ เป็นเครื่องเตือนใจว่า แนวคิดเรื่องการกินเพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะการเน้นพืชเป็นหลักนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและน่าสนใจ แม้ว่า ดร.เคลล็อกก์ จะเป็นบุคคลที่มีมุมมองซับซ้อนและมีแนวคิดบางอย่าง (เช่น การสนับสนุนแนวคิดสุพันธุศาสตร์ (eugenics) และ "สุขอนามัยทางเชื้อชาติ") ที่เป็นที่ถกเถียงและไม่เป็นที่ยอมรับในปัจจุบัน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขามีบทบาทสำคัญในการบุกเบิกเส้นทางให้กับอาหารแพลนต์เบสที่เราเห็นกันทุกวันนี้
1
2
เมื่อมองไปในอนาคต เราจะเห็นอาหารแพลนต์เบสก้าวข้ามการเป็นแค่ "ของทดแทน" ไปสู่การเป็นตัวเลือกหลักที่มีคุณค่าในตัวเองได้อย่างไร แล้วคุณล่ะครับ คิดว่าอะไรคือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้?
หากคุณผู้อ่านสนใจเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโภชนาการจากพืช หรือต้องการปรับเปลี่ยนการกินเพื่อสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ เพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสมกับสุขภาพและวิถีชีวิตของแต่ละบุคคลนะครับ
แหล่งอ้างอิง:
O'Hagan, L. A. (2025, April 1). How controversial nutritionist John Harvey Kellogg pioneered the path to modern plant-based eating. Medical Xpress. Retrieved April 15, 2025, from
https://medicalxpress.com/news/2025-04-controversial-nutritionist-john-harvey-kellogg.html
สุขภาพ
ข่าวรอบโลก
การแพทย์
5 บันทึก
11
6
12
5
11
6
12
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย