16 เม.ย. เวลา 03:36 • นิยาย เรื่องสั้น

น้ำมันพราย ตอนที่1 (2ตอนจบ)

เมื่อ30กว่าปี หลังจากที่ผมจบมัธยมปลาย ผมไม่คิดว่าตัวเองจะได้เรียนต่อ เพราะพ่อแม่เสียตั้งแต่เด็ก จึงมีพี่ชายดูแลมาตลอด พี่ชายก็ไม่เคยถามว่าจะเรียนต่อไหม ผมจึงตัดสินใจเดินตามรอยของพี่ชาย คือเป็นเซลล์ขายรถยนต์ยี่ห้อหนึ่ง อยู่ในจังหวัดขอนแก่น ส่วนพี่ชายเป็นผู้จัดการฝ่ายขายรถยนต์ยี่ห้อหนึ่งในจังหวัดเดียวกัน แต่ผมก็โชคดีที่มี่ญาติทำงานอยู่ด้วยกัน ญาติคนนี้เขาเป็นลูกเลี้ยงของน้าผมและเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันกับพี่ชายผม บ้านก็อยู่ตรงข้ามกัน เราจึงสนิทสนมกันมากมาตั้งแต่เด็ก พี่เขาชื่อ ทร
ในสมัยนั้นจะมีการออกไปติดตามลูกค้าที่เคยเข้ามาเยี่ยมชมรถยนต์ที่โชว์รูม ตามที่อยู่ที่ลูกค้าเคยให้ไว้ ยุคนั้นโทรศัพท์มือถือยังเข้าไม่ถึง จึงต้องมีการติดตามลูกค้าไปถึงบ้านเพื่อไปสอบถามหรือเสนอเงื่อนไขเพิ่มเติม ด้วยที่ผมเป็นเซลล์ใหม่การออกพบลูกค้าข้างนอกจึงต้องมีเซลล์เก่าพาไป เพื่อเรียนรู้และหาประสบการณ์ด้วย คนที่พาไปก็คือ พี่ทร ญาติผม เพื่อนพี่ชายผมนั่นเอง เขาเป็นเซลล์เก่า ที่อยู่มาหลายปี การออกพบลูกค้าจะเป็นแบบนี้ประจำเกือบทุกวัน อยู่โชว์รูม 1 วัน สลับกันกับเซลล์คนอื่น ๆ
โดยใช้รถบริษัท น้ำมันบริษัทในการออกไปหาลูกค้าข้างนอก ถ้าระยะทางไกลๆ ที่ต้องเดินทางข้ามจังหวัด ในเขตภาคอีสาน อาจจะต้องกลับถึงบริษัทค่ำมืด ดึกดื่นก็มี แต่ด้วยพี่ทร แกอยู่มานาน แกมักจะกลับเข้าบริษัทตอนเช้าเลย แต่ก็ไม่บ่อย นอกจากแกจะแอบไปทำธุระส่วนตัว ธุระส่วนตัวแก ก็คือ การจีบสาว แกเป็นคนเจ้าชู้มาก ผิวคล้ำนิดๆ หน้าตาหล่อเอาการ(ในยุคนั้น) แกเพิ่งเลิกกับเมียมาหมาดๆ มีลูกด้วยกัน ลูกก็ไปอยู่กับเมียแก สาเหตุที่เมียแกเลิกเพราะทนความเจ้าชู้ของพี่สทรไม่ได้ จึงเลิกกันขนของหอบลูกหนีกลับบ้านไป
เหมือนกับว่าถึงเวลาแล้ว นรกกำลังเปิดเส้นทางอันชั่วร้าย ให้กับพี่ทร ซึ่งมันกำลังดึงตัวผมเข้าไปร่วมสังเกตุการณ์หรือร่วมหนทางนี้ด้วย
เช้าวันหนึ่ง พี่ทรแกรีบเดินมาหาผมแต่เช้าที่บ้าน บอกวันนี้เราจะรีบออกไปหาลูกค้าที่จังหวัดสุรินทร์ ถึงบริษัทรีบเบิกรถเบิกน้ำมัน เสร็จเรียบร้อยออกเดินทางทันที เป้าหมายรู้แค่ว่าจังหวัดสุรินทร์ ใช้เวลาเดินทางถึงตัวจังหวัดสุรินทร์ประมาณ เกือบ 5 ชั่วโมง เมื่อเราเดินทางมาถึงตัวจังหวัดสุรินทร์ เด็กบ้านนอกอย่างผมที่แทบจะไม่เคยได้ออกต่างจังหวัดเลยจึงไม่รู้ว่า เส้นทางหลังจากนี้ไป พี่ทรกำลังจะพาผมไปที่แห่งใด
ด้วยเส้นทางที่ไม่ใช่เส้นทางหลัก แต่กำลังลัดเลาะ เข้าดงเข้าป่า ทะลุหมู่บ้านนั้น ออกหมู่บ้านนี้ ทางยิ่งลึก ยิ่งเล็ก ยิ่งเปลี่ยว ยิ่งไร้บ้านคน ไร้ผู้คนสัญจร "นี่กูมาหาลูกค้าประเภทไหนวะเนี่ย" ผมพูดออกไป พี่ทรได้แต่หัวเราะ เพราะตลอดทาง ก็ถามมาตลอด คำตอบที่ได้ก็คือ "เดี๋ยวก็ถึง"
ตลอดทางที่ซับซ้อน เราก็ถึงจุดหมาย เวลาประมาณ บ่าย2 โมง เมื่อเราจอดรถหน้าทางเข้าบ้าน ที่มีแขนงไม้ไผ่ลอดสลับทำเป็นประตูหน้าบ้าน ลักษณะของบ้านเป็นบ้านไม้เก่า คล้ายทรงไทยโบราณ แต่ไม่ใช่ทรงไทย ยกถุนสูง ขั้นบันใดเป็นไม้ท่อนทรงกลม ไม่ปราณีตนัก ใช้ไม้ลิ่มเป็นหมุดยึด บ้านทั้งหลังไม่เห็นตะปูซักดอก บริเวณรอบบ้านจะมีต้นไม้ปลูกถี่เป็นรั้วสูงมองข้างนอกไม่เห็นตัวบ้าน แต่มีรั้วด้านในอีกชั้นใช้แขนงไม้ไผ่สอดสลับกันจนเป็นรั้ว ชนิดที่ว่าไก่ก็ลอดเข้าลอดออกไม่ได้ แต่ก็ไม่เห็นมีไก่ซักตัว
ซักพักก็ได้ยินแต่เสียงผู้ชาย ตะโกนลงมาจากบนบ้านว่า "เปิดประตูแล้วเดินเข้ามาเลย ปิดประตูด้วย" สำเนียงออกเขมร "ขึ้นบันใดมาเลย ถือรองเท้าขึ้นมาด้วยนะ" ผมนี่เป็นงงเลย ใต้ถุนบ้านโคตรสะอาด แต่ให้ถือรองเท้าขึ้นบ้านด้วย แต่เราก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ทำตามเจ้าของบ้านบอกเท่านั้น ผมขึ้นบันใดตามหลังพี่ทร ได้พูดในใจว่า "นี่พากูมาขายรถ หรือพากูมาหาหมอผีกันแน่" ขณะที่กำลังก้าวขึ้นบันใดขั้นสุดท้าย พลันสายตาก็เหลือบเข้าไปข้างในห้อง ทำให้ตกใจแทบตกบันใด อุทานในใจ"เฮ๊ย! หมอผี หมอผีจริงๆด้วย"
ภาพที่เห็นคือ หัวกระโหลกคน ประมาณ 10 กว่ากระโหลก ทั้งเล็กและใหญ่ และที่มีทั้งผ้าสีทองคลุมไว้ เทียนเล่มใหญ่ขนาดเท่าแขน สูง 1 ฟุต ตั้งบนกระโหลก เราไหว้สวัสดีเจ้าของบ้านผู้ชาย อายุประมาณ 50 กว่า หนวดเครายาวยุ่งมีเศษน้ำตาเทียนเกาะติดตามหนวดเครา ผิวคล้ำ ชุดที่ใส่คล้ายพรามณ์ ทำพิธี บายศรีสู่ขวัญ แต่ที่แปลกคือ..สีดำทั้งชุด ไม่มีลูกประคำห้อยคอ เหมือนในหนัง พกแต่มีด คล้ายกริช แกนั่งหันหน้าเข้าหากระโหลก แต่มีอ่างน้ำมนต์ที่เป็นภาชนะทองเหลืองเก่ามาก จนดำ กว้างประมาณล้อรถยนต์ สูงประมาณ 1 คืบ ขอบปากเว้าเข้า
มีหุ่นคนชายหญิงผูกมัดติดกันด้วยเชือกด้ายสายสิญจ์สีขาวและสีแดง หลายคู่ ที่แปลกก็คือ บ้านหลังนี้ไม่มีไฟฟ้า แต่ทว่าหุ่นคนชายหญิง ทุกคู่ หมุนกลิ้งแนวนอนสลับกัน ขึ้นบน ลงล่าง นานๆที หุ่นจะกระตุกขึ้น เป็นครั้งคราว ในขณะที่อ่างน้ำมนต์ไม่มีไอความร้อน น้ำมนต์ก็ไม่เดือดผุดๆ ไม่ได้จุดไฟด้านล่างเลย
เราสองคนได้แต่นั่งมองอยู่ด้านนอกของห้อง สัมผัสความเงียบได้อย่างชัดเจน ไม่มีแม้แต่เสียงนกด้านนอกร้อง แม้อยู่ในป่า ตาจ้องดูแต่อ่างน้ำมนต์ รอดูว่าจะกระตุกขึ้นมาอีกตอนไหน
เราได้แต่อยู่บนบ้านตลอด เรานั่งรอเกือบ1ชั่วโมง แล้วแกก็พูดกับพี่ทร ว่า"4ทุ่มครึ่ง เราจะเข้าป่า" พี่ทรตอบกลับสั้นๆ"ครับ" ราวกับว่า รู้จุดประสงค์ของการมาแล้ว แล้วแกก็ยกกาน้ำใบใหญ่พร้อมกับขันน้ำมาให้ ภาชนะดูเก่าแก่มากแต่สะอาด ผมเหมือนใบ้แดก ไม่พูดอะไรออกมาซักคำ
จนเวลา ใกล้เวลา เราเตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างที่ต้องใช้ พ่อหมอถือย่ามพร้อมอุปกรณ์ทำพิธี เทียนใหญ่เท่าแขน 2เล่ม ยาว 1 ศอก พี่ทรถือค้อนปอนด์ขนาดกลาง ผมถือจอบด้ามสั้น จอบและค้อนมีใบไม้อะไรสักอย่างห่อโคนด้ามถูกพันทับด้วยสายสิญจ์ ไม่ให้ใบไม้หลุด
ทุกอย่างพร้อม พวกเราเริ่มออกเดิน "ห๊ะ! เดิน นึกว่านั่งรถไป ไหงเดินเอา" เราออกเดินเท้า ถนนเป็นดินทราย เดินลำบากต้องถอดรองเท้าเดิน เท้าแตะพื้นเย็นสบายมาก เราพยายามเดินให้เร็ว ผ่านป่าข้างทาง มีไฟส่องกบ จากแบตรถจักรยานยนต์ ประมาณ 20 นาที เราก็มาถึง ป่า ป่าจริงๆ "ป่าช้า" แสงไฟสลัวดวงเล็กๆ จากกุฏิพระ แทบมองไม่เห็นที่อยู่ไกลมาก บรรยากาศในป่าเย็นมาก ไม่มีลม ไม่มีเสียงของสัตว์ ราวกับรู้ว่ามีคนมา จากขอบป่าเราเดินเข้ามาไม่ไกลนักก็มาหยูดอยู่ที่...หลุมฝังศพ
ในความคิดตอนนั้น คิดว่า ไม่ได้มาขุดศพ แต่น่าจะมาเอาของมีค่าอะไรสักอย่าง มีความรู้สึกกลัวไม่ใช่กลัวผี แต่กลัวคนหรือชาวบ้าน มาเห็น ทำให้ตื่นเต้นมาก ...หลุมฝังศพ ที่ก่อขึ้นด้วยอิฐบล็อกคอนกรีต พ่อหมอยืนอยู่หน้าหลุม แต่ยังคงสะพายถุงย่ามไม่ยอมวางลงพื้น พร้อมจุดเทียนเล่มใหญ่ 1เล่ม ตั้งไว้บนพื้น ดับไฟส่องกบ คงเหลือเพียงแสงของเทียน แสงของจันทร์ส่องลอดไม่ถึง เพราะป่าปกคลุม
พ่อหมอ...เริ่มสวด ประโยคแรกเเท่านั้นแหละ "นี่มันภาษาเขมรนี่นา" อยู่ๆ ขนแขนลุกชูชัน รู้สึกวาบขึ้นหนังหัว ความกลัวเริ่มมา ไม่ได้กลัวคนมาเห็นแล้ว ...แต่นี่อาการกลัวผีชัดๆ หัวใจยิ่งเต้นแรงถี่เข้า คำสวดก็ไม่ใช่ภาษาหรือสำเนียงที่คุ้นเคยในหนัง คำว่า"นะโม" "โอม" ไม่มีให้ได้ยิน แต่ที่ได้ยินจนจำฝังใจ เพราะพ่อหมอพูดบ่อยๆ และซ้ำๆ หลายครั้ง คือ"ตามคะยอม" จวบจนทุกวันนี้ก็ไม่รู้หรอกว่ามันแปลว่าอะไร สวดนานพอสมควร แล้วพ่อหมอก็บอกให้พี่ทรทุบกระเทาะปูนที่ปิดผนึกฝาด้านบนเพื่อจะได้เลื่อนฝาออกได้
ผมได้แต่ยืนขาแข็ง ทำอะไรไม่ถูก ใจอยากช่วยแต่ก็ไม่อยากช่วย "กูมาทำอะไรที่นี่ ไอ้บ้านี่มึงหลอกกูมา กลับถึงบ้านเมื่อไหร่กูจะเลิกไปกับมึง กูจะเลิกคบมึง"
เมื่อทุบรอบๆ แล้ว ..ไอ้หมอ กับไอ้ทร ก็ค่อยๆ เลื่อนเปิดฝาข้างบน อยู่ๆมันก็ตะคอกเรียกผม "เฮ๊ย เอาจอบมา" ผมยื่นจอบให้มัน แล้วมันก็งัด...ฝาโลง เสียงตะปูกับฝาโลงถอนออกเสียงดัง ไม่นานทุกอย่างก็เปิดออก บอกเลย ...กลิ่น คละคลุ้ง เต็มบริเวณนั้น แต่ไอ้หมอก็พูดออกมาว่า "ไม่ต้องพูดอะไรออกมานะ" ผมทั้งกลัว ทั้งอยากดู
"ผมนี่เหวอเลยเพราะสิ่งที่เห็น คือ คนตายเป็นผู้หญิง ผมยาว มือถูกมัดตราสัง ปากถูกปิดด้วยแผ่นขี้ผึ้ง มองตอนแรกนึกว่าคนอ้วนตาย ที่ไหนได้...เธอตายท้องกลม"
และแล้วสิ่งที่ไอ้หมอผีทำ มือมันกำผมคนตาย ลากหัวขึ้นมาวางบนขอบโลง แล้วมันก็เอาโถที่มีฝา เปิดฝาออก วางไว้ข้างในโลง แล้วมันก็จับหัวคนตายบิดคว่ำหน้าลง แล้วเอาเปลวเทียน..เผา ลนที่คางคนตาย สิ่งที่ไหลลงมาคือ น้ำเหลืองที่โดนความร้อน ผสมกับน้ำตาเทียนที่ไหลลงใส่โถ พร้อมกับสวดคาถาอีกบท มันน่าสยดสยองมาก ใช้เวลาไม่นาน ไอ้หมอผีก็เก็บโถปิดฝา เอาผ้าขาวห่อโถ เชือกผูกปลายผ้าเข้าหากัน ส่วนปลายเชือกอีกด้านผูกมัดห้อยไว้กับกิ่งไม้
แล้วไอ้หมอผีก็ลากศพเก็บเข้าที่ กำดินบริเวณนั้นขึ้นมาแล้วหว่านลงไปบนตัวคนตาย แล้วปิดฝาโลง ลากแผ่นปิดฝาหลุมให้เข้าที่ แล้วไอ้หมอผีก็เอาโถที่ห้อยไว้กับกิ่งไม้มาวางบนฝาปิดปากหลุม ไอ้หมอผีบอกว่า "ให้เดินตามให้เร็ว ห้ามหันหลังกลับก่อนออกนอกเขตวัดป่าเด็ดขาด ไม่ว่าได้ยินเสียงอะไรก็ตาม ห้ามพูด ห้ามถาม ห้ามหันหลัง" สิ้นคำพูด ผมก็เตรียมก้าวขาแล้ว แต่ อ้าว!ไอ้ผีหมอ มึงไม่เดิน เสือกสวดอะไรของมันอีกก็ไม่รู้ เท่านั้นแหละ จากป่าที่ว่าเงียบสงบ
ลมที่นิ่งไม่ไหวติง กลับเกิดลมกรรโชกดั่งพายุ ยอดไม้ไหวแบบผิดธรรมชาติ เพราะมันไม่ได้ไหวไปทั่วทั้งป่า มันไหวเฉพาะยอดไม้ข้างบนที่อยู่ตรงหัวพวกเรา สิ้นเสียงสวด ...ไอ้หมอผี ไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินจ้ำอ้าวนำหน้าอย่างเร็ว "อ้าว! ไอ้สัตว์ ตอนกูเตรียมตัวจะเดิน มึงไม่เดิน ตอนกูเผลอมึงเสือกเดิน" บอกเลย ผมกับไอ้ทร กึ่งเดินกึ่งวิ่ง เพื่อออกให้พ้นเขตป่า เสียงลมก็ตามเรามาแบบติดๆ มือซ้ายกำจอบที่ห้อยคอ มือขวาก็ถือพระไว้แน่น อ๊ะ! มือซ้ายกำพระที่ห้อยคอ มือขวาก็ถือจอบไว้แน่น พลางนึกในใจ...อย่าล้มนะมึง
<<ติดตามต่อตอนที่ 2 จบ(ไอ้ทรใช้น้ำมันพราย)>>
โฆษณา