22 เม.ย. เวลา 06:00 • ข่าวรอบโลก

หมดยุคอเมริกันนิยม

นักวิเคราะห์หลายคนจึงมองว่า ฤาในครั้งนี้ จะเปิดโอกาสให้จีน ก้าวเข้ามามีบทบาทในประชาคมโลกมากขึ้น และการค้าโลกก็จะเปลี่ยนไป ประเทศอื่นในโลกจะค้าขายกันเอง และโดดเดี่ยวสหรัฐอเมริกาก็เป็นได้
[เรื่องโดย: วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ ]
ดิฉันเติบโตมาในยุคโลกกำลังก่อร่างสร้างสรรค์สิ่งดีๆ หลังจากที่สงครามโลกทั้งสองครั้งได้ทำลายทั้งทรัพย์สินและจิตใจของผู้คน และเป็นยุคที่มหาอำนาจสองฝ่าย คือฝ่ายที่เรียกตัวเองว่า “ประชาธิปไตย” กับฝ่าย “สังคมนิยม” ซึ่งต่างฝ่ายต่างพยายามพิสูจน์ให้โลกเห็นว่า แนวคิดและหลักการของตนถูกต้อง จึงทุ่มทุนและกำลังพิสูจน์เต็มที่
ในบรรดากลุ่มประชาธิปไตยนั้น ประเทศสหรัฐอเมริกาถือว่าเป็นประเทศที่โดดเด่นที่สุด เพราะไม่ได้รับความบอบช้ำจากสงครามเท่าใดนัก และเป็นกลุ่มผู้ชนะ อยู่ในช่วงต้องการสร้างความเชื่อถือและการยอมรับจากประชาคมโลกให้เป็นจ่าฝูง จึงกระโดดเข้ามาในเวทีโลก ในฐานะ “นางฟ้า” ผู้ใจดี มีความเอื้อเฟื้อและอยากช่วยเหลือมวลมนุษยชาติ
1
สหรัฐอเมริกา เป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ที่สุดขององค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ที่ผุดขึ้นมาอย่างมากมายในช่วงปี ค.ศ. 1945-1963 เช่น สหประชาชาติ (United Nations)และหน่วยงานที่ขึ้นกับสหประชาชาติอีกมากมาย คือ องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และเครือธนาคารโลก (World Bank Group) ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1945 องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) และ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ก่อตั้งในปี 1946
กลุ่มโทรคมนาคมและขนส่ง คือ องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) และสหภาพไปรษณีย์สากล (UPU) ก่อตั้งในปี 1947 องค์การอนามัยโลก (WHO) องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) ก่อตั้งในปี 1948 องค์กรอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ก่อตั้งในปี 1950
ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ก่อตั้งในปี 1957 โครงการอาหารโลก (WFP) ก่อตั้งในปี 1963 องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) ก่อตั้งในปี 1967 องค์การการท่องเที่ยวโลก (UNWTO) และองค์การทรัพย์สินทางปัญญาแห่งโลก (WIPO) ก่อตั้งในปี 1974 และ กองทุนระหว่างประเทศเพื่อพัฒนาเกษตรกรรม (IFAD) ก่อตั้งในปี 1977
หน่วยงานเหล่านี้ ไม่ว่าจะริเริ่มโดยอเมริกา หรือยุโรป ก็จะมี สหรัฐอเมริกา เป็นเจ้าภาพและผู้สนับสนุนรายใหญ่เสมอ
บทบาทของสหรัฐอเมริกาในช่วงต่อมา จึงขยายเป็น“ผู้พิทักษ์โลก”กลายๆ มีสะดุดอยู่ช่วงหนึ่งหลังจากถอนกำลังออกจากสงครามเวียดนาม โดยกองทัพประชาชนเวียดนามบุกยึดกรุงไซ่ง่อนได้เมื่อวันที่ 30 เมษายน 1975 และในภายหลังก็ไปมีบทบาทมากในตะวันออกกลาง
สหรัฐอเมริกาเป็นสวรรค์ของผู้อพยพ มาแต่ไหนแต่ไร เพราะจุดเริ่มต้นของประเทศ คือจุดที่ผู้คนจากยุโรปไปแสวงหาเสรีภาพ และโอกาสในการทำมาหากิน หลังจากนั้นก็รับผู้อพยพที่หนีภัยคอมมิวนิสต์ และที่หนีภัยเผด็จการ และการรับผู้อพยพผนวกกับการเปิดโอกาสให้ผู้อพยพแสดงศักยภาพนี่เอง ที่ทำให้สหรัฐอเมริกา เติบใหญ่ และยิ่งใหญ่ในเกือบหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา
เมื่อประชากรมีรายได้ดี อยู่ดีกินดี สวัสดิการดี การบริโภคใช้จ่ายของประชากรจึงพุ่งขึ้น จนประชากรของสหรัฐหนึ่งคน บริโภคเท่ากับประชากร 9.1 คนของโลกโดยเฉลี่ยเลยทีเดียว (คาดการณ์การบริโภคเฉลี่ยของประชากรโลกหนึ่งคนในปี 2025 เท่ากับ 7,454 เหรียญสหรัฐ ต่อปี
ในขณะที่ประมาณการการบริโภคเฉลี่ยของผู้บริโภคชาวอเมริกันหนึ่งคน เท่ากับ 68,266 เหรียญสหรัฐต่อปี - สืบค้นจาก Statista) และผู้บริโภค 300 ล้านคนของสหรัฐนี่แหละ ที่ดึงดูดให้ใครๆก็ต้องส่งสินค้าไปขายยังสหรัฐอเมริกา และทำให้รัฐบาลอเมริกันมองว่าการขึ้นภาษีนำเข้าจะเป็นปราการสำคัญในการปกป้องผู้ผลิตในประเทศ
แฟชั่นแบบอเมริกัน การศึกษาแบบอเมริกัน อาหารการกินแบบด่วน (Fast Food) การเรียนและหลักสูตรการเรียน ค่านิยมต่างๆทั้งทางด้านเสรีภาพ อิสรภาพ และการเปิดกว้างของโอกาส ที่สหรัฐอเมริกา เผยแพร่ไปทั่วโลก ผ่านการให้ทุนการศึกษา ดูงาน ฝึกงาน ร่วมซ้อมรบ แสดงดนตรี กีฬา ศิลปะ ฯลฯ และการแลกเปลี่ยน
ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน ครู พนักงาน ที่ปรึกษาต่างๆ ที่ไปช่วยวางระบบ วางรากฐาน วางมาตรฐานต่างๆ ทำให้คนทั่วโลกนิยม ชื่นชอบ และบางยุคถึงกับคลั่งไคล้ สิ่งที่เป็นวัฒนธรรมอเมริกันว่า เท่ ดี และเป็นเหมือนมาตรฐานที่คนทั่วโลกอยากไปให้ถึง
แต่งานเลี้ยงย่อมมีเลิกรา ในวันนี้ 80 ปีหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง และ 50 ปีหลังจากสหรัฐถอนตัวจากเวียดนาม สหรัฐอเมริกากำลังถอนตัวออกจากการเป็นพี่ใหญ่ของโลก ในสมัยที่สองของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งเป็นการถอนตัวจากภารกิจแบบที่โลกตั้งตัวไม่ติด
หากท่านจำได้ ดิฉันเคยเขียนไปหลังวิกฤติโควิดว่า โลกเปลี่ยนไป แต่ละประเทศจะมองตัวเองมากขึ้น ชาตินิยมเพิ่มขึ้น และเราต้องพึ่งตัวเองมากขึ้น
เพื่อรักษาตัวให้รอด สหรัฐจำต้องลดการช่วยเหลือผู้อื่น และมาดูแลตัวเอง ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนเพิ่มขึ้นมามาก จากการพัฒนาเน้นทุนนิยม ทำให้ผู้มีโอกาสสามารถคว้าโอกาสได้อย่างเต็มที่ อภิมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุด จึงอยู่ในสหรัฐอเมริกามากที่สุด
และจากข้อมูลสำมโนประชากรสหรัฐ พบว่ามัธยฐานรายได้หลังหักเงินเฟ้อของชนชั้นกลางของสหรัฐ ในช่วงปี 1984-2013 เพิ่มขึ้นเพียง 10% หรือเพียงปีละ 0.3% ในขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรเพิ่มขึ้นมากมาย แสดงว่ากลุ่มคนเหล่านี้แทบไม่ได้รับส่วนแบ่งความมั่งคั่งจากการพัฒนาทางเทคโนโลยีใน 30 ปีที่ผ่านมา
ได้ไปฟังผู้บริหารของสถาบันการเงินต่างชาติเล่าเมื่อปลายเดือนที่แล้ว ว่าบุตรชายที่ศึกษาอยู่สหรัฐอเมริกาได้ไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนในยุโรป พอไปถึง เพื่อนๆทราบว่ามาจากสหรัฐ เพื่อนแทบจะไม่อยากคุยหรือคบค้าด้วยเลย นี่เป็นสัญญาณหนึ่งที่แสดงว่ายุคอเมริกันนิยมกำลังจะหมดไป
ต้องยอมรับว่า ระเบียบของโลกในช่วง 80 ปีที่ผ่านมา ทำให้โลกสงบสุข ทำให้เกิดความร่วมมือ และการแก้ปัญหาในด้านต่างๆร่วมกันมากมาย ประเทศอื่นๆในโลกที่เห็นประโยชน์ คงต้องเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการดำเนินการ โดยเฉพาะในการให้ทุนสนับสนุน เมื่อสหรัฐอเมริกาถอย คาดว่าองค์กรเหล่านี้ในอนาคตน่าจะมีขนาดเล็กลงและเน้นเรื่องการนำเสนอนโยบายและแนวทางปฏิบัติ เพื่อเสนอให้กับประเทศสมาชิก มากกว่าที่จะเข้าไปมีบทบาทในผลักดัน ให้ทุนสนับสนุน และการดำเนินการเองบางส่วนเหมือนที่ผ่านมา
สำหรับเรื่องการค้า ปธน.ทรัมป์อาจจะลืมไปว่า สหรัฐต้องมีฐานการผลิตที่แข็งแกร่งก่อน จึงจะสามารถตั้งกำแพงภาษี กีดกันสินค้านำเข้าจากประเทศอื่นได้ มิฉะนั้นคนที่จะลำบากก็คือผู้บริโภคในประเทศนั่นเอง เพราะฐานการผลิตสินค้าของสหรัฐย้ายไปอยู่ที่อื่นเป็นส่วนใหญ่ อันเนื่องมาจากผลิตด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่ามากๆ และมาวันนี้ ผู้อพยพไม่ได้รับการต้อนรับ ชวนให้สงสัยว่าในอนาคตจะเอาแรงงานที่ไหนมาทำงาน
นักวิเคราะห์หลายคนจึงมองว่า ฤาในครั้งนี้ จะเปิดโอกาสให้จีน ก้าวเข้ามามีบทบาทในประชาคมโลกมากขึ้น และการค้าโลกก็จะเปลี่ยนไป ประเทศอื่นในโลกจะค้าขายกันเอง และโดดเดี่ยวสหรัฐอเมริกาก็เป็นได้
ไม่ว่าฉากต่อไปจะเป็นอย่างไร โลกได้เปลี่ยนไปแล้ว และจะไม่กลับมาเหมือนเดิม ที่ดิฉันเคยมองว่าให้เวลา 6 เดือนหลังทราบผลการเลือกตั้ง สำหรับการตื่นเต้นกับทรัมป์ ถึงตอนนี้ 100 วันก็มากเกินไปแล้ว เศรษฐกิจของโลกในปีนี้อาจถดถอย ขอแนะนำให้จัดพอร์ตการลงทุนแบบระมัดระวังในปีนี้ โดยขอยุบรวมเหลือเพียงสามกลุ่มตามตารางด้านล่างค่ะ
โฆษณา