16 เม.ย. เวลา 04:42 • ปรัชญา

มองเห็นสิ่งที่อยู่ใต้จมูก: พลังแห่งการตั้งคำถามและแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์

ผมอ่านหนังสือ Crossover creativity real life stories about where creativity comes from ที่เขียนโดยครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ชื่อดัง เดฟ ทรอตต์ (Dave Trott) แล้วพบเนื้อหาที่น่าสนใจ โดยมีใจความว่า “To see what is in front of one’s nose needs a constant struggle.” (การจะมองเห็นสิ่งที่อยู่ใต้จมูกตัวเองได้ต้องอาศัยความพยายามอย่างหนัก) เป็นสิ่งที่จอร์จ ออร์เวลล์ (George Orwell) นักเขียนและนักวิจารณ์ชื่อดังเคยกล่าวเอาไว้
ทำให้ผมเกิดไอเดียขึ้นมาว่า การจะมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างทะลุปรุโปร่ง บางครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย หากย้อนกลับไปคิดดูผมเชื่อว่าทุกคนก็เป็นเหมือนกัน ตัวเราในอดีตครั้งหนึ่งเคยเผชิญกับปัญหาที่พอมองย้อนกลับไปแล้วมันง่ายมาก แต่เรากลับแก้ไขมันไม่ได้เลย เราใช้ระยะเวลาอันยาวนานกว่าปัญหาเหล่านั้นจะหมดไป ทั้ง ๆ ที่หากเราตอนนี้ย้อนกลับไปได้ก็สามารถแก้ไขได้สบาย
บางครั้งทางออกของปัญหาง่ายดายเหลือเกินแต่เรากลับมองไม่เห็น หรือคนคนหนึ่งดีเหลือเกินแต่เราไม่เห็นคุณค่า เช่นเดียวกับคนหรือเทคโนโลยีบางอย่างช่วยเหลือเรามากมายในชีวิต แต่เรากลับมองไม่เห็นค่าของมัน แต่มานึกเสียใจหรือเสียดายที่สิ่งเหล่านั้นหรือคนคนนั้นขาดหายไปจากชีวิต
หากพิจารณาในมุมมองทางจิตวิทยา เราจะพบว่าหลายครั้งสิ่งที่สำคัญที่สุดกลับเป็นสิ่งที่เราเพิกเฉยโดยไม่ตั้งใจ เหตุผลหนึ่งมาจากปรากฏการณ์ทางสมองที่เรียกว่า พฤติกรรมเคยชิน (Habituation) ซึ่งทำให้เรารู้สึกคุ้นชินจนมองข้ามการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยที่ค่อย ๆ ก่อตัวเป็นปัญหาสำคัญ (Thompson & Spencer, 1966)
ผมขอขยายความเกี่ยวกับพฤติกรรมเคยชินอีกเล็กน้อย มันเป็นกลไกของสมองที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าหรือสถานการณ์เดิมซ้ำ ๆ โดยการลดระดับความตื่นตัวลงเรื่อย ๆ แม้ว่ากลไกนี้จะเป็นประโยชน์ในแง่การปรับตัวให้สมองไม่ต้องทำงานหนักกับสิ่งที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เรามองข้ามความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นทีละนิด ซึ่งอาจสั่งสมจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ในภายหลัง
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราทำกิจวัตรประจำวันเดิม ๆ อย่างการขับรถไปกลับที่ทำงานในเส้นทางคุ้นเคย สมองจะชินกับสภาพแวดล้อมรอบข้าง จนอาจไม่ได้ตระหนักว่ามีสัญญาณเตือนบางอย่างเกิดขึ้น เช่น ถนนบางช่วงเริ่มมีรอยแตกหรือมีสิ่งกีดขวางใหม่ ๆ ซึ่งหากไม่มีการตั้งคำถามหรือหยุดสังเกตด้วยความตื่นตัว เราอาจเผลอมองข้ามจุดเล็กน้อยเหล่านี้ไป จนกลายเป็นอุบัติเหตุหรือปัญหาที่ใหญ่กว่าได้ในที่สุด นี่คือจุดอ่อนของพฤติกรรมเคยชินที่บอกเราว่า สิ่งที่ดูปกติอาจซ่อนการเปลี่ยนแปลงสำคัญไว้เสมอ
ขณะเดียวกัน การที่สมองมุ่งความสนใจไปที่บางอย่างมากเกินไปก็อาจทำให้เราพลาดเห็นข้อมูลที่อยู่ตรงหน้า อันเป็นปรากฏการณ์อันโด่งดังที่เรียกว่าภาวะตาบอด หรือ Inattentional Blindness คือปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์พลาดสิ่งที่อยู่ตรงหน้าซึ่งบางครั้งก็ใหญ่และโดดเด่นอย่างไม่น่าเชื่อ เพียงเพราะสมองให้ความสนใจไปที่ภารกิจหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป
งานวิจัยชื่อดังโดย Chabris และ Simons (2010) พวกเขาให้ผู้ร่วมทดลองนับจำนวนครั้งที่สมาชิกในกลุ่มส่งลูกบาสต่อกันและกัน โดยผู้ทดลองส่วนใหญ่จะจดจ่ออยู่กับการนับลูกบาสจนมองไม่เห็นคนใส่ชุดกอริลลากำลังเดินตัดกลางฉาก ทั้งที่กอริลลาไม่ได้พยายามหลบซ่อนเลย ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะกระบวนการคัดกรองของสมอง ทำให้ข้อมูลอื่นที่อยู่นอกโฟกัสถูกกวาดทิ้งโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าจะเป็นข้อมูลที่โดดเด่นและอยู่ตรงหน้าก็ตาม
กล่าวคือหากเรามีเป้าหมายหรือความสนใจบางอย่างในหัวชัดเจนมากเกินไป สมองจะทุ่มทรัพยากรทั้งหมดให้กับสิ่งนั้นจนทำให้มองข้ามข้อมูลหรือเหตุการณ์อื่นที่อาจมีความสำคัญไม่แพ้กัน หลายครั้งเมื่อเราทำงานที่คุ้นมือจนไม่ได้ตั้งคำถามว่ากระบวนการที่ใช้อยู่ยังมีประสิทธิภาพหรือไม่ เมื่อสิ่งเหล่านี้ยิ่งเกาะแน่นในสมอง เราก็ยิ่งมีแนวโน้มจะมองไม่เห็นปัญหาใกล้ตัว
ภาวะตาบอด หรือพฤติกรรมเคยชินนี้อยู่ไม่ใช่สิ่งที่เราจะกำจัดได้หมดสิ้น เพราะในทางหนึ่งมันคือกลไกตามสัญชาตญาณที่ช่วยให้สมองประหยัดพลังงานในการประมวลผล ทว่าเราสามารถจัดการผลกระทบของมันได้ด้วยการฝึกตั้งคำถามอย่างต่อเนื่องและทดลองวิธีใหม่อยู่เสมอ งานศึกษาของ Stone และ Heen (2014) แสดงให้เห็นว่าการเปิดรับฟีดแบ็กจากผู้อื่นเป็นเครื่องมือทรงพลังในการเปิดเผยจุดอ่อนหรือโอกาสพัฒนาที่เราอาจมองไม่เห็น
เราจะต้องไม่ลืมว่าการรับฟีดแบ็กนี้ไม่ใช่แค่การฟังผ่าน ๆ แล้วปล่อยผ่านไป แต่คือการตั้งใจประมวลผลและนำเอาความเห็นที่ได้มาทดสอบหรือปรับใช้จริงในชีวิตประจำวัน
อย่างไรก็ตาม การมีเพียงแนวคิดหรือไอเดียสร้างสรรค์โดยปราศจากการลงมือทำก็ไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้อย่างแท้จริง เราต้องพร้อมที่จะทดลอง ปรับปรุง และเรียนรู้จากผลลัพธ์ในกระบวนการที่ต่อเนื่อง
พฤติกรรมนี้สอดคล้องกับแนวคิดการวนซ้ำ หรือเรียกว่า Iterative Approach ซึ่ง Adams, Milton และ Freed (2020) พวกเขาอธิบายว่าเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดการพัฒนาทักษะการแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในงานหรือในชีวิตส่วนตัว การกล้าผิดกล้าพลาดเล็กน้อยและปรับตัวไปเรื่อย ๆ จะช่วยขยายพรมแดนความคิด ส่งเสริมให้เราเปิดรับมุมมองใหม่ ๆ และพัฒนาตนเองได้อย่างก้าวกระโดด
