17 เม.ย. เวลา 13:26 • ปรัชญา

องค์ธรรมพระสันตะโร .. ผู้ที่พบปะ ..กับธรรมที่แท้จริง ยากมั่ย..ยาก

การที่ได้นำกายบิดามารดามาสร้างบุญกุศล ที่จิตของเราอาศัยอยู่ในเรือนกายของเรานั้น เป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐ ที่รู้จัก เนื้อนาบุญอันประเสริฐ ที่รู้จัก ความกตัญญูรู้คุณ มาโดยตลอด ผู้ใดได้กระทำเรื่องราวต่างๆ สร้างบุญสร้างกุศล แต่ละครั้ง ที่มีกายนิ่ง จิตเฉย นั่นเป็นเนื้อนาบุญ อันมหาศาล ที่ป้องกัน ความทุกข์..ของสังขาร ที่เป็นสังขารของกรรม ตลอดทั้งที่ไปสู่มรรคผลนิพพาน ในกาลข้างหน้า
ถ้าจิตดวงใด ไม่มีกายบุญ ไม่ประจักษ์ใน ..ต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า การที่มาถวายของแต่ละครั้ง ก็เพื่อให้ประจักษ์ ต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อเบื้องพระพักตร์ ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นหลักฐานยืนยัน ของเรือนกายของคุณบิดามารดา และจิตของเราที่อยู่ในเรือนกาย ที่เป็นสังขารของบุญ
..นี่แหละ สิ่งที่มาที่ไป ของการสร้างบุญกุศล มีความจำเป็น ที่จะต้องสร้างบุญสร้างกุศลเป็นนิจสิน เพราะของที่อยู่ในโลกนี้ เราเพียงให้กายอาศัยชั่วขณะหนึ่ง แล้วกายอาศัยก็..ไม่ได้อาศัย..มากมายก่ายกอง .เพียงเล็กๆน้อยๆ เท่านั้น
แต่ในสิ่งที่เราอาศัยนั่น อาจจะแปรเปลี่ยน มีเนื้อของกรรมก็มี เนื้อของบุญบารมี ก็มี แล้วแต่ผู้นั้น จะนำไปในทางอื่นใด
..แต่วันนี้ ได้นำสิ่งที่เราสละแล้ว มาเป็นเนื้อนาบุญของกาย ก็ต้องเกิดเป็นเนื้อนาบุญ กายที่จิตจะอาศัยในสิ่งที่เรากระทำในวันนี้ นั่นก็เป็นสิ่งที่ต้องจดจำ ..จดจำให้แก่ใคร ..กับตาของเราใ..วิญญาณตาของเรา ที่ถ่ายภาพ และเสียงที่เราเปล่งออกมา ก็ไป ..ไปถึงจิตของเรา..นั่นเป็นเนื้อนาบุญที่เกิดขึ้น
การที่จะเกิดแก่เจ็บตาย มากมายก่ายกองนั้น ก็ย่นย่อ ระยะทางมากขึ้นๆ กว่าเราจะหมดชีวิต ในการกระทำที่ถูกต้อง ความย่นย่อ ..ที่ย่นระยะทางนี้ ..มากขึ้นๆ ความทุกข์ของจิตของเราๆ ก็จะน้อยลงๆ
สิ่งที่มันเกิดขึ้นอย่างนี้ ที่มีทุกข์กัน ก็มาจาก ทุกข์ของการกระทำ..เมื่ออดีตชาติทั้งนั้น ไม่ได้มาจากไหน ไม่ได้เป็นผู้สร้างขึ้นมา แต่อยู่ๆ มันก็เกิดขึ้น เกิดมาให้ประจักษ์ว่า เราต้องได้รับทุกข์ในสิ่งนั้น.. บางที่เค้าก็ส่งมาให้ได้รับความสุข แต่น้อยนิด..ที่มีคำว่าสุข โดยมากส่งมาแต่เรื่องของความทุกข์ แต่สิ่งทั้งหลายนั้น เราไม่เคยประจักษ์ ไม่เคยคิด คิดว่า มันเป็นสุขตลอดเวลา ..สุขนั้นก็มีนิดเดียวเท่านั้น ..แต่ทุกข์ มันมีมาก ..ไม่ต้องอื่นไกลหรอก อะไรทั้งนั้น
..เพียงแต่ มีผู้ที่เค้าชักชวนเราไป ไปดื่มกินอาหาร ภัตตาหาร หรือ มิตราหาร เราว่ามันมีความสุข สุขที่เค้าเลี้ยงเรา เค้าให้เราได้กิน ได้อิ่มหนำสำราญ ..มองแล้วมันสุขยิ่งใหญ่เหลือเกิน
..แต่มองไปให้รายละเอียดของสุข ..ไปพิจารณา สุขแค่นิดเดียว แค่อิ่ม ..แล้วสิ่งที่ทุกข์ มันมีตั้งมากมายา เช่น การคล้องกรรมกัน กับอาหารการกิน ไม่ใช่ว่า พออาหารวางบนโต๊ะ แล้วเรามอง แล้วทำให้เราอิ่ม มันมีความสุข ..ไม่ใช่อย่างนั้น เราต้องตัก ต้องหา ว่า สิ่งไหน เราชอบ หรือ ไม่ชอบ ต้องเลือกเฟ้นกัน เรื่อยไป ทำให้มีความวุ่นวายของอารมณ์ ที่เกิดขึ้น หาความสุขไม่
..แต่เรา..สิ่งที่ปรากฏขึ้นมา ก็เพราะ อารมณ์กรรมมันปิดบัง ว่า ไอ้นั่นก็สุข ได้นี่กายสุข จะกินจานไหน มันก็มีความสุก ที่จริง..มันทุกข์ทุกจานไป เพราะเราต้องเลือก ต้องเฟ้นหามเอาแบบที่มีความสุขจริง มีมั้ย ..?
..มี..ก็คือสุขของนามธรรม สุขที่..ที่ไม่ต้องไปเรียกหาเลย มีแสงรัตนะหนุนนำให้เป็นเนื้อนาบุญเกิดขึ้นภายในกาย เหมือนทวยเทพทั้งหลาย ที่อยู่ในวิมานชั้นฟ้า อิ่มหนำสำราญ ไม่ต้องวุ่นวาย กับการทำมาหากินต่างๆ ไม่ต้อวไปนั่งเคี้ยว ไม่ต้องเลือกอาหาร แต่มันอิ่มทุกวันๆ จนกว่า การสะสมบุญกุศลนั้นหมดไป ก็ต้องเกิดมาสะสมกันใหม่
คราวนี้..ถ้ามานั่งสะสมบุญๆ ถ้ามันพลาดท่าเสียที ไปอยู่ในสังขารของกรรม มันก็ไปอีกยาวไกล ไม่มีการจบสิ้นง่ายๆ คราวนี้ แต่ละชาติ ขอให้ทำ ..สร้างแต่คุณความดีให้แก่จิตของเรา หรือ ให้ฝากไว้กับแม่ทั้งสี่ ที่จะต้องบันทึกเรื่องราวต่างๆ เช่นการทำบุญ ให้ทาน เมตตากรุณาต่างๆ ที่พระท่านเคยชี้ หนทางให้แก่เรา ก็นำมาพิจารณามากขึ้นๆ
ผู้ที่พบปะ ..กับธรรมที่แท้จริง ยากมั่ย..ยาก บางทีไปพบธรรมแล้ว เห็นว่าไม่สำคัญ เป็นเรื่องที่ว่า ฉันรู้แล้ว ไม่ต้องมาซ้ำซากไม่ต้องมา สร้างบุญ สร้างกุศล หรือ ไม่มีการเตือน ไม่มีการสะกิด ไม่ไม่การฟังอยู่เป็นนิจสิน สิ่งนั้นก็ ..กรรมเข้ามาแทนที่ ปล่อยให้ ให้กรรม หนุนนำมาสร้าง อุปโลกน์เรื่องราวต่างๆเกิดขึ้น เราก็สร้างทุกข์ไป
..พออยู่ไม่นานนัก .กรรมก็เกิดขึ้น ก็มีความทุกข์เกิดขึ้น แล้วก็จะนึกถึง ความบุญบารมีทหรืออยากฟังธรรม สร้างบุญสร้างกุศล ก็ยากแล้ว .จนกว่า..มีผู้ที่เมตตาไปสะกิดจิต ไปชักชวน ไปทำบุญกันที่วัดกันน่ะ ไปฟังธรรมนะ กว่าเราจะรู้สึก เราก็ไปอีก เป็นเดือน เป็นปี กว่า จะย้อนกลับมา เข้าวัด หรือ ปฏิบัติได้ น่าเสียดาย เรื่องการใช้ชีวิตไปวันหนึ่งๆ คิดว่าต้องหากินหาอยู่ มีความสำคัญมากกว่า แต่สิ่งนั้น หามีความสำคัญไม่ สิ่งที่สำคัญ คือ จิตของเรา
เมื่อหากินหาอยู่ ก็ให้แต่กายเท่านั้น ไม่ได้ให้แก่จิต จิตต้องการความละเอียด ความรู้แล้วละ นั่นแหละ จิตของพระ เกิดขึ้น แล้วเมื่อไหร่ เราจะสร้างจิตดวงนั่น ให้เป็นจิตที่แท้จริงของเรา ก็ค่อยๆพยายามกระทำขึ้น จะไปอยู่ที่บ้าน
..หรือ ไปที่ไหน ก็พยายามทำ คำว่า พุทโธๆ ให้จิตมีพระเป็นที่พึ่ง อยู่ตลอดเวลา.. ถึงแม้เราจะไม่ท่องตลอดเวลา ..ก็พยายามพูด ให้หูเราได้ยินเสียงของเรา เราต้องท่อง..จิตของเราจะอยู่ กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์น่ะ ..พุทโธๆ ขึ้น ..แค่นั้น..จิตมันก็ไม่ไปไหน พอมันเผลอไปเรื่องโน้นเรื่องนี้ม เดี๋ยว..ก็กลับมาที่เก่า มาสิ่งที่เราเคยพูดเข้าไว้ บอกตัวเองเจ้าไว้ เราจะพูดคำว่า พุทโธ
นี่ก็เตือนสติ มีพระหลายๆรูป มาเตือนเรา เราก็จำทีละองค์ องค์นั้นบ้าง องค์นี้บ้าง มาหนุนนำให้จิตเรามี .ปัญญาเกิดขึ้น
..แต่วันนี้มา ไม่มีพระองค์ไหนมา ก็เลยมา .สอนมาบอกเรื่องราวต่างๆ แล้วเพราะว่า สังขารมันไปไม่ไหว ก็ขออธิยายเล็กๆน้อยๆ แค่นี้ เป็นอุทาหรณ์ให้ .วันนี้ขออาราธนาพระอานนท์ มาเป็นผู้อุทิศส่วนกุศล ช่วยโยม โยมได้อุทิศส่วนกุศลในวันนี้ อาตมา หรือ จะใช้คำว่า สันตะโร กุตะวะริยาโน โหตุ เจริญสุขน่ะ เพราะสังขารไปไม่ไหวจ๊ะ ..อุโป วะริยะโต โหตุ
..สาธุ พุทธังวันทามิ สาธุ ธัมมังวันทามิ สาธุ สังฆัง วันทามิ..
โฆษณา