Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Lawrence D.
•
ติดตาม
17 เม.ย. เวลา 05:50 • หุ้น & เศรษฐกิจ
From Labor to Entrepreneur: Human Evolution in the AI Economy
ในโลกปัจจุบันที่เทคโนโลยี AI กำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดด หลายคนเริ่มวิตกกังวลว่า AI จะเข้ามาแย่งงานมนุษย์หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นงานวิเคราะห์ข้อมูล งานเขียน งานวาดภาพ หรือแม้แต่งานวิจัย ล้วนสามารถถูกแทนที่ได้ด้วยระบบอัจฉริยะ จึงเกิดคำถามสำคัญว่า “มนุษย์จะยังมีที่ยืนในระบบเศรษฐกิจหรือไม่”
คำตอบนี้ไม่สามารถเข้าใจได้ผ่านมุมมองตื้นๆ แบบสาย Keynesian ที่คิดแค่ว่า "ถ้าแรงงานหาย งานก็คงหายตาม" แต่ต้องเข้าใจผ่านมุมมองของ เศรษฐศาสตร์ออสเตรียน (Austrian Economics) ที่ยึดหลักการวิเคราะห์ผ่าน การกระทำของมนุษย์ (Human Action) และมองเห็นความเปลี่ยนแปลงเป็นกระบวนการปรับตัวที่ต่อเนื่อง
เศรษฐศาสตร์: ศาสตร์แห่งการใช้ทรัพยากรอย่างมีเหตุผล
มนุษย์เกิดมาพร้อมทรัพยากรที่จำกัด โดยเฉพาะ "เวลา" ซึ่งเป็นทรัพยากรที่ไม่สามารถผลิตเพิ่มได้ เป้าหมายพื้นฐานของมนุษย์คือการเอาชีวิตรอดและแสวงหาอรรถประโยชน์สูงสุด (Marginal Utility) จากการเลือกในแต่ละช่วงเวลา ทุกการตัดสินใจของมนุษย์จึงเป็นการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดเพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงที่สุดในสถานการณ์นั้น ๆ
ตัวอย่างเช่น หากคุณอยู่กลางทะเลทราย ความต้องการสูงสุดของคุณคือ "น้ำ" ไม่ใช่โทรศัพท์หรือหนังสือ แต่เมื่อคุณดื่มน้ำจนพอแล้ว อรรถประโยชน์จากน้ำก็ลดลงตามหลัก Diminishing Marginal Utility เช่นเดียวกับการทำงานหรือพักผ่อน มนุษย์จะเลือกทำงานเมื่อรู้สึกว่าผลตอบแทนจากงานสูงกว่าความสุขจากการพักผ่อน และจะหยุดทำงานเมื่อรู้สึกเหนื่อยหรือไม่คุ้มค่า
เมื่อมนุษย์ต้องผลิตสินค้า: ปัจจัยการผลิตมีอะไรบ้าง?
เพื่อจะผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการ มนุษย์ต้องใช้ปัจจัยการผลิต 4 อย่างคือ
1. เวลา
2. ทุน (เครื่องมือ เครื่องจักร เงินทุน)
3. ทรัพยากรธรรมชาติ
4. แรงงาน
หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ระบบการผลิตจะไม่เกิดขึ้น และเนื่องจากแรงงานมนุษย์มีข้อจำกัดทั้งด้านจำนวน ทักษะ และความสามารถในการทำงานตลอดเวลา มนุษย์จึงเริ่มสร้างเครื่องมือใหม่ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต โดยไม่ต้องเพิ่มแรงงานหรือทรัพยากรให้มากขึ้น
นี่คือจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยี
ทำไมเทคโนโลยีไม่ได้ทำให้คนตกงาน แต่กลับสร้างงานมากขึ้น?
หลายคนเข้าใจผิดว่า "ถ้าเครื่องจักรทำงานแทนคน คนก็ต้องตกงาน" แต่ในความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม เครื่องจักรเข้ามาเพื่อ ปลดปล่อยมนุษย์จากงานที่ซ้ำซากและใช้แรงงานเปลือง แล้วเปิดพื้นที่ใหม่ให้มนุษย์พัฒนาไปสู่งานที่มีมูลค่าสูงขึ้น เช่น งานคิด งานสร้างสรรค์ หรืองานวางระบบ
ตัวอย่างจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม:
• ก่อนมีเครื่องจักร คนปั่นด้ายและทอผ้าด้วยมือ ใช้เวลานานและผลิตได้น้อย
• หลังมีเครื่องจักรปั่นด้าย (Spinning Jenny) และเครื่องทอผ้าไอน้ำ
o ผลผลิตเพิ่มขึ้นมหาศาล
o ราคาสินค้าถูกลง คนซื้อได้มากขึ้น
o ธุรกิจขยายตัว -> จ้างแรงงานเพิ่ม -> สร้างอาชีพใหม่
ที่สำคัญที่สุดคือ การที่ต้นทุนลดลงจากการใช้เครื่องจักร ทำให้กำไรของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น เมื่อกำไรมากขึ้น ธุรกิจก็สามารถ ขยายกิจการ ไปยังตลาดอื่น เพิ่มสายการผลิต หรือเปิดสาขาใหม่ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัย แรงงานมนุษย์เพิ่มเติม ผลลัพธ์คือ การจ้างงานเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ ไม่ใช่ลดลง
ผู้คนที่เคยทำงานแรงงานธรรมดา อาจจะตกงานชั่วคราว แต่สุดท้ายกลับได้เรียนรู้ทักษะใหม่ และได้งานที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจสูงกว่าเดิม เช่น ช่างเทคนิค วิศวกร ฝ่ายควบคุมระบบ ฯลฯ
ยุคอินเทอร์เน็ต:
• ตอนแรกก็กลัวว่า “คอมพิวเตอร์จะทำให้มนุษย์ตกงาน”
• สุดท้ายกลับเกิดอาชีพใหม่:
o โปรแกรมเมอร์
o นักวิเคราะห์ข้อมูล
o กราฟิกดีไซเนอร์
o ยูทูปเบอร์ อินฟลูเอนเซอร์
ทุกเทคโนโลยีใหม่จึงไม่ได้ "ลดการจ้างงาน" แต่มัน เปลี่ยนธรรมชาติของงาน และสร้างอุตสาหกรรมใหม่ให้มนุษย์เข้าไปเติมเต็ม
ในมุมเศรษฐศาสตร์ออสเตรียน การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต = เศรษฐกิจมีทรัพยากรเหลือไปทำอย่างอื่น -> ธุรกิจใหม่เกิด -> งานใหม่ถูกสร้างขึ้นแบบไม่มีที่สิ้นสุด
AI = เครื่องจักรใหม่ของศตวรรษนี้
AI เปรียบเหมือนเครื่องจักรที่ฉลาดที่สุดที่มนุษย์เคยสร้างขึ้น มันไม่ได้แค่ใช้แรงงานแทน แต่ยังสามารถวิเคราะห์ ตัดสินใจ และสร้างผลงานตามคำสั่งได้ เท่ากับว่า มนุษย์สามารถใช้ AI เป็นได้ทั้ง ทุน (Capital) และ แรงงาน (Labor) ในเวลาเดียวกัน
การมี AI อยู่ในมือมนุษย์ จึงเป็นการเพิ่มศักยภาพให้มนุษย์กลายเป็น ผู้ประกอบการ (Entrepreneur) ที่มีเครื่องมือทรงพลังอยู่เคียงข้าง
มนุษย์ไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดเองทั้งหมดอีกต่อไป ไม่ต้องวาดรูปเองทุกภาพ หรือแต่งเพลงเองทั้งเพลง แค่ใส่ไอเดียที่ชัดเจน คิดสร้างสรรค์ และตรวจสอบผลงาน AI ก็จะทำหน้าที่เป็นแรงงานผลิตผลงานให้ทันที
งานใหม่จึงเกิดจากบทบาทใหม่ของมนุษย์ คือ:
• นักสั่งการ (Prompt Engineer)
• ผู้ดูแลระบบ AI
• ผู้ตรวจสอบคุณภาพ
• ผู้สร้างโมเดลใหม่
มนุษย์จึงเลื่อนสถานะจากผู้ใช้แรงงานธรรมดา ไปสู่ผู้ควบคุมเทคโนโลยี และใช้เทคโนโลยีเหล่านี้สร้างคุณค่าใหม่ให้โลกใบนี้ได้ในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน
แล้วถ้าวันหนึ่ง AI ฉลาดเท่ามนุษย์ล่ะ?
ถ้า AI มีจิตสำนึก สร้างสรรค์ได้เหมือนมนุษย์ และกลายเป็นผู้ประกอบการได้เอง ระบบเศรษฐกิจอาจเปลี่ยนไปอีกขั้น มนุษย์อาจถูกตัดออกจากการผลิตโดยสมบูรณ์ กลายเป็นแค่ผู้บริโภคที่รอผลผลิตจาก AI อย่างเดียว
ในโลกแบบนี้ มนุษย์อาจมีเวลาว่างไร้ขีดจำกัด (infinite leisure) แต่ตามหลักเศรษฐศาสตร์ออสเตรียน ความสุขจากการพักผ่อนที่มากเกินไปก็จะลดค่าลงเรื่อย ๆ (Diminishing Marginal Utility)
เมื่อถึงจุดหนึ่ง มนุษย์อาจเกิดความเบื่อหน่าย สูญเสียเป้าหมาย หรืออาจตกอยู่ในภาวะเสื่อมทางจิตวิญญาณ แต่ก็มีอีกเส้นทางหนึ่ง คือการหันกลับมาสู่การแสวงหาความหมายที่ลึกซึ้ง เช่น การศึกษา ศาสนา ปรัชญา หรือการพัฒนาทางจิตใจ
มนุษย์จะถูกแบ่งเป็นสองกลุ่ม:
• กลุ่มที่ติดอยู่กับความว่างเปล่า และเสื่อมถอย
• กลุ่มที่ยกระดับตนเองสู่ Spirit Being ผู้มีปัญญาและเข้าใจความจริงของจักรวาลในระดับที่สูงเกินจะจินตนาการ
สรุป: เทคโนโลยีไม่เคยแย่งงาน แต่เปลี่ยนรูปแบบงานเสมอ
เศรษฐศาสตร์ออสเตรียนให้คำตอบกับเราได้ว่า การเข้ามาของ AI และเทคโนโลยีใหม่ไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่คือโอกาสสำหรับมนุษย์ที่จะก้าวสู่บทบาทใหม่ ๆ อย่างมีศักดิ์ศรีและมูลค่ามากขึ้น
เครื่องจักรไม่ได้แย่งงาน แต่มันมาปลดปล่อยศักยภาพมนุษย์ให้เป็นมากกว่าเดิม
มนุษย์ที่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงนี้ และพัฒนาตัวเองตามทัน คือผู้ที่อยู่รอดและเติบโตในโลกใหม่ที่ AI คือเพื่อนร่วมงาน ไม่ใช่ศัตรู
Lawrence D.
(Austrian economics thinker)
เศรษฐกิจ
ธุรกิจ
เรื่องเล่า
บันทึก
3
9
3
9
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย