คุณอาจกำลังขอให้ ChatGPT เขียนอีเมลแทน หรือใช้ Midjourney สร้างภาพงานนำเสนอ หรือแม้แต่ปรึกษา Claude เพื่อช่วยวางแผนธุรกิจ—กิจกรรมที่ดูไร้เดียงสาเหล่านี้ มีต้นทุนที่มองไม่เห็นซ่อนอยู่
ขณะที่เทคโนโลยี AI กำลังเปลี่ยนโลกด้วยความสามารถอันน่าทึ่ง มีคำถามสำคัญที่ถูกละเลย: ระบบนิเวศของเรากำลังจ่ายราคาอะไรสำหรับความก้าวหน้านี้?
"การพัฒนา AI แบบที่เราเห็นในปัจจุบันกำลังสร้างภาระให้กับโครงสร้างพื้นฐานของเราอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะเรื่องพลังงานและน้ำ เราต้องคิดอย่างระมัดระวังมากขึ้นเกี่ยวกับการขยายตัวนี้"
ดร.เคท คราวฟอร์ด
ความกระหายพลังงานของสมองกล
รายงานจาก MIT Technology Review ปี 2023 เปิดเผยว่าการฝึกโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) เช่น GPT-4 อาจปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 300 ตัน ขณะที่การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Energy Research & Social Science พบว่าหากการใช้ AI ขยายตัวไปตามที่คาดการณ์ จะเพิ่มการใช้พลังงานทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ
Microsoft รายงานในเอกสารด้านความยั่งยืนประจำปี 2023 ว่าการใช้น้ำของบริษัทเพิ่มขึ้น 34% เทียบกับปีก่อนหน้า โดยระบุว่าส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการขยายบริการ AI และคลาวด์
งานวิจัยจาก University of California, Davis ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Agriculture, Ecosystems & Environment พบว่าระบบเกษตรอัจฉริยะที่ควบคุมด้วย AI มีแนวโน้มที่จะใช้สารเคมีแม่นยำขึ้นและลดการใช้น้ำโดยรวม แต่ยังพบปัญหาเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพที่ลดลงในพื้นที่เกษตรที่ใช้ระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ
ดร.เอมิลี เมอร์ฟี ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบนิเวศเกษตรจาก UC Davis อธิบายว่า: "ในขณะที่ AI ช่วยให้เราใช้ทรัพยากรเช่นน้ำและปุ๋ยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่แบบจำลองปัจจุบันส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาให้เพิ่มผลผลิตสูงสุดโดยไม่คำนึงถึงตัวชี้วัดทางนิเวศวิทยาอื่นๆ เช่น การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในดินหรือแมลงผสมเกสร"
เส้นทางสู่ AI ที่ยั่งยืน
แม้จะมีความท้าทายมากมาย แต่ก็มีความพยายามที่เป็นรูปธรรมในการสร้าง AI ที่ยั่งยืนมากขึ้น:
●
ศูนย์ข้อมูลคาร์บอนต่ำ: Google ประกาศในรายงานความยั่งยืนประจำปี 2023 ว่าศูนย์ข้อมูลในเดนมาร์กของบริษัทใช้พลังงานหมุนเวียน 100% และมีระบบหมุนเวียนน้ำที่ลดการใช้น้ำจืดลง 90%
●
โมเดล AI ประหยัดพลังงาน: ทีมวิจัยจาก Allen Institute for AI พัฒนาโมเดล "Leaner AI" ที่ใช้พลังงานในการฝึกฝนและอนุมานน้อยกว่าโมเดลทั่วไปถึง 60% โดยยังคงประสิทธิภาพในระดับใกล้เคียงกัน
●
AI เพื่อการฟื้นฟูระบบนิเวศ: โครงการ Rainforest Connection ใช้ AI วิเคราะห์เสียงในป่าเพื่อตรวจจับการตัดไม้ผิดกฎหมาย โดยช่วยปกป้องป่าได้มากกว่า 3,000 ตารางกิโลเมตรในหลายประเทศ
●
การกำกับดูแลที่เข้มแข็ง: สหภาพยุโรปได้รวมข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมในกฎหมาย AI Act ที่กำหนดให้บริษัทต้องประเมินและรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของระบบ AI ขนาดใหญ่
บทส่งท้าย: โลกอนาคตที่เราต้องการ
เทคโนโลยี AI ไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูของสิ่งแวดล้อม หากเราออกแบบและใช้งานอย่างรับผิดชอบ แต่เราต้องเผชิญหน้ากับความจริงว่า ณ ขณะนี้ มีต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความสะดวกสบายที่ AI มอบให้
ในฐานะผู้บริโภคและสังคม เราต้องตั้งคำถามว่า:
เราจำเป็นต้องใช้ AI สำหรับทุกภารกิจหรือไม่?
เราควรสนับสนุนบริษัทที่มุ่งมั่นพัฒนา AI อย่างยั่งยืนหรือไม่?