Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Timeless History (ประวัติศาสตร์ไร้กาลเวลา)
•
ติดตาม
22 เม.ย. เวลา 11:36 • ประวัติศาสตร์
“โรมิโอและจูเลียตแห่งซาราเยโว (Romeo and Juliet in Sarajevo)“ เมื่อความรักไม่สามารถชนะสงครามได้
หากว่าชาติข้างเคียงเข้ามารุกรานชาติคุณ คุณจะหาทางปลดปล่อยชาติของคุณหรือไม่? แล้วจะเป็นยังไงหากว่าคนรักของคุณเป็นคนจากชาติศัตรูล่ะ? หากคุณกับคนรักวางแผนสำหรับอนาคตด้วยกัน หากแต่อนาคตข้างหน้าช่างดูมืดมนเหลือเกิน คุณจะทำอย่างไร?
1
บางที ความรักก็ไม่สามารถจะชนะได้ทุกสิ่ง ดังเช่นเรื่องราวที่น่าเศร้าของหนุ่มสาวทั้งคู่ที่ผมกำลังจะเล่าให้ฟังนี้ครับ
ทั้งคู่ได้รับฉายาว่าเป็น “โรมิโอและจูเลียตแห่งซาราเยโว (Romeo and Juliet in Sarajevo)“
1
เรื่องราวของทั้งคู่เป็นอย่างไร ผมจะเล่าให้ฟังครับ
ย้อนกลับไปเมื่อ 30 กว่าปีก่อน หนุ่มสาวคู่หนึ่งนามว่า “Admira Ismic” และ ”Bosko Brckic” ได้เริ่มออกเดทกันมาตั้งแต่อายุ 16 ปี และทั้งคู่ก็ตัวติดกันตลอด ไปเที่ยวด้วยกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด
และในช่วงที่ทั้งคู่เข้าวัย 20 ปี ทั้งคู่ก็ได้วางแผนการสร้างครอบครัวด้วยกัน จะตั้งรกราก ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบในเมืองซาราเยโว ประเทศบอสเนีย
แต่แล้วในปีค.ศ.1992 (พ.ศ.2535) ก็ได้มีกลุ่มชายติดอาวุธบุกเข้ามาในเมือง เกิดการยิงปะทะกันข้ามเทือกเขา และทำให้บ้านเมืองแบ่งแยกออกเป็นสอง
Bosko Brckic และ Admira Ismic
เมืองที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรมได้กลายเป็นสนามรบระหว่างกองทัพสองกองทัพ นั่นคือกองทัพบอสเนียเซิร์บ กับ กองทัพบอสเนียมุสลิม
1
จากชีวิตที่เคยสงบสุข ผู้คนกลับต้องไปทำงานด้วยใจที่หวาดกลัว ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดกลับมาบ้านได้มั้ย ผู้คนที่เคยเป็นมิตรกันต่างก็ต้องกลายเป็นศัตรู นามสกุลเป็นสิ่งที่แบ่งแยกว่าใครอยู่ฝ่ายไหน และ Admira กับ Bosko ก็ต้องกลายเป็นคนละฝ่าย
Admira เป็นมุสลิม ส่วน Bosko เป็นชาวเซอร์เบียที่นับถือนิกายออทอร์ดอกซ์
หากแต่หนุ่มสาววัย 25 ปีทั้งคู่ไม่อยากจะต้องเลือกข้าง ทั้งคู่รักกัน และไม่ได้สนใจว่าครอบครัวหรือความเชื่อทางศาสนาจะเป็นอย่างไร
ดังนั้น ทั้งคู่จึงตัดสินใจจะออกไปจากเมือง ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่อื่น
แต่ว่าในบางครั้ง ชีวิตก็ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้
แต่ก่อนอื่น เรามารู้จักหนุ่มสาวทั้งคู่กันอีกซักหน่อยดีกว่า
Bosko และ Admira ดูจะเป็นคู่ที่ถูกสร้างมาโดยแท้จริง
ทั้งคู่เกิดในปีเดียวกัน คือปีค.ศ.1968 (พ.ศ.2511) โดย Admira นั้นเกิดที่ซาราเยโว ส่วน Bosko ย้ายมาจากเซอร์เบียตอนอายุ 7 ขวบ เนื่องจากผู้เป็นพ่อต้องมาทำงานที่ซาราเยโว
1
ในเวลานั้น บอสเนียเป็นสถานที่ที่ผู้คนต่างศาสนา ต่างเชื้อชาติอยู่กันได้อย่างสงบสุข ผู้คนสนใจแค่ว่าคุณเป็นคนยังไง ไม่ได้สนใจเชื้อชาติของคุณ
1
หนุ่มสาวทั้งคู่พบกันในปีค.ศ.1984 (พ.ศ.2527) ขณะศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมปลาย และทั้งคู่ก็สนิทสนม คบหากันอย่างรวดเร็ว
Bosko นั้นเป็นคนหัวรั้นและใจร้อน ชอบเล่นกีฬาฟุตบอล ส่วน Admira นั้นชื่นชอบการขี่มอเตอร์ไซค์ อีกทั้งยังเป็นคนกล้าหาญ ไม่กลัวอะไร ฉลาดและหน้าตาดี
หลังจากคบหากันได้สองปี โศกนาฏกรรมแรกก็มาเยือน เนื่องจากเมื่ออายุได้ 18 ปี Bosko ก็ต้องเสียผู้เป็นพ่อจากอาการหัวใจวาย
Bosko นั้นใจสลาย ในขณะที่ Admira นั้นคอยอยู่เคียงข้างแฟนหนุ่ม ให้กำลังใจอยู่ไม่ห่าง ก่อนที่อีกไม่กี่เดือนต่อมา Bosko ได้ถูกเกณฑ์ทหาร ต้องไปประจำที่เซอร์เบีย และ Armira ก็รอคอยแฟนหนุ่มอย่างใจจดใจจ่อ
ในช่วงเวลาที่ต้องห่างกันหนึ่งปี ทั้งคู่มักจะส่งจดหมายหากันเสมอ
“Admira ที่รัก
ทุกๆ คืนที่ฉันเข้านอน ฉันนอนไม่หลับเพราะคิดถึงเธอ เธอเป็นความสุขเดียวที่ฉันมี”
คือข้อความส่วนหนึ่งในจดหมายของ Bosko
1
ส่วน Admira ที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร ก็จะส่งจดหมายกลับมาภายในเวลาไม่กี่วัน
“สุดที่รักของฉัน
ซาราเยโวในยามค่ำคืนคือสิ่งที่สวยงามที่สุดในโลก บางที ฉันอาจจะไปอยู่ที่อื่นก็ได้แต่เฉพาะถ้าฉันถูกบังคับ เหลือเวลาอีกไม่นานเราก็จะได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง หลังจากนั้น ไม่มีอะไรจะพรากเราจากกันได้“
คือข้อความในจดหมายของ Admira
ทุกๆ อย่างดูจะเป็นไปได้ด้วยดีและมีอนาคตที่สดใส
แต่ใครจะไปคิดว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา
1
เมื่อถึงปีค.ศ.1991 (พ.ศ.2534) ยูโกสลาเวียล่มสลาย
ได้เกิดสงครามขึ้นในบอสเนียเมื่อปีค.ศ.1992 (พ.ศ.2535) ปรากฎว่าอพาร์ทเม้นท์ที่ Bosko อาศัยอยู่ได้ถูกระเบิด ทำให้ครอบครัวของ Bosko ต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่ที่ใหม่ที่ไปอยู่ก็ดันถูกทำลายอีก
สำหรับ “Rada” ผู้เป็นแม่ของ Bosko นี่คือสัญญาณว่าพวกเขาควรออกไปจากซาราเยโว โดยตั้งใจจะกลับไปเซอร์เบีย และพี่ชายของ Bosko ก็มีเพื่อนที่สามารถช่วยให้ทั้งครอบครัวกลับไปได้อีกด้วย
แต่ Bosko ตัดสินใจจะอยู่ที่ซาราเยโวต่อ ซึ่ง Rada ก็พยายามทุกทางที่จะให้ลูกชายยอมไปด้วย แต่ Bosko ทำไม่ได้ เขาจะทิ้ง Admira ไปได้ยังไง?
Bosko และ Admira ต่างหวังว่าสงครามจะจบลงโดยเร็ว และชีวิตจะกลับมาเป็นปกติสุขเหมือนเดิม
แต่ในไม่ช้า เมืองซาราเยโวกลับถูกปิด ไม่มีใครสามารถออกจากเมืองได้ ผู้คนนับหมื่นนับแสนที่มีความเชื่อทางศาสนาต่างกัน ต่างติดอยู่ในความขัดแย้งที่พวกตนไม่ได้ต้องการเลย
1
นี่นับเป็นการปิดล้อมเมืองครั้งที่ยาวนานที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สงคราม ครอบครัวนับพันต้องติดอยู่ในเมืองเป็นเวลาเกือบสี่ปี และประชาชนในเมืองก็ต้องพบเจอกับความเสี่ยงในทุกๆ วัน
1
ครอบครัวแต่ละครอบครัวต้องอาศัยอยู่ในห้องใต้ดินโดยปราศจากอาหาร น้ำ และไฟฟ้า โดยเมื่อความขัดแย้งนี้จบลง ก็มีคนต้องสังเวยชีวิตไปกว่า 10,000 คน
1
ที่เซอร์เบีย ครอบครัว Bosko ก็ติดตามข่าวสงครามอยู่เรื่อยๆ โดยหวังว่า Bosko จะออกมาจากเมืองได้ และมาอยู่กับพวกตน
หากแต่ความหวังนั้นก็ไม่เคยเป็นจริง
ในปีค.ศ.1993 (พ.ศ.2536) Bosko เริ่มจะหมดความอดทน เขาไม่อยากจะเข้าร่วมกับฝ่ายไหนทั้งนั้น เขาไม่ได้อยากจะทำลายเมืองของตน ยิ่งให้ไปเข่นฆ่าประชาชน เขายิ่งทำไม่ได้
Bosko และ Admira ตัดสินใจจะออกไปจากซาราเยโว หากว่าบอสเนียคือสถานที่ซึ่งไม่มีอนาคตสำหรับทั้งคู่ บางที ประเทศอื่นอาจจะดูเหมาะกับการตั้งรกรากมากกว่า
พฤษภาคม ค.ศ.1993 (พ.ศ.2536) หนุ่มสาวทั้งคู่ได้วางแผนออกจากบอสเนียและเข้าไปในเซอร์เบีย
พ่อแม่ของ Admira นั้นไม่เห็นด้วยอย่างเด็ดขาด และพยายามทำทุกทางไม่ให้ลูกสาวทำตามแผนที่คิดไว้ ยังไงซะ การอยู่ในเมืองที่ถูกปิด ก็ยังดีกว่าเสี่ยงตายหนีออกไปแล้วโดนยิง
หากแต่ Admira ก็แน่วแน่ และกล่าวกับผู้เป็นแม่ว่า
1
“แม่คิดว่ามันยุติธรรมหรือคะที่เขา (Bosko) ไป แล้วหนูอยู่ที่นี่?”
1
ที่ผ่านมา Bosko ก็ยังไม่ทิ้งเธอไปถึงแม้ว่าครอบครัวของเขาจะไปอยู่ที่อื่น ดังนั้น เธอจะปล่อยเขาไปเพียงลำพังได้ยังไง?
1
Admira ได้เขียนจดหมายถึงแม่ ความว่า
“คุณแม่ที่รัก
เราสองคนจะไปกันในคืนนี้ และทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือพระประสงค์ของพระเจ้า หนูจะรีบโทรหาแม่ให้เร็วที่สุด เมื่อสงครามจบลง เราสองคนจะกลับมาและทุกอย่างจะกลับเป็นเหมือนเดิม“
สำหรับ Admira อนาคตดูสดใส
ก่อนที่ Admira จะออกไป พ่อของ Admira นั้นนิ่งขรึม ไม่ได้พูดอะไรกับเธอเลย หากแต่เขาไม่รู้เลยว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้เห็นลูกสาว
18 พฤษภาคม ค.ศ.1993 (พ.ศ.2536) หลังจากผ่านสงครามมา 13 เดือน Bosko และ Admira ก็ได้ออกไปจากซาราเยโว
เวลา 16:00 น. หนุ่มสาวทั้งคู่มุ่งตรงไปยังสะพาน Vrbanja
อิสรภาพอยู่ใกล้แค่เอื้อม ทางการก็อนุญาตให้ทั้งคู่ข้ามเขตแดนไปได้ ให้ออกไปจากเมืองที่ถูกปิดตาย
สะพาน Vrbanja
ทุกๆ อย่างดูเป็นไปได้ด้วยดี และเมื่อ Bosko และ Admira มาถึงสะพาน ก็ดูเหมือนสงครามจะหยุดให้หนุ่มสาวทั้งคู่
แต่แล้วเสียงปืนก็ดังขึ้น หนุ่มสาวทั้งคู่ล้มลงกับพื้น อยู่ห่างจากเขตแดนเซอร์เบียเพียงแค่ 10 ก้าวเท่านั้น
ทั้งคู่เสียชีวิต
ในเวลาต่อมา มีพยานผู้เห็นเหตุการณ์ได้ให้สัมภาษณ์ กล่าวว่า
“หนุ่มสาวทั้งคู่กำลังมุ่งตรงไปยังสะพาน Vrbanja มือทั้งคู่ต่างกุมกัน คนที่เป็นผู้หญิงกำลังโบกมือและกระโดดโลดเต้น แล้วทันใด กระสุนก็พุ่งใส่ร่างคนทั้งคู่ ผู้ชายถูกยิงก่อน ตามมาด้วยผู้หญิง เธอค่อยๆ คลานไปหาเขา กอดเขา และทั้งคู่ก็ตายในอ้อมกอดของกันและกัน“
1
สะพาน Vrbanja ก็เคยมีเรื่องน่าเศร้าเกิดขึ้นมาก่อน โดยหนึ่งปีก่อนนั้น “Suada Dilberović“ และ ”Olga Sučić“ ได้ออกมาประท้วงสงครามที่สะพานนี้ ก่อนจะถูกยิง
ก่อนจะเสียชีวิต Suada ได้กล่าวว่า
“นี่คือซาราเยโวของเราหรือ?”
ดูเหมือนจะไม่มีใครหยุดความบ้าคลั่งนี่ได้แล้ว
ในไม่ช้า เรื่องราวของ Bosko และ Admira ก็ได้ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก
นักข่าวชาวอเมริกันจากสำนักข่าว Reuters ที่ชื่อ “Kurt Schork” ได้ตีพิมพ์เรื่องของคู่รักทั้งสอง เผยแพร่ในวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ.1993 (พ.ศ.2536) ความว่า
Kurt Schork
“Bosko และ Admira เดินไปอย่างน้อย 500 เมตรตามแนวชายฝั่งเหนือของแม่น้ำ Miljacka ก่อนจะถูกบางคนยิง”
Bosko นั้นเสียชีวิตทันที Admira ล้มลงกับพื้นแต่ก็ยังรวบรวมกำลังคลานเข้าไปหาแฟนหนุ่ม โดยในช่วง 10-15 นาทีหลังจากนั้น เธอยังมีลมหายใจอยู่ในขณะที่กางเกงยีนส์เปียกโชกไปด้วยเลือด ก่อนจะเสียชีวิต
ทั้งคู่เสียชีวิตเป็นเวลากว่าสองวันก่อนที่พ่อแม่ของ Admira จะทราบข่าว โดยมีผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า Admira นั้นครางและคลานเข้าไปหา Bosko ก่อนจะกอดเขา และจากนั้น ความเงียบก็เข้ามาปกคลุม
ศพของทั้งคู่ถูกทิ้งไว้อย่างนั้นเป็นเวลากว่าเจ็ดวัน ไม่มีใครกล้าเข้าไปแตะต้อง
พ่อของ Admira ได้กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า
“ความรักของพวกเขานำพวกเขาไปสู่ความตาย นี่คือหลักฐานที่บ่งบอกว่านี่ไม่ใช่สงครามระหว่างเซอร์เบียกับมุสลิม แต่คือสงครามระหว่างพวกจิตวิปลาสกับปีศาจ นั่นคือเหตุผลที่ร่างของคนทั้งคู่ยังถูกทิ้งอยู่ตรงนั้น“
พ่อของ Admira ยังกล่าวในภายหลังว่า
“ผมยังคงไม่เชื่อว่าพวกเขาตายแล้ว เหตุใดคนหนุ่มสาวจึงต้องตายจากไปด้วยความรุนแรงเช่นนี้? เพราะพฤติกรรมผิดมนุษย์ของคนๆ เดียว พฤติกรรมราวกับสัตว์ประหลาด ความรักเอาชนะไม่ได้ทุกอย่าง ความรักไม่สามารถชนะพวกที่ไม่เชื่อในความรักได้ และพวกที่กำลังกราดยิงใส่เรา ก็ไม่เชื่อในความรัก“
หลังจากสงครามจบลง พ่อแม่ของ Admira ได้ขอให้นำร่างของทั้งคู่ไปฝังอย่างถูกต้อง และหลังจากผ่านไปเกือบ 30 ปี ก็ยังคงไม่มีอนุสรณ์เชิดชูความรักของคนทั้งคู่
หากแต่ผู้คนยังจำได้ไม่ลืม
และสำหรับคนยิง ก็ยังคงเป็นปริศนาและไม่มีใครจับตัวมาได้
สำหรับนักข่าวอย่าง Schork ที่เผยแพร่เรื่องราวของทั้งคู่ ทำให้หนุ่มสาวทั้งคู่โด่งดังไปทั่วโลก ก็ได้เสียชีวิตในปีค.ศ.2000 (พ.ศ.2543) ขณะทำข่าวสงคราม
ก่อนเสียชีวิต Schork ได้ขอให้นำเถ้ากระดูกส่วนหนึ่งของตนไปเก็บไว้ที่สหรัฐอเมริกา อีกส่วนให้นำไปฝังไว้ข้างๆ หลุมศพของ Bosko และ Admira
ทุกวันนี้เวลามีคนมาเยี่ยมหลุมศพของ Bosko และ Admira ก็จะวางดอกไม้เคารพ Schork ด้วย
เรียกได้ว่า Bosko และ Admira คือรักแท้ที่ไม่ยอมแพ้ต่อสงคราม และยังคงยืนหยัดที่จะรักษาคุณค่าของชาวเมืองซาราเยโว
ถึงจะพบจุดจบ แต่ Bosko กับ Admira ก็ไม่ยอมแพ้ต่อพวกชาตินิยมที่บ้าคลั่งและไร้เหตุผล หากแต่ความกล้าหาญและความรักของทั้งคู่ยังคงเป็นที่พูดถึงและจดจำมาจนถึงทุกวันนี้
เชื่อว่าดวงวิญญาณที่บริสุทธิ์ของทั้งคู่คงได้ครองรักกันในดินแดนที่สงบสุข ปราศจากสิ่งใดมาแยกทั้งคู่จากกันได้แล้ว
References:
https://medium.com/fragments-of-history/these-lovers-died-because-they-wanted-freedom-not-hate-fc6ae5e23167
https://balkaninsight.com/2021/05/19/sarajevos-romeo-and-juliet-enduring-symbols-of-wartime-tragedy/
https://www.nbcnews.com/news/world/bosnian-war-anniversary-sarajevo-s-romeo-juliet-still-resonate-n723681
https://balkandiskurs.com/en/2018/01/25/thus-with-a-kiss-i-die-sarajevos-romeo-and-juliet/
1
ประวัติศาสตร์
15 บันทึก
26
12
15
26
12
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย