17 เม.ย. เวลา 11:14 • หุ้น & เศรษฐกิจ

⚠️ สหรัฐฯ เอาจริง? ขู่ 'เตะ' หุ้นจีน 200 ตัวพ้นตลาด แถมจ่อเทขาย $8 แสนล้าน‼️

วันนี้เราจะมาเจาะลึกเรื่องร้อนที่ทุกคนต้องรู้ นั่นคือ ความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ กับจีน ที่ตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องการค้าแล้ว แต่กำลังลามมาถึง "ตลาดเงินตลาดทุน" อย่างเต็มตัว จนเกิดความกังวลว่าอาจจะถึงขั้น "แยกตัวทางการเงิน" (Financial Decoupling) กันเลยทีเดียว
เรื่องนี้มันใหญ่และสำคัญมากจริงๆ ค่ะ เพราะมันอาจกระทบเงินในกระเป๋าของนักลงทุนอย่างเราๆ ได้โดยตรง เดี๋ยวเราค่อยๆ ดูรายละเอียดและตัวเลขสำคัญๆ ไปด้วยกันนะคะ
🎯 ภาพใหญ่: ถ้าสหรัฐฯ-จีน "เลิกคบ" ทางการเงิน จะเกิดอะไร? มูลค่ามหาศาลแค่ไหน?
สถาบันการเงินระดับโลกอย่าง Goldman Sachs เขาได้ลองวาดภาพสถานการณ์ที่อาจจะ "เลวร้ายที่สุด" (Extreme Scenario) ออกมาให้เราเห็นภาพกันค่ะว่า ถ้าถึงจุดที่สองประเทศนี้ต้องแยกห่างทางการเงินกันจริงๆ มันจะเกิดแรงกระเพื่อมขนาดไหนบ้าง
1️⃣ ฝั่งนักลงทุนสหรัฐฯ อาจต้อง "จำใจขาย" หุ้นจีนทิ้ง
ลองนึกภาพนะคะว่า นักลงทุนสถาบัน (เช่น กองทุนรวม กองทุนบำนาญ บริษัทประกัน) ในสหรัฐฯ อาจถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องเทขายการลงทุนในสินทรัพย์จีนที่ถือครองอยู่ออกมา คิดเป็นมูลค่ารวมกัน มหาศาลถึงประมาณ $800,000 ล้านเหรียญสหรัฐ! หรือแปดแสนล้านดอลลาร์
📌 $800,000 ล้านเหรียญนี้ มาจากไหนบ้าง? เขาแยกย่อยให้เห็นชัดๆ แบบนี้ค่ะ
หุ้น ADRs จีน (มูลค่าประมาณ $250,000 ล้านเหรียญ): คำว่า ADRs (American Depositary Receipts) อาจจะฟังดูยากนิดนึง แต่ให้คิดง่ายๆ ว่ามันคือ "ใบรับรอง" ที่ทำให้เราซื้อขายหุ้นของบริษัทต่างชาติ (ในที่นี้คือบริษัทจีน) ได้ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เลย สะดวกเหมือนซื้อหุ้นอเมริกันทั่วไป ซึ่ง Goldman Sachs ประเมินว่า นักลงทุนสถาบันสหรัฐฯ ถือครอง ADRs ของบริษัทจีนอยู่ถึง 26% ของมูลค่าตลาดรวม ADRs จีนทั้งหมด หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ในทุกๆ 100 เหรียญของมูลค่า ADRs จีน มี 26 เหรียญที่เป็นของนักลงทุนสถาบันสหรัฐฯ ค่ะ
1
หุ้นในตลาดฮ่องกง (มูลค่าประมาณ $522,000 ล้านเหรียญ): นอกจาก ADRs แล้ว นักลงทุนสหรัฐฯ ยังนิยมไปลงทุนในหุ้นที่ซื้อขายโดยตรงในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงด้วย ซึ่งตรงนี้มีมูลค่ารวมกันมากกว่า ADRs เสียอีกค่ะ
หุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ (A-shares)(มูลค่าคิดเป็นประมาณ 0.5% ของตลาด): อันนี้คือหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น ซึ่งนักลงทุนสหรัฐฯ ถือครองอยู่สัดส่วนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับสองประเภทแรกค่ะ
⚠️ ถ้าต้องขายจริง ใช้เวลานานไหม?
อันนี้น่าสนใจค่ะ Goldman Sachs คาดการณ์ว่า การขายหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ (A-shares) อาจจะใช้เวลาแค่ 1 วัน เพราะสัดส่วนที่ถือไม่เยอะ แต่การจะเทขายหุ้นในตลาดฮ่องกงที่มีมูลค่าสูงถึง $522,000 ล้านเหรียญ อาจต้องใช้เวลานานถึง 119 วัน หรือเกือบ 4 เดือน ส่วนการขาย ADRs มูลค่า $250,000 ล้านเหรียญ ก็อาจต้องใช้เวลาถึง 97 วัน หรือราวๆ 3 เดือนกว่าๆ ค่ะ การที่ต้องใช้เวลานานขนาดนี้อาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดอย่างมากได้เช่นกัน
‼️ ฝั่งนักลงทุนจีน ก็อาจต้อง "ขายคืน" สินทรัพย์สหรัฐฯ
ในทางกลับกัน ถ้าสถานการณ์บีบ นักลงทุนจีนก็อาจจะต้องขายสินทรัพย์ทางการเงินของสหรัฐฯ ที่ตัวเองถือครองอยู่ออกมาเช่นกัน ซึ่ง Goldman Sachs ประเมินว่าอาจมีมูลค่ารวมสูงถึง $1,700,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ หนึ่งล้านเจ็ดแสนล้านดอลลาร์! เยอะกว่าฝั่งสหรัฐฯ อีกนะคะ
1
📌 $1,700,000 ล้านเหรียญนี้ มีอะไรบ้าง?
หุ้นสหรัฐฯ: ประมาณ $370,000 ล้านเหรียญ
พันธบัตรสหรัฐฯ: อีกประมาณ $1,300,000 ล้านเหรียญ (หนึ่งล้านสามแสนล้านดอลลาร์) ส่วนใหญ่เป็นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่จีนถือครองอยู่จำนวนมากนั่นเองค่ะ
🔥 ประเด็นร้อนที่ถูกจุดขึ้นใหม่: หุ้นจีนเสี่ยงถูก "Delist" จากตลาดสหรัฐฯ
เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การคาดการณ์ แต่ดูเหมือนจะมีความเป็นไปได้มากขึ้น เมื่อรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ นาย Scott Bessent ออกมาพูดเองเลยว่า ในการเจรจาการค้ากับจีนนั้น "ทุกทางเลือกอยู่บนโต๊ะ" ซึ่งตีความได้ว่า รวมถึงการใช้ยาแรงอย่าง การถอดถอนหุ้นบริษัทจีนออกจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (Delisting) ด้วย
1
👉🏻 ทำไมต้องกังวล? ปัจจุบันมีบริษัทจีน มากกว่า 200 บริษัท ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ (ส่วนใหญ่ผ่าน ADRs) และมีมูลค่าตลาดรวมกันสูงถึง $1.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้นถ้าบริษัทเหล่านี้ถูกบังคับให้เลิกซื้อขายในสหรัฐฯ จริงๆ ผลกระทบย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน
👉🏻 ใครโดนเต็มๆ? กลุ่มที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ บริษัทจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ แต่ "ไม่มี" หุ้นให้ซื้อขายในตลาดฮ่องกงเป็นทางเลือกสำรอง ตัวอย่างชัดๆ คือ
PDD Holdings: เจ้าของแพลตฟอร์ม Temu ที่กำลังมาแรงมากๆ
Vipshop Holdings: ร้านค้าออนไลน์แบรนด์เนมลดราคา
TAL Education Group: บริษัทด้านการศึกษา
ถ้าบริษัทเหล่านี้ถูก Delist นักลงทุนที่ถือ ADRs อยู่ อาจจะไม่มีทางเลือกในการแปลงไปเป็นหุ้นฮ่องกงเหมือนบริษัทอื่นๆ ที่มี dual-listing (จดทะเบียนสองตลาด)
⛓️‍💥 ผลกระทบเป็นลูกโซ่
🔻เม็ดเงินกองทุนอาจไหลออกมหาศาล: สถาบันการเงินอย่าง JPMorgan ประเมินว่า แค่การที่หุ้นเหล่านี้ถูกถอดออกจาก "ดัชนีหุ้นระดับโลก" (Global Indexes) ที่กองทุน Passive ใช้เป็นเกณฑ์ลงทุน ก็อาจทำให้เกิดเม็ดเงินไหลออก (Passive Outflows) รวมกันราว $11,000 ล้านเหรียญ แล้วค่ะ
ที่น่าตกใจคือ PDD บริษัทเดียว อาจเจอแรงเทขายจากกองทุน Passive มากถึง $9,400 ล้านเหรียญ จากยอดรวม $11,000 ล้านเหรียญ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่สูงมากๆ เพราะ PDD มีขนาดใหญ่และอยู่ในดัชนีสำคัญหลายตัว แต่ดันไม่มีหุ้นในฮ่องกงรองรับ
〽️ กองทุน ETF ที่เน้นหุ้นจีนได้รับผลกระทบ: ตัวอย่างเช่น กองทุน Kraneshares CSI China Internet Fund (KWEB) ซึ่งเป็นกองทุน ETF เน้นหุ้นอินเทอร์เน็ตจีนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ อาจเจ็บหนัก เพราะ Goldman Sachs ชี้ว่า กองทุนนี้มีสัดส่วนการลงทุนใน ADRs จีนสูงถึง 33% (หนึ่งในสามของพอร์ต) และครึ่งหนึ่งของ ADRs ที่ถืออยู่ ไม่มีหุ้นจดทะเบียนในฮ่องกง! (เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยง) แถมมีนักลงทุนสถาบันสหรัฐฯ ถือครองหน่วยลงทุนถึง 72% ซึ่งเป็นกลุ่มที่อาจได้รับผลกระทบโดยตรงหากมีการบังคับขายหรือ Delisting
📉 ราคาหุ้นอาจร่วง: Goldman Sachs คาดว่า หากเกิดการบังคับ Delist จริงๆ มูลค่า ADRs โดยรวมอาจปรับตัวลดลง 9% จากระดับปัจจุบัน และ ดัชนี MSCI China (ซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิงหุ้นจีนที่สำคัญ) อาจลดลง 4%
⚠️ สภาพคล่องในการซื้อขายอาจสะดุด: เรื่องนี้สำคัญมากค่ะ ปกติแล้ว หุ้นจีนดังๆ อย่าง Alibaba หรือ JD.com ถึงแม้จะมีหุ้นซื้อขายทั้งในสหรัฐฯ (ADRs) และฮ่องกง แต่ ปริมาณการซื้อขาย ADRs ในสหรัฐฯ กลับสูงกว่าหุ้นในฮ่องกงถึงประมาณ 80% (ข้อมูลจาก Morgan Stanley)
หมายความว่า คนนิยมซื้อขายเปลี่ยนมือหุ้นเหล่านี้ในตลาดสหรัฐฯ มากกว่าเยอะ ดังนั้นถ้าตลาดสหรัฐฯ หายไป อาจทำให้การซื้อขายในระยะสั้นติดขัด หรือขายไม่ได้ราคาที่ต้องการ แม้ว่า Morgan Stanley จะมองว่าในระยะยาว ตลาดฮ่องกงอาจจะค่อยๆ รองรับปริมาณการซื้อขายที่หายไปได้บ้าง โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่
⁉️ทำไมความกลัวนี้ถึงกลับมาอีกครั้ง?
จริงๆ แล้ว ความกังวลเรื่อง Delisting เคยมีมาแล้วในยุค ปธน. ทรัมป์ สมัยแรก เกี่ยวกับกฎระเบียบการตรวจสอบบัญชี แต่สุดท้ายก็มีการประนีประนอมกันไปในปี 2022 แต่การที่เรื่องนี้ถูกหยิบยกมาพูดถึงอีกครั้งโดย รมว.คลังสหรัฐฯ ในบริบทของสงครามการค้าที่ตึงเครียดขึ้น และท่าทีของสหรัฐฯ ที่ต้องการคุมเกมเหนือจีน (นักวิเคราะห์จาก Jefferies ถึงกับบอกว่า สหรัฐฯ มีไพ่เด็ด 2 ใบ คือ การถอด ADRs และการแบนการลงทุนจากสหรัฐฯ) ก็ทำให้นักลงทุนอดหวั่นใจไม่ได้ว่า นี่อาจเป็นเครื่องมือที่สหรัฐฯ อาจนำมาใช้จริงค่ะ
🎯 สรุปให้เข้าใจง่ายที่สุด
สถานการณ์ตอนนี้คือ ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีน ตึงเครียดมาก และมันส่งผลกระทบโดยตรงมายังโลกการลงทุน ความเสี่ยงที่นักลงทุนสหรัฐฯ อาจต้องเทขายหุ้นจีนมูลค่า $800,000 ล้านเหรียญ หรือหุ้นจีนอาจถูกบังคับให้ออกจากตลาดสหรัฐฯ เป็นเรื่องที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้จริง
ซึ่งตัวเลขที่เราคุยกันมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าการลงทุนที่อาจต้องขาย ($800,000 ล้าน vs $1,700,000 ล้าน), เม็ดเงินกองทุนที่อาจไหลออก ($11,000 ล้าน), หรือเปอร์เซ็นต์ราคาที่อาจลดลง (9% สำหรับ ADRs, 4% สำหรับ MSCI China) ล้วนชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่รุนแรงและเป็นวงกว้างค่ะ
ดังนั้น ใครที่ลงทุนในหุ้นจีน, ADRs จีน, หรือกองทุนรวม/ETF ที่เน้นลงทุนในจีน ช่วงนี้ต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดมากๆ เลยนะคะ ทำความเข้าใจความเสี่ยง และอาจจะต้องทบทวนพอร์ตการลงทุนของเราให้ดีค่ะ
1
โฆษณา