19 เม.ย. เวลา 13:00 • สัตว์เลี้ยง

สายพันธุ์สุนัขทหารที่ใช้งานในกองทัพสหรัฐฯ

ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 กองทัพอื่นๆ เช่นกองทัพอังกฤษและกองทัพฝรั่งเศส แทบไม่มีสุนัขทหารเลยแต่ "กองทัพเยอรมัน" ได้ก่อตั้งสมาคมสุนัขแพทย์แห่งเยอรมนีในปี ค.ศ. 1890 เริ่มผสมพันธุ์สุนัขพันธุ์เยอรมัน เชพเพิร์ด ได้ในปี ค.ศ. 1899 และในช่วงเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 1 เยอรมนีมีสุนัขที่ผ่านการฝึกแล้วประมาณ 6,000 ตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็น สุนัขปฐมพยาบาล สุนัขกาชาดหรือสุนัขแพทย์ (Casualty dogs or Mercy dogs)
กองทัพฝรั่งเศสใช้สุนัขตัวเล็กในการจับหนูในสนามเพลาะด้วย และยังใช้ สุนัขเพื่อส่งกําลัง (Ammunition carrier) และสุนัขนําสาร (Messengers dogs)
กองทัพอิตาลีใช้สุนัข 3,500 ตัว เป็นสุนัขลากเลื่อน (Sled dogs) พันธุ์เบอร์นาร์ดเป็นสุนัขต่างในการบรรทุกปืนกลผ่านแนวเทือกเขาแอลป์ไปยังกองกำลังแนวหน้าในพื้นที่ภูเขา
ส่วนกองทัพรัสเซียใช้สุนัขเพื่อหาข่าว ทางด้านสหรัฐอเมริกาขณะนั้นยังไม่มีการจัดตั้งหน่วยสุนัขสงคราม แต่ได้ยืมสุนัขสงครามของอังกฤษ ฝรั่งเศส และเบลเยี่ยมมาใช้เป็นสุนัขส่งคนไข้
ในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ละกองทัพได้ตระหนักถึงประโยชน์ของสุนัข ทั้งฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายอักษะมีการใช้สุนัขในการทหารกว่า 250,000 ตัว นอกจากนี้สุนัขยังมีบทบาทใหม่ในการทดลองทางการแพทย์ (Experiment) ทดลองกับสัตว์ทำให้แพทย์สามารถทดลองยารักษาโรคชนิดใหม่ได้โดยไม่ต้องเสี่ยงต่อชีวิตมนุษย์
สำหรับกองทัพสหรัฐอเมริกาได้เริ่มพัฒนาสุนัขมาใช้ในสงครามเอง คือ หลังจากที่ถูกญี่ปุ่นโจมตีที่เพิร์ล ฮาร์เบอร์ 7 ธันวาคม 1941 โดยองค์กรพลเรือนที่ชื่อว่า Dogs for Defense และโครงการ War Dog Program ซึ่งช่วงแรกสุนัขที่นำมาใช้งานนั้นเป็นสุนัขที่รับบริจาคมาจากพลเรือน
ดำเนินการครั้งแรกโดย พ.อ. คลิฟฟอร์ด ซี. สมิธ (Lt. Col. Clifford C. Smith) หัวหน้ากองคุ้มครองพืช กองบัญชาการกองทหารรักษาดินแดน ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยไม่เพียงแต่สถานที่ทางทหารทั่วสหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโรงงานที่ผลิตวัสดุที่จำเป็นสำหรับความพยายามทำสงครามเต็มรูปแบบด้วย มีการสนับสนุนอย่างหนักแน่นว่าการใช้สุนัขเฝ้ายามจะมีประโยชน์ในการป้องกันการก่อวินาศกรรม
ไคลด์ พอร์เตอร์ จากเท็กซัส บริจาคสุนัขของเขาชื่อจูเนียร์ให้กับ Dogs for Defense ในภาพประชาสัมพันธ์นี้ (NARA) ที่มา https://www.uswardogs.org/WWII
ต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ฮาโรลด์ สติมป์สัน สั่งให้ฝึกสุนัขสำหรับหน้าที่อื่นๆ นอกเหนือจากหน้าที่เฝ้ายาม เช่น การลาดตระเวน การส่งสาร และการตรวจจับทุ่นระเบิด โดยไม่เป็นทางการ กองพันเสบียงเรียกโครงการสุนัขสงครามว่า "กองพัน K-9" โครงการจะขยายออกไปอีก โดยจัดหาสุนัขให้กับทั้งกองทัพเรือและหน่วยยามฝั่ง
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการสร้างศูนย์ฝึกและต้อนรับสุนัขสงคราม 5 แห่งขึ้นที่เมืองฟรอนต์รอยัล รัฐเวอร์จิเนีย เมืองกัลฟ์พอร์ต รัฐมิสซิสซิปปี้ เมืองเฮเลนา รัฐมอนทานา เมืองฟอร์ตโรบินสัน รัฐเนแบรสกา และเมืองซานคาร์ลอส รัฐแคลิฟอร์เนีย นาวิกโยธินจะจัดการฝึกอบรมของตนเองที่ค่ายเลอเฌอน รัฐนอร์ทแคโรไลนา
สายพันธุ์ที่นำมาใช้ฝึกช่วงแรกมีทั้งสิ้น 32 สายพันธุ์ ในปี 1944 สายพันธุ์ดังกล่าวถูกลดจำนวนลงเหลือ 7 สายพันธุ์ ได้แก่ เชพเพิร์ดเยอรมัน โดเบอร์แมนพินเชอร์ เบลเจียนชีพด็อก คอลลี่ ไซบีเรียนฮัสกี้ มาลามิวต์ และเอสกิโมด็อก
โครงการการรับบริจาคสุนัขประมาณ 40,000 ตัวในช่วงระยะเวลา 2 ปี หลังจากการตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว มีสุนัข 18,000 ตัวที่ได้รับการยอมรับในศูนย์ฝึกอบรมและรับรอง จากกลุ่มนี้ มีสุนัขที่สอบตก 8,000 ตัวเนื่องจากอุปนิสัย ขนาดตัวที่ไม่เหมาะสม หรือปัญหาสุขภาพ
เมื่อเริ่มสงคราม มีการรับสุนัขสายพันธุ์ต่างๆ จำนวน 32 สายพันธุ์ ซึ่งทั้งหมดได้รับบริจาคมาจากพลเรือน (NARA) ที่มา https://www.uswardogs.org/WWII
ในสงครามเวียดนาม กองทัพสหรัฐฯ ส่งสุนัขทหารปฏิบัติการ 5,000 ตัว จนปรากฏวีรกรรมของสุนัขขึ้นเมื่อ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1966 สุนัขชื่อ “นีโม” ผู้บังคับสุนัขชื่อ พลฯ โรเบิร์ด โทนเบิก เข้าปฏิบัติการต่อสู้ขัดขวางพวกเวียดกง 4 คน ที่บุกรุกเข้าโจมตี ฐานบินตันซอนนุตใกล้กรุงไซงอน ผลปรากฏว่านีโมต้องสูญเสียตาข้างขวาในการต่อสู้ขัดขวางในครั้งนั้น ส่วนผู้บังคับสุนัขบาดเจ็บสาหัสแต่สามารถรักษาหน้าที่ได้สำเร็จ
นีโม ได้รับเหรียญกล้าหาญ ได้เลื่อนยศเป็น พันตรี และกองทัพสหรัฐฯ ได้สร้างอนุสรณ์สถานให้เขาที่ฐานทัพอากาศลัคแลนด์ ซึ่งฐานทัพอากาศลัคแลนด์เป็นสถานที่ที่ใช้ฝึกสุนัขทหารสำหรับใช้ในกองทัพ
อนุสรณ์สถานนีโม่ ฐานทัพอากาศลัคแลนด์ เมืองซานอันโทนิโอ รัฐเท็กซัส
ในปี ค.ศ. 2011 มีสุนัขทหารของสหรัฐฯ กว่า 600 ตัวที่เข้าร่วมอย่างแข็งขันในความขัดแย้งในอิรักและอัฟกานิสถาน หน่วยบัญชาการยุทธการพิเศษสหรัฐ (The United States Special Operations Command : SOCOM) ยังใช้สุนัขในการโจมตีเพื่อจับกุมศัตรูหรือเชลยที่กำลังหลบหนี หรือเพื่อค้นหาพื้นที่ที่ยากหรืออันตรายเกินไปสำหรับมนุษย์ อย่างไรก็ตามการใช้งานสุนัขทหารในพื้นที่ตะวันออกกลางเป็นประเด็นที่อ่อนไหว เพราะสำหรับชาวมุสลิมแล้ว มีความเชื่อว่าน้ำลายของสุนัขไม่สะอาด
ที่มา U.S. Air Force photo/Staff Sgt. Marleah Miller
ปัจจุบันกองทัพสหรัฐฯ มีโรงเรียนสุนัขทหารที่สำคัญอยู่ที่ฐานทัพอากาศลัคแลนด์ เท็กซัส, ฟอร์ทกอร์ดอน และฟอร์ทเบนนิ่ง จอเจีย ฐานทัพอากาศ คาเดน่า โอกินาวา ญี่ปุ่น และฐานทัพอากาศวีสบาเดน เยอรมันนี
อนุสรณ์สถานแห่งชาติทีมสุนัขทหาร ณ ฐานทัพอากาศลัคแลนด์ เมืองซานอันโทนิโอ รัฐเท็กซัส
การแบ่งหน้าที่สุนัขทหารกองทัพสหรัฐอเมริกา สามารถแบ่งได้ออกเป็น 3 หน้าที่
1. สุนัขปฏิบัติหน้าที่พิเศษเพียงหน้าที่เดียว (Single Purpose Working Dog) ได้แก่
1.1 สุนัขค้นหาหน้าที่พิเศษ (Specialized Search Dog : SSD) ใช้ตรวจพิสูจน์ทราบ ค้นหาวัตถุระเบิด ตรวจพิสูจน์ทราบส่วนประกอบของวัตถุระเบิด สามารถใช้งานสุนัขโดยไม่ต้องใส่สายจูงได้มากกว่า 100 เมตร จากผู้บังคับสุนัข อีกทั้งยังสามารถสั่งการสุนัขผ่านวิทยุได้อีกด้วย
1.2 สุนัขต่อสู้สะกดรอย (Combat Tracker Dog : CTD) สามารถรับกลิ่นได้ดี แยกกลิ่นได้หลายประเภท ใช้ค้นหามนุษย์ แจ้งเตือนภัย การสำรวจพื้นที่ นอกจากนี้ยังแยกกลิ่นของ สารพืชผัก ทราย น้ำ วัสดุปูน หิน ต่าง ๆ ได้อีกด้วย สุนัขหน้าที่นี้จะปฏิบัติงานได้ทั้งในเมืองและนอกเมือง ไม่ว่าจะในกลางวันหรือกลางคืนก็ตาม
1.3 สุนัขตรวจค้นทุ่นระเบิด (Mine Detector Dog : MDD) สุนัขจะถูกฝึกให้รับกลิ่นที่เหนือกว่า เพื่อตรวจพิสูจน์อุปกรณ์ และส่วนประกอบของทุ่นระเบิดที่มีที่มาหลากหลาย
2. สุนัขปฏิบัติงานสองหน้าที่ (Dual Purpose Working Dog) ได้แก่
2.1 สุนัขลาดตระเวนและตรวจค้นยาเสพติด (Patrol Explosive Detector Dog/Patrol Drug Detector Dog : PEDD/PDDD) สุนัขจะถูกฝึกเพื่อติดตามพิสูจน์กลิ่น สามารถตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิดได้ ใช้คุ้มกันสถานที่ ใช้ในงานการบังคับใช้กฎหมาย งานอาชญากรรม เช่น การขอพิสูจน์ทราบบุคคล การคุ้มกันผู้ต้องสงสัยหลบหนี การคุ้มกันการตรวจค้นตัวผู้ต้องสงสัย นอกจากนี้ยังถูกฝึกให้ปฏิบัติหน้าที่ตรวจค้นยาเสพติดได้อีกด้วย
2.2 สุนัขลาดตระเวนและตรวจค้นวัตถุระเบิด (Patrol Explosive Detector Dog-Enhanced : PEDD-E) สุนัขจะถูกฝึกคล้ายกับสุนัขค้นหาหน้าที่พิเศษ แต่ทว่าสามารถปฏิบัติงานได้ทั้งสองหน้าที่ คือสามารถปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนได้ด้วย
3. สุนัขปฏิบัติงานหลายหน้าที่ (Multi-Purpose Canine) ได้แก่
3.1 สุนัขปฏิบัติงานหลายหน้าที่ (Multi-Purpose Canine : MPC) สุนัขปฏิบัติหน้าที่นี้จะถูกใช้งานโดยหน่วยรบพิเศษ หรือหน่วยปฏิบัติการพิเศษ สุนัข MPCs ได้รับการฝึกฝนให้คุ้นเคยกับสถานการณ์ที่ตึงเครียด เช่น เสียงปืน การโรยตัวจากเฮลิคอปเตอร์ การขึ้นเรือยาง และการกระโดดร่ม พวกมันสามารถตรวจจับวัตถุระเบิดและยาเสพติด ติดตามเป้าหมาย และโจมตีศัตรูด้วยการกัดแบบ "full mouth bite" ซึ่งหมายถึงการกัดอย่างเต็มปากและไม่ปล่อย
ที่มา Business Insider
สายพันธุ์สุนัขทหารที่กองทัพสหรัฐอเมริกานำมาใช้งานทางการทหาร
1) สุนัขที่ทำการฝึกส่วนลาดตระเวน (Patrol Training) จะมีทั้งหมด 3 พันธุ์ ได้แก่ เบลเยี่ยม มาลินอยส์ (Belgian Malinois), ดัช เชพเพิร์ด (Dutch Shepherds) และเยอรมัน เชพเพิร์ด(German Shepherds)
2) สุนัขที่ทำการฝึกส่วนที่ค้นหา (Detection Training) จะมีทั้งหมด 7 สายพันธุ์ ได้แก่ เบลเยี่ยม มาลินอยส์ (Belgian Malinois), เยอรมัน เชพเพิร์ด (German Shepherds), ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ (Labrador retriever), เยอรมัน พอยน์เตอร์ ขนสั้น (German Shorthaired), วิซสลา (Vizsia), เยอรมัน พอยน์เตอร์ ขนแข็ง (German wirehaired pointer) และโกลเด้น รีทริฟเวอร์ (Golden retriever)
ที่มา Business Insider
ที่มา Business Insider
​เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2019 ที่เมืองโอมาฮา รัฐเนแบรสกา สหรัฐอเมริกา ได้มีการเปิดตัวแสตมป์ "Military Working Dog Forever Stamp" เพื่อเป็นเกียรติแก่สุนัขทหารที่รับใช้กองทัพสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 1942 ซึ่งเป็นปีที่กองทัพบกสหรัฐฯ เริ่มโครงการ War Dog Program หรือ K-9 Corps
โดยแสตมป์ชุดนี้ออกแบบโดย DKNG Studios แสดงภาพสุนัขสี่สายพันธุ์ที่มีบทบาทสำคัญในภารกิจทหาร ได้แก่ เยอรมันเชพเพิร์ด ลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์ เบลเยียมมาลีนอยส์ และดัตช์เชพเพิร์ด โดยมีพื้นหลังเป็นสีแดงหรือสีน้ำเงินพร้อมดาวสีขาวบางส่วน สื่อถึงธงชาติสหรัฐฯ การออกแสตมป์นี้จึงเป็นการยกย่องและเผยแพร่บทบาทสำคัญของสุนัขทหารในประวัติศาสตร์และภารกิจของกองทัพสหรัฐฯ
ที่มา (U.S. Air Force photo/Samuel King Jr.)
ที่มา
1. uswardogs.org/WWII. (2025). World War II. Retrieved Apr 18, 2025, from https://www.uswardogs.org/WWII
2. the Department of the Air Force of the United States. (2021). Technical Training Military Working Dog Handler Course. San Antonio: 341st Training Squadron JBSA-Lackland.
3. U.S.Army. (2020). Military Working Dog Handler 31K. Retrieved Aug 18, 2024, from https://www.goarmy.com/careers-and-jobs/support-logistics/safety-order-legal/31k-military-dog-handler
4. Business Insider. (2021) How Military Dogs Are Trained | Boot Camp |. Retrieved Aug 18, 2024, from https://www.youtube.com/watch?v=xit5GR_Nm10
5. Alabama and Auburn Universities. (2012). The Dog's Sense of Smell . Archived from the original (PDF). Retrieved Aug 18, 2024.
6. Dzięcioł, Michał (2021). Canine Olfaction: Physiology, Behavior, and Possibilities for Practical Applications|. Retrieved Aug 18, 2024, from https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC8388720/
7. กีรติ สุดสัตย์. (๒๕๕๓) รายงานผลการศึกษาหลักสูตรผู้บังคับสุนัขทหาร.
8. ระพีพร สกุลทิพย์. (๒๕๖๖) รายงานผลการศึกษาหลักสูตรผู้บังคับสุนัขทหารกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา.
9. Amanda Dolasinski. (2019). Meet the Four-Legged Friends Memorialized on the New Forever Stamps. Retrieved Apr 19, 2025, from https://www.moaa.org/content/publications-and-media/news-articles/2019-news-articles/military-working-dogs-memorialized-on-forever-stamp/
โฆษณา