19 เม.ย. เวลา 02:03 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

🧠💥 นักวิทย์เผยเบาะแสใหม่! เปิดตัวโปรตีนลับ “PINK1” กุญแจสำคัญสู่การรักษาโรคพาร์กินสัน 💥🧠

โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) เป็นหนึ่งในโรคทางระบบประสาทที่แพร่กระจายได้รวดเร็วที่สุดในโลกในขณะนี้ และมีผู้ป่วยมากถึง 10 ล้านคนทั่วโลก โดยถือเป็น โรคทางระบบประสาทที่พบบ่อยเป็นอันดับสอง รองจากโรคอัลไซเมอร์ ที่สำคัญคือ...จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้เลย
แต่วันนี้ วงการวิทยาศาสตร์กำลังสั่นสะเทือนด้วยข่าวดีครั้งใหญ่ เมื่อนักวิจัยจากสถาบัน WEHI (Walter and Eliza Hall Institute of Medical Research) ประเทศออสเตรเลีย ได้ค้นพบความลับที่ซ่อนอยู่มายาวนานของโปรตีนชนิดหนึ่งชื่อว่า PINK1 ซึ่งอาจกลายเป็น กุญแจสำคัญในการพัฒนาแนวทางการรักษาโรคพาร์กินสันในอนาคต!
💡 PINK1 คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญขนาดนี้?
PINK1 เป็นโปรตีนที่ผลิตจากยีนชื่อว่า PARK6 ซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกพูดถึงในแวดวงวิทยาศาสตร์มาแล้วบ้างว่าอาจมีความเกี่ยวข้องกับโรคพาร์กินสัน โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการตั้งแต่อายุน้อย (early onset Parkinson’s) ซึ่งในสหราชอาณาจักรคิดเป็นประมาณ 1.2% ของผู้ป่วยทั้งหมด
PINK1 ทำหน้าที่เหมือนยามเฝ้าประตูของ “ไมโทคอนเดรีย” (mitochondria) หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อว่า “โรงงานพลังงานของเซลล์” เพราะเป็นแหล่งผลิตพลังงานให้กับทุกเซลล์ในร่างกายของเรา
เมื่อไมโทคอนเดรียเกิดความเสียหาย (ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้เรื่อย ๆ) โปรตีน PINK1 จะเป็นตัวที่ตรวจจับและส่งสัญญาณให้ร่างกายเข้าไปจัดการ “ล้างบาง” ไมโทคอนเดรียที่เสียหายทิ้ง เพื่อป้องกันไม่ให้มันปล่อยสารพิษออกมา
❌ แต่ในผู้ป่วยพาร์กินสัน... ระบบนี้กลับพัง!
เมื่อระบบการตรวจจับของ PINK1 ไม่ทำงานอย่างที่ควรจะเป็น ไมโทคอนเดรียที่เสียหายจึงหลุดรอดการตรวจสอบและค่อย ๆ สะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ ภายในเซลล์ ซึ่งสุดท้ายจะปล่อย “สารพิษ” ออกมา และทำให้เซลล์สมองตายลงอย่างช้า ๆ นำไปสู่การเสื่อมของระบบประสาทในที่สุด
🔬 แล้วตอนนี้ นักวิจัยทำอะไรได้แล้วบ้าง?
ทีมวิจัยจาก WEHI สามารถ ไขความลับของโครงสร้างของ PINK1 ได้เป็นครั้งแรกในโลก! พวกเขาใช้เทคนิคระดับสูงเพื่อดูว่า PINK1 มีหน้าตาอย่างไรในระดับโมเลกุล และเข้าใจกลไกการทำงานของมันอย่างละเอียดว่ามี 4 ขั้นตอนหลัก ได้แก่:
1. PINK1 จะคอยตรวจจับว่าไมโทคอนเดรียเสียหาย
2. PINK1 จะเกาะติดกับผิวของไมโทคอนเดรียที่เสียหาย
3. ส่งสัญญาณผ่านโปรตีนชื่อว่า ยูบิควิติน (ubiquitin) เพื่อบอกว่าควรกำจัดไมโทคอนเดรียนั้น
4. ยูบิควิตินจะเชื่อมโยงกับโปรตีนอีกตัวชื่อว่า พาร์กิน (parkin) เพื่อให้ร่างกายจัดการรีไซเคิลไมโทคอนเดรียผ่านกระบวนการชื่อว่า mitophagy
✨ สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์ได้เห็น “PINK1 ของมนุษย์” ยึดเกาะกับไมโทคอนเดรียที่เสียหายอย่างชัดเจน และยังสามารถมองเห็น “การกลายพันธุ์” ของ PINK1 ในผู้ป่วยพาร์กินสันว่าเปลี่ยนแปลงมันอย่างไร
🧠 ทำไมสมองถึงเปราะบางกับโรคนี้เป็นพิเศษ?
สมองของเราใช้พลังงานมหาศาลในการทำงานแต่ละวัน จึงมีไมโทคอนเดรียอยู่เป็นจำนวนมาก และแน่นอนว่า...ถ้าไมโทคอนเดรียในสมองเสียหาย แต่ระบบ PINK1 ไม่ทำงาน เซลล์สมองก็จะโดนพิษเล่นงานก่อนเป็นอันดับแรก
ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เซลล์สมองจะ ไม่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้เหมือนเซลล์ส่วนอื่นในร่างกาย พอเซลล์ตายไปแล้ว ก็เหมือนสูญเสียการควบคุมอะไรบางอย่างในร่างกายไปเลย และนั่นแหละ คือสาเหตุที่ผู้ป่วยพาร์กินสันจะมีอาการสั่น เคลื่อนไหวช้า และสูญเสียการทรงตัวตามมา
📈 โรคพาร์กินสันกำลังระบาดมากขึ้นเรื่อย ๆ
ตามรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า โรคพาร์กินสันมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในทศวรรษหน้า โดยคาดว่าภายในปี 2040 จะมีผู้ป่วยถึง 25.2 ล้านคนทั่วโลก
ในสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียว จำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้น 20% จากปัจจุบันที่มีประมาณ 1 ล้านคน และหากไม่มีแนวทางรักษาที่ดีขึ้น จำนวนผู้ป่วยอาจพุ่งสูงกว่านี้หลายเท่า
💊 แล้วการค้นพบนี้จะช่วยอะไรได้?
Prof. David Komander หัวหน้าทีมวิจัยของ WEHI กล่าวว่า “นี่คือก้าวสำคัญของการวิจัยโรคพาร์กินสัน” เพราะตอนนี้เราสามารถ “เห็น” โปรตีน PINK1 ได้อย่างชัดเจน และเข้าใจว่ามันทำงานอย่างไรในสถานการณ์จริง ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการพัฒนา “ยา” ที่สามารถ กระตุ้น PINK1 ให้ทำงานอย่างถูกต้องได้
ถ้าเราสามารถ “เปิดสวิตช์” ให้ PINK1 กลับมาทำงานได้เหมือนเดิม ก็อาจเป็นไปได้ว่าเราจะ ชะลอ หรือ หยุดยั้ง การเสื่อมของเซลล์สมองในผู้ป่วยพาร์กินสันได้ในที่สุด
🧬 โลกอาจใกล้ค้นพบ “จุดเปลี่ยน” ของโรคร้ายนี้แล้วก็ได้...
จากนี้ไป เป็นหน้าที่ของเรา—ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งบนโลก—ที่จะติดตาม สนับสนุน และร่วมส่งเสียงให้กับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เพราะวันหนึ่ง การค้นพบเล็ก ๆ แบบนี้อาจช่วยชีวิตของใครหลายคนที่เรารัก...หรือแม้แต่ตัวเราเองในอนาคตก็เป็นได้
โฆษณา