17 เม.ย. เวลา 09:45 • สิ่งแวดล้อม

เมื่อโลกเทคโนโลยีเบียดโลกธรรมชาติ

คุณอาจกำลังขอให้ ChatGPT เขียนอีเมลแทน หรือใช้ Midjourney สร้างภาพงานนำเสนอ หรือแม้แต่ปรึกษา Claude เพื่อช่วยวางแผนธุรกิจ—กิจกรรมที่ดูไร้เดียงสาเหล่านี้ มีต้นทุนที่มองไม่เห็นซ่อนอยู่
ขณะที่เทคโนโลยี AI กำลังเปลี่ยนโลกด้วยความสามารถอันน่าทึ่ง มีคำถามสำคัญที่ถูกละเลย: ระบบนิเวศของเรากำลังจ่ายราคาอะไรสำหรับความก้าวหน้านี้?
"การพัฒนา AI แบบที่เราเห็นในปัจจุบันกำลังสร้างภาระให้กับโครงสร้างพื้นฐานของเราอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะเรื่องพลังงานและน้ำ เราต้องคิดอย่างระมัดระวังมากขึ้นเกี่ยวกับการขยายตัวนี้"
ดร.เคท คราวฟอร์ด
ความกระหายพลังงานของสมองกล
รายงานจาก MIT Technology Review ปี 2023 เปิดเผยว่าการฝึกโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) เช่น GPT-4 อาจปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 300 ตัน ขณะที่การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Energy Research & Social Science พบว่าหากการใช้ AI ขยายตัวไปตามที่คาดการณ์ จะเพิ่มการใช้พลังงานทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ
ศาสตราจารย์ เอเลน สตราจา จากมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการคำนวณยั่งยืน กล่าวว่า:
"การคำนวณทาง AI ที่เติบโตอย่างรวดเร็วกำลังเพิ่มรอยเท้าคาร์บอนของภาคเทคโนโลยีอย่างมหาศาล ในอัตราปัจจุบัน เราอาจเห็นการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าในอีกห้าปีข้างหน้า"
ข้อมูลจริงเกี่ยวกับการใช้พลังงานของ AI:
  • การศึกษาโดย Université Paris Saclay พบว่าการฝึก GPT-3 ใช้พลังงานเทียบเท่ากับการขับรถยนต์ทั่วไป 123,000 กิโลเมตร
  • ประมาณ 1-1.3% ของการใช้ไฟฟ้าทั่วโลก และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในปี 2026 ส่วนหนึ่งเนื่องจากการเติบโตของ AI
  • Google เปิดเผยในรายงานความยั่งยืนประจำปี 2023 ว่าบริษัทใช้พลังงาน 18.3 เทราวัตต์-ชั่วโมงในการดำเนินการศูนย์ข้อมูลทั่วโลก
น้ำ: ทรัพยากรล้ำค่าที่หายไปในศูนย์ข้อมูล
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Nature Sustainability โดย David Mytton และคณะ ชี้ให้เห็นว่าศูนย์ข้อมูลกำลังกลายเป็นผู้บริโภคน้ำรายใหญ่ในหลายภูมิภาค
"เราประเมินการใช้น้ำทั่วโลกสำหรับศูนย์ข้อมูลในปี 2021 อยู่ที่ประมาณ 660 พันล้านลิตร และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 50% ภายในปี 2026 ตามการขยายตัวของ AI" Mytton เขียนในบทความ
Microsoft รายงานในเอกสารด้านความยั่งยืนประจำปี 2023 ว่าการใช้น้ำของบริษัทเพิ่มขึ้น 34% เทียบกับปีก่อนหน้า โดยระบุว่าส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการขยายบริการ AI และคลาวด์
ระบบนิเวศที่กำลังเปลี่ยนไป
การขยายตัวของศูนย์ข้อมูลทั่วโลกส่งผลกระทบต่อการใช้ที่ดินและระบบนิเวศอย่างมีนัยสำคัญ
ตามรายงานของ Data Center Dynamics ประเทศสิงคโปร์ประกาศระงับการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ในปี 2022 เนื่องจากกังวลเรื่องการใช้พลังงานและที่ดินที่มีจำกัด ขณะที่ในไอร์แลนด์ ชุมชนในเมือง Ennis ประท้วงการสร้างศูนย์ข้อมูลของ Amazon เนื่องจากกังวลเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ดร.แอนน์ เครเมอร์ นักนิเวศวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผู้ศึกษาผลกระทบของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลต่อความหลากหลายทางชีวภาพ กล่าวว่า: "การขยายตัวของศูนย์ข้อมูลเข้าไปในพื้นที่ชนบทและธรรมชาติมีผลกระทบหลายชั้น ทั้งการรบกวนถิ่นที่อยู่ของสัตว์ป่า การปล่อยความร้อนสู่สิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินที่เคยเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอน"
AI กับเกษตรกรรม: ประสิทธิภาพที่มาพร้อมคำถาม
งานวิจัยจาก University of California, Davis ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Agriculture, Ecosystems & Environment พบว่าระบบเกษตรอัจฉริยะที่ควบคุมด้วย AI มีแนวโน้มที่จะใช้สารเคมีแม่นยำขึ้นและลดการใช้น้ำโดยรวม แต่ยังพบปัญหาเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพที่ลดลงในพื้นที่เกษตรที่ใช้ระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ
ดร.เอมิลี เมอร์ฟี ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบนิเวศเกษตรจาก UC Davis อธิบายว่า: "ในขณะที่ AI ช่วยให้เราใช้ทรัพยากรเช่นน้ำและปุ๋ยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่แบบจำลองปัจจุบันส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาให้เพิ่มผลผลิตสูงสุดโดยไม่คำนึงถึงตัวชี้วัดทางนิเวศวิทยาอื่นๆ เช่น การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในดินหรือแมลงผสมเกสร"
เส้นทางสู่ AI ที่ยั่งยืน
แม้จะมีความท้าทายมากมาย แต่ก็มีความพยายามที่เป็นรูปธรรมในการสร้าง AI ที่ยั่งยืนมากขึ้น:
  • ศูนย์ข้อมูลคาร์บอนต่ำ: Google ประกาศในรายงานความยั่งยืนประจำปี 2023 ว่าศูนย์ข้อมูลในเดนมาร์กของบริษัทใช้พลังงานหมุนเวียน 100% และมีระบบหมุนเวียนน้ำที่ลดการใช้น้ำจืดลง 90%
  • โมเดล AI ประหยัดพลังงาน: ทีมวิจัยจาก Allen Institute for AI พัฒนาโมเดล "Leaner AI" ที่ใช้พลังงานในการฝึกฝนและอนุมานน้อยกว่าโมเดลทั่วไปถึง 60% โดยยังคงประสิทธิภาพในระดับใกล้เคียงกัน
  • AI เพื่อการฟื้นฟูระบบนิเวศ: โครงการ Rainforest Connection ใช้ AI วิเคราะห์เสียงในป่าเพื่อตรวจจับการตัดไม้ผิดกฎหมาย โดยช่วยปกป้องป่าได้มากกว่า 3,000 ตารางกิโลเมตรในหลายประเทศ
  • การกำกับดูแลที่เข้มแข็ง: สหภาพยุโรปได้รวมข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมในกฎหมาย AI Act ที่กำหนดให้บริษัทต้องประเมินและรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของระบบ AI ขนาดใหญ่
บทส่งท้าย: โลกอนาคตที่เราต้องการ
เทคโนโลยี AI ไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูของสิ่งแวดล้อม หากเราออกแบบและใช้งานอย่างรับผิดชอบ แต่เราต้องเผชิญหน้ากับความจริงว่า ณ ขณะนี้ มีต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความสะดวกสบายที่ AI มอบให้
ในฐานะผู้บริโภคและสังคม เราต้องตั้งคำถามว่า:
เราจำเป็นต้องใช้ AI สำหรับทุกภารกิจหรือไม่?
เราควรสนับสนุนบริษัทที่มุ่งมั่นพัฒนา AI อย่างยั่งยืนหรือไม่?
เราพร้อมจะเรียกร้องความโปร่งใสเกี่ยวกับผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากเทคโนโลยีที่เราใช้หรือไม่?
อนาคตของ AI และสิ่งแวดล้อมไม่จำเป็นต้องเป็นเกมที่มีผู้ชนะฝ่ายเดียว หากเราเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง เราอาจสร้างโลกที่ทั้งฉลาดขึ้นและเขียวขึ้นไปพร้อมกัน
การเลือกเส้นทางนั้นเริ่มต้นด้วยการตระหนักรู้—และตอนนี้ คุณได้รู้แล้ว
โฆษณา