ยกตัวอย่างเช่น หากต้องการปรับปรุงการบริหารเวลา เราควรเริ่มจากสังเกตและจดบันทึกกิจกรรมประจำวัน แล้วตั้งสมมติฐานเล็ก ๆ ว่า "ถ้าเปลี่ยนช่วงพักให้สั้นลง 15 นาที แต่พักหลายครั้งขึ้นในหนึ่งวัน จะช่วยให้ทำงานได้ต่อเนื่องและมีเวลาว่างมากขึ้นหรือไม่” จากนั้นลงมือทดลองเป็นระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ ประเมินผลที่ได้ (ซึ่งอาจจะไม่ดีก็ได้) และปรับปรุงวิธีตามความเหมาะสม กระบวนการเช่นนี้ถือเป็นการวนซ้ำระหว่างการคิด ทำ และประเมิน
วิธีการวนซ้ำ ไม่เพียงเปิดโอกาสให้เราได้ทดลองและปรับเปลี่ยนแนวทางอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ยังเป็นตัวกระตุ้นให้สมองมองหาช่องทางสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหาและพัฒนาตัวเอง ที่สำคัญ การรับฟีดแบ็กจากผู้อื่นเข้ามาผสมผสานในกระบวนการนี้ จะช่วยให้เรามองเห็นจุดอ่อนหรือรายละเอียดเล็กน้อยที่อาจหลุดรอดจากการสังเกตของเราเอง
เมื่อผนวกทั้งสองส่วนเข้าด้วยกัน เราจะไม่เพียงแค่โฟกัสได้ดีขึ้นกับเป้าหมายและทิศทางชีวิตของเรา หากแต่ยังสามารถตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น เข้าใจและปรับตัวให้ตรงกับสถานการณ์ได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นอีกด้วย
การมองเห็นสิ่งที่อยู่ใต้จมูกจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของการใช้สายตาให้คมชัด หากแต่เป็นการมีใจเปิดกว้างในการตั้งคำถาม และการยอมรับว่าความรู้หรือทักษะที่เรามีอาจยังไม่เพียงพอในโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การเพิ่มความใส่ใจต่อรายละเอียด การรับฟังเสียงสะท้อนจากคนรอบข้างอย่างจริงใจ รวมถึงการใช้วิธีการ วนซ้ำเพื่อทดลองและปรับปรุงแนวทางอยู่เสมอ จะเป็นเหมือนแสงส่องให้เรามองเห็นจุดบอดที่ซ่อนอยู่ในวิถีเดิม ๆ พร้อมเปลี่ยนให้มันกลายเป็นโอกาสสำคัญในการเติบโต
อุปสรรคที่เคยมองไม่เห็นอาจพลิกกลับกลายเป็นแรงผลักดันที่เติมเต็มชีวิตและการทำงานให้มีความหมายและความสร้างสรรค์ของเรามากขึ้นได้
อ้างอิง
Adams, M., Milton, J., & Freed, G. (2020). The power of iterative approach in creative problem solving. Journal of Innovative Psychology, 12(2), 45-59.
Chabris, C. F., & Simons, D. J. (2010). The invisible gorilla: How our intuitions deceive us. Crown.
Stone, D., & Heen, S. (2014). Thanks for the feedback: The science and art of receiving feedback well. Viking.
Thompson, R. F., & Spencer, W. A. (1966). Habituation: A model phenomenon for the study of neuronal substrates of behavior. Psychological Review, 73(1), 16–43.
โฆษณา