Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ฟิสิกส์โลกธาตุ
•
ติดตาม
19 เม.ย. เวลา 11:12 • ปรัชญา
📘 ตอนที่ 1
#ฟิสิกส์โลกธาตุ
จักรวาลที่เรารู้จักนั้น... แค่ไหนกันแน่?
🌌 เวลามองท้องฟ้ายามค่ำคืน เราอาจรู้สึกเหมือนกำลังมอง "ทั้งหมดของจักรวาล" ด้วยตาเปล่า
แต่ในความเป็นจริง... สิ่งที่เราเห็นอาจเป็นเพียง "เศษเสี้ยวเล็ก ๆ" เท่านั้น
🔭 นักฟิสิกส์เรียกสิ่งที่เราเห็นได้ว่า "จักรวาลที่สังเกตได้" (Observable Universe)
มันคือขอบเขตของจักรวาลที่แสงวิ่งมาถึงเราได้ ภายในระยะเวลาตั้งแต่เอกภพเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน
🧠 แสงมีความเร็วจำกัด (ประมาณ 300,000 กม./วินาที)
จึงเหมือนว่าเรากำลังมอง "ภาพอดีต" ของจักรวาล ผ่านสิ่งที่แสงบอกเรา
นักวิทยาศาสตร์ประเมินว่า "จักรวาลที่สังเกตได้" มีรัศมีประมาณ 46,500 ล้านปีแสง
แม้เอกภพจะมีอายุเพียง ~13.8 พันล้านปี แต่จักรวาลขยายตัวอยู่ตลอดเวลา
🛕 แล้วพระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร?
ในพระไตรปิฎกฉบับบาลีสยามรัฐ เล่มที่ 20
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
จูฬนีสูตร (ข้อที่ 520) — พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า:
“ยาวตานนฺท จนฺทิมสุริยา ปริหรนฺติ ทิสา ภนฺติ วิโรจนา ตาว สหสฺสธา โลโก”
"ตราบเท่าที่พระจันทร์พระอาทิตย์ยังส่องแสงในทิศทั้งหลาย นั่นคือเขตแห่งโลกธาตุพันประการ"
ซึ่งพิจารณาโดยปราศจากอคติ จะเห็นว่า แนวคิดนี้ใกล้เคียงกับคำว่า
“จักรวาลที่สังเกตได้” (Observable Universe) ในฟิสิกส์
เพราะขอบเขตที่แสงจากดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ยังส่องถึง
ก็คือขอบเขตที่การรับรู้ของสัตว์โลกในภูมินั้น ๆ ดำรงอยู่
ตามหลักของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ไม่มีสิ่งใดที่มีมวล — รวมถึงร่างกายมนุษย์, ประสาทสัมผัส, หรือวัตถุใดก็ตามที่เรารับรู้ได้ — จะสามารถเดินทางได้เร็วกว่าแสง
ดังนั้น “ขอบเขตที่แสงเดินทางถึง” จึงกลายเป็นเสมือนกำแพงของจักรวาลที่มนุษย์ธรรมดาเข้าถึงไม่ได้
แม้เราจะพยายามเดินทางเร็วแค่ไหน ก็ไม่มีทางไล่ทันปลายทางของแสง
นั่นคือเหตุผลที่นักฟิสิกส์ใช้ขอบเขตนี้ในการนิยามว่า “จักรวาลที่สังเกตได้” มีขนาดเท่าไร
ในแง่นี้ โลกธาตุที่พระพุทธเจ้าตรัสถึง — ซึ่งครอบคลุมเขตที่แสงส่องถึง —
จึงสะท้อนแนวคิดของจักรวาลที่สังเกตได้อย่างลึกซึ้งน่าอัศจรรย์
👁️ แล้วเรารู้จักจักรวาลผ่านอะไร?
มนุษย์ในภพภูมินี้รับรู้จักรวาลผ่าน ประสาทสัมผัสทั้งห้า ซึ่งแต่ละอย่างก็มี "ตัวกลาง" และ "ขอบเขต" ของมันเอง:
– ตา (รูป) รับรู้ผ่านคลื่นแสง (ช่วงความยาวคลื่น ~400–700 นาโนเมตร)
– หู (เสียง) รับรู้ผ่านการสั่นของอากาศ (แรงดันเสียง)
– จมูก (กลิ่น) รับรู้จากโมเลกุลที่ลอยอยู่ในบรรยากาศ
– ลิ้น (รส) รับรู้จากสารละลายที่สัมผัสกับปุ่มรับรส
– กาย (สัมผัส) รับรู้แรงกด ความร้อน ความเย็น ความชื้น ฯลฯ ผ่านผิวหนัง
❝ หากไม่มีรูป เสียง กลิ่น รส หรือสัมผัส — โลกในฐานะที่จิตรับรู้ ก็จะไม่ปรากฏขึ้นเลย ❞
ดังนั้นจักรวาลที่เราแต่ละคน "รู้จัก" จึงไม่ได้เท่ากับจักรวาลจริง
แต่คือจักรวาลที่ผ่าน "ตัวกรองของประสาทสัมผัส" ในร่างกายมนุษย์
แม้ในฟิสิกส์ เราจะพูดถึง "จักรวาลที่สังเกตได้ (Observable Universe)" โดยอิงจากแสงที่เดินทางถึงเรา
แต่หากมองลึกลงไป — ไม่ใช่แค่แสงเท่านั้นที่กำหนดโลกของเรา
หากแต่คือ ความสามารถของจิตที่รับรู้ข้อมูลจากประสาททั้งห้า ด้วย
❝ โลกที่เรารู้จัก... จึงไม่ใช่ “ทั้งหมดของจักรวาล”
หากแต่เป็น “ทั้งหมดที่ร่างกายมนุษย์นี้รับรู้ได้” ❞
🔍 แล้วจักรวาลจริง ๆ มีแค่นั้นไหม?
นักฟิสิกส์ส่วนใหญ่ตอบว่า ไม่แน่
เพราะแสงเดินทางได้แค่บางระยะ และเรายังไม่รู้ว่านอกขอบเขตนั้นมีอะไรอยู่บ้าง
เช่นเดียวกับในพระพุทธศาสนา — โลกธาตุมีหลายระดับ และมี ภพภูมิที่แสงไม่ส่องถึง อยู่มากมาย
โลกของสัตว์นรก, เปรต, อรูปพรหม — เป็นภพภูมิที่มีลักษณะการดำรงอยู่ต่างจากโลกมนุษย์อย่างมาก และอาจอยู่นอกเหนือการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสปกติของมนุษย์
🧬 แล้วเราจะรู้จัก “ความจริงทั้งหมด” ได้อย่างไร?
จะให้มนุษย์อย่างเรา ๆ ซึ่งเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ Homo sapiens
รับรู้ความเป็นจริงทั้งหมดของจักรวาล ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า
(รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส) นั้น... คงเป็นไปไม่ได้
เพราะประสาทสัมผัสเหล่านี้ มิได้มีไว้เพื่อรู้แจ้งสัจธรรม
แต่มักมีไว้เพื่อให้ “รอดชีวิต” และ “ตอบสนอง” ต่อสิ่งเร้าเฉพาะหน้า
และเมื่อประสาทสัมผัสทั้งห้าก็เป็นสิ่งหนึ่งใน “โลก” ที่เราพยายามเข้าใจ
ความจริงย่อมอยู่เหนือไปจากมัน
❝ ความจริงไม่จำเป็นต้องแสดงตัวในแบบที่ดวงตา หู หรือผิวหนังของเราจะเข้าใจได้ ❞
ในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงสอนถึง หนทางของจิต
ที่สามารถก้าวข้ามการรับรู้ทางประสาทสัมผัสเหล่านี้ได้
ผ่านการฝึกฌาน, การเกิดญาณ, อภิญญา และที่สุดคือ พระสัพพัญญุตญาณ
🌌 สรุป: โลกที่เราเห็น = โลกที่จิตสัมผัสได้
จักรวาลที่เรา "รู้จัก" = สิ่งที่จิตรับรู้ได้ผ่านประสาทสัมผัสที่ขึ้นกับแสง
โลกธาตุที่พระพุทธเจ้าตรัส = เขตที่สัตว์โลกเวียนว่ายได้ตามกรรมและวิญญาณ
สองแนวคิดนี้... ไม่ได้ขัดกันเลย
กลับเสริมกันอย่างน่าทึ่ง
📘 ในตอนหน้า เราจะพาไปสำรวจว่า...
“ฟิสิกส์ควอนตัมทำให้ความจริงไม่แน่นอนอย่างไร?”
แล้วมันจะเกี่ยวอะไรกับ "อุปาทาน" และ "ขันธ์ 5"?
📎 แหล่งอ้างอิง:
- พระไตรปิฎกฉบับบาลีสยามรัฐ เล่มที่ 20
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
จูฬนีสูตร (ข้อที่ 520)
👉
https://etipitaka.com/read/pali/20/291/
- Wikipedia: Observable Universe
👉
https://en.wikipedia.org/wiki/Observable_universe
- NASA APOD: The Observable Universe
👉
https://apod.nasa.gov/apod/ap220316.html
- NASA Cosmic Times: Age & Size of the Universe Through the Years
👉
https://imagine.gsfc.nasa.gov/educators/programs/cosmictimes/educators/guide/age_size.html
– Stanford Encyclopedia of Philosophy: Quantum Theory
👉
https://plato.stanford.edu/entries/qm/
🔖 #จักรวาล #ฟิสิกส์ #ธรรมะ #ฟิสิกส์โลกธาตุ #โลกธาตุ #พระพุทธเจ้า #ควอนตัม
ธรรมะ
วิทยาศาสตร์
ปรัชญา
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ฟิสิกส์โลกธาตุ
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย