8 ชั่วโมงที่แล้ว • ความคิดเห็น

คนไทยเชื่ออะไรง่าย...แล้วใครได้ประโยชน์?

"ชมสุดคุ้ม รวยสุดสบาย ผลตอบแทน 20% ทุกเดือน ไม่มีอาจจะไม่มี"
เสียงแหบแห้งของผู้หญิงวัย 60 ปี ดังขึ้นระหว่างการแถลงข่าวกรณี "แชร์ชมรมเพื่อนมิตรภาพ" หรือที่รู้จักกันในนาม "แชร์แม่ชม้อย" เมื่อปี 2527
นี่คือหนึ่งในคดีแชร์ลูกโซ่ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย มูลค่าความเสียหายกว่า 4,000 ล้านบาท มีผู้เสียหายมากกว่า 16,000 คน
และเหมือนสังคมไทยไม่เคยเรียนรู้ 30 ปีต่อมา เรายังได้เห็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอย...
การหลอกลวงไม่เคยเปลี่ยน แค่เปลี่ยนชื่อ
ตั้งแต่ "แชร์แม่ชม้อย" (2527) "แชร์นางทองคำ" (2545) "ยูฟัน" (2558) "FOREX-3D" (2562) สู่ "หุ้น MOON" (2566)
ทุกคดีมีองค์ประกอบคล้ายกันจนน่าตกใจ:
  • ผลตอบแทนเกินจริง (8-20% ต่อเดือน)
  • อ้างการลงทุนในธุรกิจที่ซับซ้อนเข้าใจยาก
  • ผู้นำเสนอมีภาพลักษณ์น่าเชื่อถือ
  • มีคนดังหรือผู้มีอิทธิพลสนับสนุน
ปัจจัยอะไรในวัฒนธรรมไทยที่ทำให้เราง่ายต่อการถูกชักจูงมากเป็นพิเศษ?
โครงสร้างการศึกษาไทย: การไม่ตั้งคำถาม
เด็กไทยเติบโตมากับระบบ "จำแล้วสอบ" ไม่ใช่ "เข้าใจแล้วคิด" วัฒนธรรมในห้องเรียนของเราคือ
  • ตั้งคำถามมาก = ขวางโลก
  • เถียงครู = ไม่มีสัมมาคารวะ
  • สงสัยพระ = บาป
  • ตั้งคำถามกับดารา = โดนแฟนคลับรุม
เมื่อสมองถูกฝึกให้ "ฟังโดยไม่เถียง" มา 20+ ปี อย่างไรเราก็กลายเป็นผู้บริโภคที่ถูกชักจูงได้ง่าย เมื่อใครสักคนใส่สูท พูดจาคล่อง อ้างถึงความน่าเชื่อถือ—เราก็พร้อมเชื่อทันที โดยไม่แยกแยะว่า สิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นข้อเท็จจริงหรือความเชื่อ
วัฒนธรรม "ชอบคนพูดดี" เหนือกว่า "คนพูดจริง"
สังคมไทยให้น้ำหนักกับภาพลักษณ์และอำนาจมากกว่าสาระของข้อมูล
  • เป็นพระ – คนเชื่อเพราะความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่ความถูกต้อง
  • เป็นดารา – คนเชื่อเพราะชื่นชอบ ไม่ใช่เพราะความเชี่ยวชาญ
  • พูดจาสละสลวย – คนประทับใจในภาษา มากกว่าจะตรวจสอบเนื้อหา
คดี Forex-3D เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน — นักต้มตุ๋นใส่สูท พาไปถ่ายรูปกับรถหรู สร้างออฟฟิศสวยงาม ทุกอย่างคือ "ฉากหน้า" ที่หลอกตา แต่ไม่หลอกตัวเลขการเงินจริง
จิตวิทยาแห่งความหวัง ทำไมคนไทยชอบ "ทางลัดสู่ความรวย"
โฆษณาที่ครองใจคนไทยมักมีลักษณะเดียวกัน คือ
  • "เอาเงินหมื่น กลายเป็นล้าน ง่ายนิดเดียว"
  • "ไม่ต้องทำงาน แค่ลงเงินก็พอ"
  • "นี่คือโอกาสทองครั้งเดียวในชีวิต!"
มนุษย์ทุกคนมีสัญชาตญาณแห่งความโลภ แต่สำหรับคนไทย ความโลภนั้น ผสมกับวัฒนธรรมความหวัง เพราะเราเติบโตมากับ:
- ข่าว "คนถูกรางวัลที่หนึ่ง" ทุกงวด
- ความเชื่อเรื่อง "ทำบุญแล้วจะได้รวย"
- ภาพฝันว่าจะ "รวยเร็วๆ" เพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์
นักต้มตุ๋นที่เข้าใจจิตวิทยานี้ จะใช้ "ภาษาแห่งความหวัง" มาดึงดูดเงินจากคนไทยได้ทุกครั้ง
เคสศึกษา: พระกับเหรียญคริปโต "บุญ"
ในปี 2564 เกิดกรณีเหรียญคริปโตที่อ้างว่าเชื่อมโยงกับศาสนา โดยมีพระชื่อดังมาร่วมโปรโมตผ่านยูทูบและเพจออนไลน์
โฆษณาบอกว่า:
"ซื้อเหรียญ = ได้บุญ"
"เหรียญจะใช้สร้างวัด และใช้จ่ายได้ทั่วโลก"
คนไทยแห่ซื้อ โดยไม่มีใครถามถึง Whitepaper หรือแผนธุรกิจจริง สุดท้าย โปรเจกต์ล่ม เหรียญมูลค่าเป็นศูนย์ ผู้จัดหายตัว พร้อมเงินลงทุนนับร้อยล้าน
แล้วใครได้ประโยชน์จากการที่คนไทยเชื่อง่าย???????
  • ผู้ที่เข้าใจจิตวิทยาคนไทยอย่างลึกซึ้ง
  • ผู้ที่รู้ว่า "พูดให้ดูดี" สำคัญกว่า "พูดให้จริง"
  • ผู้ที่เอา ความหวัง ความเชื่อ และการไม่กล้าตั้งคำถาม มาเป็นเครื่องมือ
สรุป: เราเชื่อง่ายเพราะ "ถูกฝึกให้เชื่อ"
กลัวดูโง่เมื่อถามคำถาม — ทำให้ไม่กล้าตั้งข้อสงสัย
เชื่อคนรวย — เพราะคิดว่า "เขามีแล้ว จะโกงทำไม"
นับถือผู้นำศาสนาเกินไป — แม้บางครั้ง ศาสนาถูกใช้เป็นเครื่องมือ
ขาดพื้นฐานการเงิน — ทำให้ไม่รู้ว่าอะไรคือ "ดีเกินจริง"
คำถามที่ต้องถามตัวเอง
คุณเคยเชื่ออะไรแบบไม่ตั้งคำถามบ้างไหม?
คุณเคยใช้ "ความรู้สึก" ตัดสินใจเรื่องเงินไหม?
ถ้าคุณโดนหลอก...คุณจะกล้ายอมรับไหมว่าตัวเองเชื่อผิด?
บางครั้ง การกล้าตั้งคำถาม คือเกราะป้องกันทรัพย์สินที่ดีที่สุดในโลกการเงิน ที่เต็มไปด้วยคนอยากได้เงินของคุณ
ขณะที่คนรุ่นก่อนตกเป็นเหยื่อของ "กับดักความเชื่อ" และการชักจูงลงทุนแบบผิด ๆ อยู่บ่อยครั้ง เด็ก Gen Z กลับดูเหมือน “รอด” มากกว่า!!!
เพราะอะไร?
ไม่มีเงินให้หลอก
วัยรุ่นจำนวนมากยังไม่มีรายได้ประจำ หรือมีรายได้จำกัด
จึงไม่ใช่เป้าหมายในสายตาของกลุ่มที่หวังดูดเงินด่วน
กลุ่มเป้าหมายหลักยังคงเป็น “วัยทำงาน-วัยเกษียณ” ที่มีเงินเก็บ หรือกระแสเงินสดประจำ
โฆษณา