Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Main Stand
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
22 เม.ย. เวลา 02:55 • กีฬา
ไดโนเสาร์ ผู้ชนะ ลูกผู้ชาย : ฤดูกาลสุดท้ายในอาชีพโค้ชของ "เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน" | Main Stand
ฤดูกาลสุดท้ายที่ แมนฯ ยูไนเต็ด สามารถคว้าแชมป์ลีกได้คือฤดูกาล 2012-13 สมัยที่มี เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คุมทีมอยู่ จนถึงตอนนี้มันผ่านมาแล้วกว่า 10 ปี
ย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น เฟอร์กี้ ได้วาดลีลา "Last Dance" เอาไว้ในฤดูกาลที่สุดพลิกผันและเร้าใจ ภายใต้การระดมสรรพกำลังทั้งร่างกาย สมอง และจิตใจ
Main Stand พาคุณไปรู้จักขุมพลังเบื้องลึกที่ทำให้ เฟอร์กี้ ได้บอกลาอาชีพกุนซือได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ติดตามที่นี่
ไดโนเสาร์
"อเกวโร่ววววววววววววววววววววววว !"
เสียง มาร์ติน ไทเลอร์ นักพากย์ชื่อดัง ลากชื่อของ เซร์คิโอ กุน อเกวโร่ ยาวไปหลายวินาที คือช่วงเวลาที่ท้ายที่สุด แมนฯ ยูไนเต็ด เสียท่าให้ แมนฯ ซิตี้ เพื่อนบ้านผู้น่ารำคาญของพวกเขา แซงหน้าไปเป็นแชมป์ลีกในวินาทีสุดท้ายของฤดูกาล 2011-12
ในขณะที่ ซิตี้ ชูถ้วยแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 44 ปี ยูไนเต็ด ก็เพิ่งแข่งกับ ซันเดอร์แลนด์ ที่ สเตเดี้ยม ออฟ ไลท์ จบลงไปก่อนหน้านั้น และมันเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีใครเดาใจ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ริโอ เฟอร์ดินานด์ เขียนลงในชีวประวัติของตัวเองว่า "หากวันนั้นเราเป็นแชมป์ ไม่แน่บอสอาจจะประกาศลาออกจากตำแหน่งหลังจากนั้นไม่กี่วัน" เพราะนักเตะในทีมหลายคนก็เริ่มมองว่า "ป๋า" กำลังมองหาทางลงที่เหมาะสมสำหรับอาชีพอันยาวนาน
แต่ประตูของ อเกวโร่ ลูกนั้นได้ปลุกพลังความฮึดของ เฟอร์กี้ ขึ้นมา เพราะหลังจากที่แฟนบอลในสนามเหย้าของ ซันเดอร์แลนด์ รู้ข่าว แน่นอนว่าพวกเขาสะใจ และล้อเลียน เฟอร์กี้ กับลูกทีมทันที แม้ว่าทีมของพวกเขาจะเพิ่งเสียท่าให้ ยูไนเต็ด คาบ้านก็ตาม
มันเป็นธรรมดา เมื่อคุณเก่งที่สุด และเอาชนะทุกคนมานานปีแล้วปีเล่า ศัตรูของคุณก็จะเก็บความแค้นและรอวันคุณพลาด พวกเขาจะเอาทุกสิ่งที่เก็บในใจหลายปีระบายออกมาใส่คุณ เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าจะได้โอกาสซ้ำคุณตอนล้มแบบเสียท่าเช่นนี้อีกเมื่อไหร่ และแฟนบอล ซันเดอร์แลนด์ ก็ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของทีมอื่น ๆ ในพรีเมียร์ลีกได้เป็นอย่างดี
แฟนบอลของซันเดอร์แลนด์ เอาท่า Poznan Wall ที่แฟนบอล แมนฯ ซิตี้ ชอบทำมาใช้ หลังทราบข่าวว่า อเกวโร่ ยิงประตูในนาทีบาป และพวกเขาได้หลุดปากร้องเพลงล้อเลียน เฟอร์กี้ ในเนื้อเพลงประมาณว่า "ไดโนเสาร์เฒ่าล้มลงแล้ว ได้เวลาที่พวกมันจะสูญพันธุ์" เพื่อเปรียบเทียบกับยอดโค้ชอย่าง เฟอร์กี้ ที่ครองความยิ่งใหญ่มายาวนาน และการล้มลงตอนแก่ จะทำให้สิ้นยุคสมัยไดโนเสาร์เจ้าแห่งป่าใหญ่
เฟอร์กี้ ได้ยินประโยคดังกล่าวด้วยสองหูของตัวเอง และนั่นอาจเป็นสาเหตุที่เขาเลือกที่จะไปต่ออีกปี และสร้างทีมชุดแชมเปี้ยนชุดสุดท้ายด้วยสรรพกำลังทุกอย่างที่เขามี และเขาเริ่มตอบสนองหลังจากนั้นด้วยเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง
เพราะเพียงวันเดียวหลังจากเสียแชมป์ให้ ซิตี้ เพราะผลต่างประตู นักเตะของ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็มาร่วมรับรางวัลของสโมสรในช่วงปลายฤดูกาล และอย่างที่คงนึกภาพออก บรรยากาศเงียบสงบจนสงัด ทุกคนไม่มีอารมณ์ที่จะสนุกสนาน เพราะเพิ่งเจอเรื่องช็อกกันมาหมาด ๆ เหมือนงานนี้ทุกคนมาเพื่อรวมตัวกันเพื่อหน้าที่ มาในนามของ "คนทำงาน" เท่านั้น ... ซึ่ง เฟอร์กี้ ที่ได้เริ่มจับไมโครโฟน ก็รู้ดีว่าลูกทีมของเขารู้สึกอย่างไร และจากประสบการณ์มากมายหลายปี เขารู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรออกไปในสถานการณ์แบบนี้ด้วย
"ผมเป็นไดโนเสาร์ตัวจริง ๆ แต่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้พูดก็คือ ผมเป็นผู้ชนะอยู่ในสายเลือด" เฟอร์กี้ เปิดหัวในงานกาล่าดินเนอร์ด้วยประโยคนี้ และมันทำให้หลายคนเงียบและหยุดฟัง เพราะไม่มีใครคิดว่า เฟอร์กี้ จะเอาเรื่องที่เกิดขึ้นสด ๆ มาพูดในวันนี้ เพราะแผลในใจของนักเตะยังสดใหม่เหลือเกิน
"นี่คือประโยคที่ผมพูดกับลูกทีมในอดีตเมื่อตอนที่เราเสียแชมป์ดิวิชั่น 1 ให้กับ ลีดส์ ในปี 1992 นักเตะดาวรุ่งหลายคนผิดหวังและออกอาการเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้ แต่ไม่นานนัก ดาวรุ่งเหล่านั้น กลายเป็นนักเตะที่แม้แต่แฟนบอล ลิเวอร์พูล ก็ยังต้องขอลายเซ็นพวกเขา กิ๊กส์, สโคลส์, เนวิลล์, เบ็คแฮม ไอ้พวกนี้ต้องแจกลายเซ็นกันจนเหนื่อยเลยล่ะ"
"สิ่งที่ผมบอกเด็ก ๆ พวกนั้นก็คือ จำวันนี้ (วันที่พวกเราแพ้) เอาไว้ให้ดี ๆ และนั่นคือประโยคเดียวกันกับที่ผมบอกนักเตะในทีมเมื่อวานนี้ ... เช่นเดียวกันแฟนบอล ซันเดอร์แลนด์ และแฟนบอล แมนฯ ซิตี้ พวกคุณก็จำวันนี้ไว้ให้ดีแลัวกัน พวกเรามาเอาคืนแน่ ผมบอกเอาไว้เลย"
"ขอแสดงความยินดีกับนักเตะทุกคน พวกเขาเป็นกลุ่มที่ยอดเยี่ยมมาก พวกเขาจะต้องไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวลไป พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่ยอดเยี่ยมมาก ยอดเยี่ยมมาก ทำได้ดีมาก"
ในงานที่กำลังจะกร่อยอยู่แล้ว ประโยคจากปากผู้นำตัวจริงได้ลั่นออกมาเช่นนั้นเหมือนการจุดไฟขึ้นมาในที่มืด บรรยากาศในงานเปลี่ยนเป็นความคึกครื้นสุดเหวี่ยง นักเตะ ยูไนเต็ด นับวันรอเริ่มซีซั่นใหม่ตั้งแต่วันนั้น ... และในระหว่างทางก่อนซีซั่นใหม่จะเริ่ม เฟอร์กี้ ก็ทำงานแบบไม่มีวันหยุด เพื่อทำภารกิจทวงคืน และทำให้ทุกคนที่เคยหัวเราะเยาะพวกเขาต้องกลับมาสงบปากสงบคำอีกครั้ง
ผู้ชนะ
ไมเคิล คาร์ริค กล่าวว่าการสร้างทีมชุดแชมป์รุ่นสุดท้ายไม่ใช่แค่จุดไฟให้กับนักเตะเท่านั้น แม้แต่ตัว เฟอร์กี้ เองก็กลับมาตื่นตัวราวกลับเป็นคนหนุ่มอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว
นอกจากนี้ นักเตะในทีมหลายคนก็เดินทางมาถึงช่วงท้ายของอาชีพค้าแข้งด้วยไม่ว่าจะตัวของ คาร์ริค เอง, ปาทริซ เอฟร่า, เนมานย่า วิดิช, ริโอ เฟอร์ดินานด์, พอล สโคลส์ (ที่กลับมาเล่นอีกครั้งในปี 2012 หลังแขวนสตั๊ดเมื่อ 1 ปีก่อนหน้า) และ ไรอัน กิ๊กส์
มันจะไม่ง่ายแน่นอนเพราะฝั่ง ซิตี้ ก็กำลังยิ่งใหญ่ขึ้นมาด้วยขุมกำลังระดับไอคอนของทีมอย่าง แว็งซ็องต์ กองปานี, ยาย่า ตูเร่, ดาบิด ซิลบา และ เซร์คิโอ อเกวโร่ ที่กำลังพีก เส้นทางของ ยูไนเต็ด และ ซิตี้ เดินสวนทางกัน ซึ่ง เฟอร์กี้ ก็รู้ดี และเมื่อเขาลั่นวาจาไว้แล้วว่าจะ "เอาคืน" เขาจะหลุดโฟกัสกับงานในซีซั่นนี้ไม่ได้
"เขา (เฟอร์กี้) สวมวิญญาณและบทบาทความเป็นโค้ชแทบจะทุกวันและตลอดเวลา เขาแสดงความเป็นผู้นำออกมามากเป็นพิเศษ อาจจะมากกว่าเรื่องของการวางแท็คติกเสียด้วยซ้ำ เขากลับมามีสมาธิ สงบนิ่ง และปรับให้ทีมกลับมาสมดุลอีกครั้ง" คาร์ริค ที่อยู่กับทีมมาตั้งแต่ปี 2006 กล่าว
เฟอร์กี้ รู้ดีว่าทีมขาดอะไร เวย์น รูนี่ย์ ทำหน้าที่หนักมากเกินไปในปีที่แล้ว เพราะเป็นทั้งเบอร์ 9 เบอร์ 10 ในตัวคนเดียว หลายเกมยังต้องถอยมาเป็นมิดฟิลด์ตัวรุกในเวลาที่ทีมต้องการอีกต่างหาก นั่นเป็นเหตุผลที่ เฟอร์กี้ ไปเอา ชินจิ คางาวะ มาจาก ดอร์ทมุนด์ เพื่อมาช่วยในแง่ของการสร้างสรรค์เกม
และตำแหน่งสุดท้ายที่เป็นสูตรสำเร็จของเขาเสมอมานั่นคือ "ศูนย์หน้า" ในทุกยุคสมัยของ เฟอร์กี้ หากเขาจะทำให้ทีมกลายเป็นแชมป์ เขาต้องมียอดศูนย์หน้าเป็นตัวชูโรงเสมอไล่มาตั้งแต่ มาร์ค ฮิวจ์ส, เอริค คันโตน่า, ดไวท์ ยอร์ค, แอนดี้ โคล, รุด ฟาน นิสเตลรอย, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ... เขาต้องการผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องการส่งบอลเข้าประตู และหวยไปออกที่ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ กองหน้ากัปตันทีมของ อาร์เซน่อล เข้ามารับหน้าที่ผู้ผลิตสกอร์
2 คนนี้คือนักเตะที่ซื้อเข้ามาเพื่อเล่นเป็นตัวหลัก (อีก 2 คนคือ นิค พาวล์ และ อเล็กซานเดอร์ บุตเนอร์) มันน้อยเกินไปในมุมมองของนักวิจารณ์หลายคนที่มองว่ายุคสมัยของ ยูไนเต็ด ได้ผ่านไปแล้ว โดยเฉพาะเมื่อนัดแรกของซีซั่น พวกเขาออกสตาร์ทด้วยการแพ้ เอฟเวอร์ตัน ของ เดวิด มอยส์ ซึ่งในเกมนั้น ฟาน เพอร์ซี่ หรือ "RVP" ยังไม่จบดีลกับทาง ยูไนเต็ด เลย
แต่ในเกมต่อมา เฟอร์กี้ และลูกทีมตอบสนองด้วยเกมคัมแบ็กในแบบฉบับของ ยูไนเต็ด ยุคของเขา ด้วยการชนะ ฟูแล่ม 3-2 แบบที่ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ใช้เวลาเพียง 10 นาทีในการยิงประตูเปิดตัวต่อหน้าแหน ๆ ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด จากนั้นเป็นต้นมา ยูไนเต็ด ก็ติดเครื่อง เริ่มเก็บแต้ม พร้อมกำเนิดวิธีการทำงานคู่กันของ RVP และ รูนี่ย์ ที่จะสลับกันขึ้นลงเป็นกองหน้าตัวเป้า และกองหน้าตัวต่ำตลอดเวลา มันเป็นเคมีที่ลงตัวไม่แพ้ รูนี่ย์ - โรนัลโด้ หรือ รูนี่ย์ - คาร์ลอส เตเวซ เลย
ฟาน เพอร์ซี่ ผู้ถือกุญแจดอกสำคัญในแชมป์สุดท้ายก่อน เฟอร์กี้ วางมือ เล่าถึงช่วงเวลาในการทำงานซีซั่น 2012-13 ว่า "เป็นมืออาชีพแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน" เขาเล่าว่าการที่ เฟอร์กี้ จุดไฟให้ตัวเอง ก็เหมือนการจุดไฟใส่นักเตะคนอื่นให้สวมหัวใจนักสู้ ฮึดขึ้นมาเพื่อพิสูจน์ตัวเองกันอีกครั้ง แม้พวกเขา (กลุ่มนักเตะซีเนียร์ทั้งหลาย) จะเคยคว้าทุกแชมป์ที่ลงเล่นมาแล้ว
การฝึกซ้อมหนักมากเป็นพิเศษ และทุกคนก็ใส่กันสุดตัว หลังจากเซสซั่นการฝึกหลักที่ เฟอร์กี้ วางไว้จบลง นักเตะทุกคนก็จะมีโปรแกรมเข้ายิมต่อทันที เรียกได้ว่าทีมชุดนั้นแทบจะเข้ายิมเพื่อพัฒนาร่างกายตัวเองทั้งก่อนและหลังซ้อมเลยทีเดียว ซึ่งเป็นระดับที่แตกต่างจากที่เขาเล่นให้ อาร์เซน่อล ในช่วงเวลานั้นอย่างสิ้นเชิง
ไม่ใช่แค่การฝึกหนักเท่านั้น เฟอร์กี้ ใช้วิธีถนอมร่างกายของ ฟาน เพอร์ซี่ โดยเฉพาะ เพราะเขารู้ดีว่า RVP เป็นนักเตะที่มีประวัติบาดเจ็บบ่อย ไม่ค่อยเล่นได้เต็มซีซั่น นั่นทำให้เขาเลือกที่จะใช้วิธีการปกครองที่ยืดหยุ่น ให้ ฟาน เพอร์ซี่ ซ้อมเบาลงกว่าคนอื่น ๆ เพื่อยืดระยะเวลาการเล่นตลอดทั้งซีซั่นได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีการอธิบายให้นักเตะทุกคนฟังว่า ทำไม RVP ถึงได้รับสิทธิ์พิเศษบางอย่าง และไม่เจอความเข้มงวดมากเท่ากับคนอื่น
เรียกได้ว่านี่คือขั้นตอนการบริหารจัดการคนที่ตรงไปตรงมา ว่ากันด้วยเหตุด้วยผล และมันทำให้หลายคนพร้อมจะเข้าใจสิ่งที่ เฟอร์กี้ อธิบาย
"เฟอร์กี้ รู้ว่าพวกเรา (เอฟร่า คุยกับ ริโอ) มันเป็นพวกบ้าพลังเหมือนกับสัตว์ป่า เขาเลยปกครองเราแบบนั้น เขาบอกเราเสมอว่าถ้าใครเหลาะแหละไม่จริงจังในการซ้อม คนนั้นจะไม่มีทางได้ออกสตาร์ท หรือแม้แต่ลงเล่นในทีมชุดนี้" เอฟร่า เล่าในรายการของ talkSPORT
"แต่กับ RVP มันมีวิธีการปกครองที่แตกต่างออกไป บอสออกตัวให้เขาและอธิบายกับพวกเราว่า พวกแกต้องรู้เอาไว้ โรบิน จะไม่ได้ซ้อมกับพวกแกทุกวันหรอก เขามีโปรแกรมของตัวเอง บางครั้งเขาจะต้องเข้าซ้อมกับนักกายภาพบำบัดของตัวเอง และผมต้องจัดการกับอาการบาดเจ็บของเขาให้ได้ ... แต่พวกคุณไม่ต้องห่วง ผู้ชายคนนี้จะคว้าแชมป์ลีกให้กับเรา"
ทุกคนรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น เซอร์ อเล็กซ์ และลูกทีมที่ใครมองว่าเป็นขุมกำลังที่ต้องเหนื่อยจะลุ้นแชมป์ กลับกลายเป็นทีมที่ดีที่สุดในลีกซีซั่นนั้น พวกเขาชนะ ลิเวอร์พูล ถล่ม ซันเดอร์แลนด์ และบุกชนะ แมนฯ ซิตี้ จากฟรีคิกท้ายเกมของ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ และคว้าแชมป์ก่อนฤดูกาลจะจบถึง 4 เกม ... สิ่งที่ เฟอร์กี้ บอกให้คู่แข่งจดจำ ถูกชำระภายในเวลาอันรวดเร็ว "ผมเป็นไดโนเสาร์ และผมก็เป็นผู้ชนะ" คำนี้กลับมาย้ำเตือนทุกคนอีกครั้ง
เฟอร์กี้ ไม่ยอมทิ้งลาย หลังจากพาทีมคว้าแชมป์ด้วยการเอาชนะ แอสตัน วิลล่า 3-0 ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด แต่การฉลองแชมป์ยังไม่ทันได้เริ่ม เฟอร์กี้ ก็ช็อกแฟนบอลด้วยการประกาศว่า "เขาจะวางมือ" ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่หลายคนอาจไม่ได้เตรียมตัวสำหรับประโยคนี้ของเขา เขาไม่เคยบอกใครมาก่อน แต่หลายคนเชื่อว่าเขาคิดเรื่องนี้มาพักใหญ่แล้ว เหลือแค่เพียงการลงจากตำแหน่งอย่างเหมาะสมด้วยการเป็นแชมเปี้ยนเท่านั้น
เขารอวันที่ตัวเองจะได้เป็นผู้ชนะตามที่เคยได้ประกาศไว้ เพื่อที่เขาจะได้เริ่มบทบาทสำคัญที่เขาอาจหลงลืมไปในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ยอดกุนซือ กับวิถีของลูกผู้ชาย
อย่างที่หลายคนรู้กัน เฟอร์กี้ ทำงานหนักตลอดอาชีพของเขา เขาเป็นกุนซือตั้งแต่ยุค 1970s และลากยาวการทำงานกับ ยูไนเต็ด มานาน 26 ปี พาทีมคว้าแชมป์ทั้งหมด 35 โทรฟี่ เป็น หนึ่งใน "ผู้จัดการทีมที่ดี่สุดตลอดกาล" นั่นคือบทบาทที่โลกฟุตบอลจดจำเขา
อย่างไรก็ตาม เฟอร์กี้ รู้ดีว่าฟุตบอลไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต ในช่วงเวลาที่เขาไล่ล่าความสำเร็จในอาชีพ เขาก็ละเลยหญิงอันเป็นที่รักของเขาอย่าง เคธี่ ผู้ที่รับบทภรรยาผู้เสียสละมาโดยตลอด
ผู้ชายออกไปทำงาน - หาเงิน หาความมั่งคั่งและชื่อเสียง ขณะที่ผู้หญิงต้องเป็นลมใต้ปีก เป็นหลังบ้านและแรงส่งที่ดีให้สามี นี่คือแนวคิดโบราณที่อาจจะเพิ่งมาถูกเปลี่ยนในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งวิถีดังกล่าวอธิบายถึงช่วงเวลาการใช้ชีวิตคู่ของ เฟอร์กี้ และ เคธี่ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งเรื่องดังกล่าว เฟอร์กี้ เคยเขียนเอาไว้ในหนังสือของเขาที่ชื่อว่า Managing My Life
"เคธี่ คือผู้แบกภาระหนักอึ้งของครอบครัวเรามาตลอด สำหรับผม เธอต่างหากเป็นเสาหลัก เพราะเธอต้องเลี้ยงดูลูกชายทั้ง 3 คน มาร์ค เจสัน และ ดาร์เรน ... นี่คือภาระที่หนักเกินกว่าที่ผมจะขอร้องจากใครได้" เฟอร์กี้ ว่า
ในส่วนนี้ เจสัน ลูกชายคนเล็ก (เป็นแฝดกับ ดาร์เรน) ได้อธิบายเพิ่มว่า ตลอดเวลาที่เขาเติบโตมา เขานั้นพบว่าแม่ของเขานั้นเป็นเหมือน “ก้อนหิน” สำหรับพ่อ นั่นคือปล่อยให้พ่อได้ทำในสิ่งที่หลงใหลอย่างเต็มที่ ส่วนหน้าที่เลี้ยงดูลูกทั้ง 3 นั้น แม่จะเป็นคนรับผิดชอบเองทั้งหมด
"ถ้าไม่มีทัศนคติที่ติดดิน การใช้ชีวิตและการสนับสนุนที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของเธอ ทุกสิ่งที่ผมทำก็คงไม่อาจเกิดขึ้นได้" เฟอร์กี้ ว่าแบบนั้น ซึ่งหมายความว่านับตั้งแต่เขาทำงานเป็นกุนซือ มันเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะมีเวลาอยู่กับบ้านและภรรยาน้อยลง โฟกัสทั้งหมดอยู่กับงาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งงานใหญ่ระดับปรากฏการณ์แบบนี้ เขายิ่งทุ่มสุดกำลังและบางครั้งก็ทำให้เขาลืมคนหลังไปบ้าง
ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ตัว เพราะครั้งในช่วงปี 2002 เฟอร์กี้ เคยคิดจะเลิกรับงานผู้จัดการทีมมาแล้วครั้งหนึ่ง เพราะอยากจะใช้เวลากับครอบครัวให้มากกว่าเป็นอยู่
แต่ด้วยความเสียสละ เคธี่ นี่แหละที่เป็นคนเกลี้ยกล่อมให้เขายอมคุมทีมปีศาจแดงต่อไป ป๋าเฟอร์กี้เล่าถึงคำพูดที่ภรรยาบอกกับตนในเวลานั้นว่า เคธี่ ยกเหตุผล 3 ข้อที่ตนควรกลับไปคุมทีม คือ 1. สุขภาพของ เซอร์ อเล็กซ์ ยังแข็งแรง 2. เซอร์ อเล็กซ์ จะได้ไม่ต้องอยู่บ้าน และ 3. เซอร์ อเล็กซ์ ยังหนุ่มเกินไปที่จะเลิก นั่นทำให้ตนอยู่คุมทีมต่อไปอีก 11 ปีก่อนตัดสินใจวางมือหลังจบฤดูกาล 2012-13
เฟอร์กี้ เปิดเผยแบบตรงไปตรงมาว่า มันถึงเวลาแล้วที่เขาจะออกจากภาระหน้าที่ที่วุ่นวายและกินเวลาชีวิตเป็นอย่างมาก เพื่อกลับมาดูแลภรรยาที่เสียสละเพื่อเขามาโดยตลอด นี่จะเป็นช่วงเวลาที่เขาจะเปลี่ยนจากยอดโค้ช เพื่อทำหน้าที่ยอดสามี เป็นลูกผู้ชายแบบสมบูรณ์แบบ เพราะเป็นคนที่ไม่เคยทิ้งอะไรไว้ข้างหลัง ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้การจัดการที่วางแผนมาอย่างดี และให้ความสำคัญกับคนรอบข้างเสมอ
หลังจากวางมือในปี 2013 เฟอร์กี้ มักจะปรากฏตัวพร้อมกับภรรยาของเขาเสมอไม่ว่าจะไปออกงานสังคม ไปตามที่ต่าง ๆ ในอิริยาบถส่วนตัว ทุกช่วงเวลาที่ไม่มีฟุตบอล เขามอบมันคืนให้ภรรยาอย่างเต็มที่ ตอบแทนทุกช่วงเวลาที่เขาอาจจะละเลยและแข็งกร้าวไปบ้างในอดีต แต่ที่สุดแล้วเขาก็ไม่ลืมหน้าที่ของลูกผู้ชายที่สำคัญที่สุด นั่นคือการดูแลใส่ใจและทำให้ผู้หญิงที่อันเป็นที่รักได้ช่วงเวลาที่มีความสุขเสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม
ปี 2013 เป็นปีที่ เฟอร์กี้ ทิ้งทุกอย่างเกี่ยวกับหน้าที่โค้ช เพื่อกลับมาเป็นคนที่ภรรยาของเขาต้องการแม้ว่าเธออาจจะไม่เคยเอ่ยปากเรียกร้องก็ตาม
ปี 2023 เคธี่ ได้จากไปอย่างสงบ และไม่มีคำกล่าวไหนที่ เฟอร์กี้ จะอธิบายระหว่างเรื่องของเขาและเธอได้ดีมากไปกว่าสิ่งที่เขาแสดงออก เพราะสำหรับ เฟอร์กี้ นั้นการกระทำเสียงดังกว่าคำพูดเสมอ นั่นเป็นวิถีประจำตัวที่ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทไหน เฟอร์กี้ ก็ยิ่งใหญ่สมคำว่า "ตำนาน" อย่างแท้จริง
แหล่งอ้างอิง
https://onefootball.com/en/news/sir-alex-ferguson-wasnt-happy-with-sunderland-fans-antics-when-man-city-won-title-in-2012-35087105
https://www.givemesport.com/1691175-man-united-news-sir-alex-fergusons-iconic-speech-after-losing-title-to-man-city/
https://www.manutd.com/en/news/detail/the-story-of-the-2012-13-premier-league-title
https://talksport.com/football/1369418/robin-van-persie-man-utd-arsenal-patrice-evra/
https://www.manutd.com/en/news/detail/a-decade-on-since-sir-alex-ferguson-signed-robin-van-persie
https://genius.com/Sir-alex-ferguson-farewell-speech-annotated
https://www.thesun.co.uk/sport/28433042/sir-alex-ferguson-wife-cathy/
บทความโดย : ชยันธร ใจมูล
บันทึก
2
1
2
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย