Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ชายพูดเหนื่อยล้าไม่เคยหลับไหลจริงเหรอ
•
ติดตาม
21 เม.ย. เวลา 01:30 • ปรัชญา
มุมมองที่แตกต่าง
บทนำ: ระยะห่างที่มองไม่เห็น (ตอนที่ 1)
บนถนนสายหนึ่งในเมืองหลวงที่คึกคัก เสียงเครื่องยนต์ของรถหรูแล่นผ่านไปพร้อมกับกลิ่นกาแฟจากร้านแบรนด์ดัง ร้านค้าเปิดไฟสว่าง ผู้คนแต่งตัวดีเดินสวนกันไปมาอย่างไม่รู้จบ กลางเมืองที่ไม่เคยหลับใหลนั้น เด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งนั่งก้มหน้าตักกินอาหารได้รับจากคนใจดีเมื่อเช้าอยู่ข้างถังขยะ เสียงท้องร้องของเขาดังพอจะได้ยินหากใครสักคนตั้งใจฟัง แต่ไม่มีใครเหลียวมอง ไม่มีใครหยุดเดิน
บางคนเกิดมาพร้อมทุกอย่าง—โอกาส การศึกษา ทุนทรัพย์ และเครือข่ายสนับสนุน ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งกลับต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดตั้งแต่ลืมตาดูโลก ชีวิตของพวกเขาไม่เคยได้เริ่มต้นที่จุดเดียวกัน และไม่ใช่ทุกคนที่สามารถวิ่งไปถึงเส้นชัยได้พร้อมกัน
โลกใบนี้ไม่ยุติธรรม ไม่เคยยุติธรรม และอาจจะไม่มีวันยุติธรรม
แต่การยอมรับความจริงนี้ ไม่ได้หมายความว่าเราควรนิ่งเฉยต่อมัน
บทความนี้ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อกล่าวโทษใคร ไม่ใช่เพื่อโยนบาปหรือสร้างความเกลียดชัง แต่มันคือบทสนทนาหนึ่งที่ชวนให้คุณ “มองเห็น” สิ่งที่อาจมองไม่เห็นในชีวิตประจำวัน มันคือการเดินทางผ่านภาพชีวิตสองด้านของสังคมของประเทศช้าง (และโลก) ด้านหนึ่งคือความมั่งคั่ง ความพร้อม และสิทธิพิเศษที่สังคมหยิบยื่นให้อย่างเงียบๆ แต่อีกด้านหนึ่งคือความขาดแคลน ความเหนื่อยล้า และการถูกมองข้ามราวกับไม่เคยมีอยู่จริง
ระยะห่างที่เราพูดถึงไม่ใช่แค่ระยะทางทางกายภาพ ไม่ใช่แค่คนที่อยู่ในคอนโดหรูบนถนนสุขุมวิทกับคนที่นอนใต้สะพานลอย แต่มันคือช่องว่างที่มองไม่เห็น—ระยะห่างทางโอกาส ทรัพยากร สิทธิในการฝัน และโอกาสในการล้มแล้วลุก
นี่คือเรื่องเล่าที่ไม่มีตัวร้าย ไม่มีพระเอก ไม่มีใครดีเลิศหรือเลวร้ายไปกว่ากัน มันคือเรื่องของมนุษย์สองคนที่เติบโตมาคนละทาง คนละโลก แต่ใช้ชีวิตอยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน แผ่นดินเดียวกัน
และบางที—ระยะห่างที่มองไม่เห็นนั้น อาจเป็นสิ่งที่เราต้องเริ่มเรียนรู้ที่จะมองเห็น เพื่อเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น
ตอนที่ 2: จุดเริ่มต้นที่ไม่เท่ากัน (1)
ไม่มีใครสามารถเลือกได้ว่าจะเกิดมาในครอบครัวแบบไหน
บางคนเกิดมาเป็นลูกหลานนักธุรกิจระดับแถวหน้าของประเทศ บางคนเกิดมาในบ้านที่แม่ต้องตื่นตีห้าเพื่อรีดผ้ารับจ้าง—จุดเริ่มต้นของชีวิตจึงต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เด็กชายคนหนึ่งเกิดในโรงพยาบาลเอกชน ห้องคลอดสะอาดสะอ้าน มีเครื่องมือแพทย์ครบครัน และทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลทุกวินาที หลังคลอดไม่กี่ชั่วโมง เขาได้กอดแม่ครั้งแรกท่ามกลางเสียงหัวเราะและแสงแฟลชจากกล้องราคาแพงที่บันทึกภาพแห่งความยินดีไว้ทุกมุมมอง ชุดคลุมผ้าไหมเนื้อนุ่มสีน้ำตาลอ่อนถูกจัดเตรียมไว้รอเขาตั้งแต่ก่อนลืมตาดูโลก
ในเวลาใกล้เคียงกัน แต่อยู่คนละฟากของเมือง เด็กหญิงอีกคนหนึ่งลืมตาดูโลกในโรงพยาบาลรัฐที่แออัด
แม่ของเธอใช้บัตรทองเข้ารับการรักษา และพยาบาลเพียงหนึ่งคนต้องดูแลคนไข้หลายสิบชีวิต ไม่มีใครมารอรับ ไม่มีเสียงแสดงความยินดี ไม่มีแม้แต่ดอกไม้ราคาหลายพัน เธอถูกห่อตัวด้วยผ้าขาวบางที่ผ่านการซักมาหลายครั้ง—เก่าแต่สะอาดพอใช้ได้
สองชีวิตเกิดในวันเดียวกัน เดือนเดียวกัน ปีเดียวกัน แต่โลกที่พวกเขาจะเติบโตกลับต่างกันจนไม่อาจจินตนาการได้
สิ่งแวดล้อมเริ่มแรกของพวกเขาเปรียบเสมือนรากฐานของตึกสูง บางคนมีเสาเข็มแน่นหนา พื้นที่ว่างพอให้ขยาย บางคนกลับต้องปลูกบ้านบนพื้นดินที่สั่นคลอนและจำกัด ไม่ใช่เพราะพวกเขาเลือกเช่นนั้น แต่เพราะ “โลกเลือกให้” ตั้งแต่ต้น
บ้านของเด็กชายคนแรกเต็มไปด้วยหนังสือหลากหลายประเภท ของเล่นเสริมพัฒนาการที่ผ่านการคัดสรรอย่างดี และพี่เลี้ยงเด็กที่จบหลักสูตรอบรมจากสถาบันมืออาชีพ เขาได้ยินภาษาอังกฤษตั้งแต่ยังพูดไม่ได้ เข้าโรงเรียนอนุบาลอินเตอร์ทันทีที่อายุครบสองขวบ และได้รับการวางแผนอนาคตอย่างรอบคอบตั้งแต่ยังไม่รู้จักคำว่า “อนาคต”
ในขณะที่อีกฟาก เด็กหญิงคนหนึ่งเติบโตในห้องเช่าขนาดเล็กที่แม่ต้องแบ่งครึ่งไว้ให้ญาติพักด้วย แม่ทำงานทั้งวัน ทิ้งให้เธออยู่กับทีวีเครื่องเก่าและเสียงจากเพื่อนบ้านที่บางวันเต็มไปด้วยคำพูดหยาบคาย เธอเรียนรู้คำแรกจากการได้ยินเสียงคนทะเลาะกันมากกว่าการอ่านนิทานก่อนนอน
ไม่ใช่ว่าใครเก่งกว่าใคร ไม่ใช่ว่าใครขยันกว่าใคร
แต่สภาพแวดล้อมเริ่มต้นต่างหากที่ค่อยๆ ปั้นแต่งเส้นทางชีวิตอย่างเงียบๆ
ตอนที่ 3: โอกาสไม่ใช่ของฟรี
เมื่อเด็กที่เกิดมาในครอบครัวมีฐานะเริ่มต้นชีวิต พวกเขามักได้รับการปูทางไว้แล้วโดยไม่ต้องดิ้นรน โอกาสไม่ได้เป็นสิ่งที่ต้องแย่งชิง แต่มันรออยู่ตรงหน้าเสมอ อย่างเช่น การได้เรียนในโรงเรียนเอกชนชั้นนำที่มีชื่อเสียง ครูต่างชาติ ห้องเรียนขนาดเล็ก สื่อการสอนครบถ้วน ทุกอย่างออกแบบมาเพื่อผลักดันให้พวกเขาก้าวสู่ความสำเร็จ
ในวัยที่เด็กบางคนยังไม่รู้จักคำว่า “โอกาส” เด็กอีกกลุ่มหนึ่งอาจได้จับปากกาเขียนชื่อตัวเองด้วยลายมือที่ถูกสอนมาอย่างเป็นระบบ มีครูพิเศษมาสอนถึงบ้าน หรือมีโอกาสได้เรียนเปียโน ว่ายน้ำ หรือภาษาที่สาม ในขณะที่อีกกลุ่มกลับต้องนั่งรอแม่กลับมาจากงานกลางคืนเพราะไม่มีใครดูแล
สำหรับเด็กหญิงที่เติบโตในห้องเช่าเล็กๆ นั้น ทุกวันคือการเอาตัวรอด อาหารสามมื้อไม่ใช่เรื่องแน่นอน การไปโรงเรียนขึ้นอยู่กับว่าค่าใช้จ่ายจะพอไหม รองเท้านักเรียนขาดแล้วขาดเลย เสื้อผ้าคือของที่ได้รับต่อจากพี่สาวและเพื่อนบ้าน
แม้แต่ของเล่นธรรมดาอย่างตุ๊กตาตัวเล็กๆ ก็อาจเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย
ในขณะที่เด็กอีกคนหนึ่งอาจมีห้องทั้งห้องที่เต็มไปด้วยของเล่นและของสะสมที่ได้มาโดยไม่ต้องร้องขอ
โอกาสจึงไม่ใช่สิ่งที่ทุกคน “ได้” มาเท่าเทียมกัน
มันคือผลรวมของการเกิดมาในสิ่งแวดล้อมที่พร้อม หรือไม่พร้อม
แม้พวกเขาจะเติบโตขึ้นและเข้าสู่ระบบการศึกษาเดียวกัน แต่ต้นทุนชีวิตที่ต่างกันก็สะท้อนผ่านหลายสิ่ง เช่น ความมั่นใจในการยกมือถามครู ความสามารถในการซื้ออุปกรณ์การเรียน หรือแม้แต่ทักษะในการสื่อสาร
หลายคนมองว่าความพยายามคือคำตอบของทุกอย่าง เรามักสอนเด็กว่า “ตั้งใจเรียนแล้วจะได้ดี” แต่ความจริงแล้ว เด็กบางคนต้องตั้งใจเรียนบนท้องที่หิว กับแสงไฟจากหลอดเดียวในห้องแคบ ขณะที่อีกคนหนึ่งเรียนในห้องที่เปิดแอร์ มีโต๊ะส่วนตัว และพ่อแม่คอยช่วยติวทุกเย็น
เพราะฉะนั้น คำว่า “พยายามเข้าไว้” อาจเป็นคำพูดที่ง่ายเกินไป หากเราไม่เคยรู้ว่าอีกฝั่งหนึ่งของความพยายามนั้นมีความเหนื่อยล้า ความหิว และความกดดันอยู่มากเพียงใด
2 บันทึก
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย