เมื่อวาน เวลา 05:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

🇺🇸 “เทขายอเมริกา" เทรนด์ใหม่สุดช็อก! เมื่อความเชื่อมั่นใน 'ทรัมป์' และ 'ดอลลาร์' สั่นคลอนอย่างแรง!

วันนี้มาคุยอีกด้านของสหรัฐฯ กันบ้างค่ะ จากที่เคยฮือฮากันว่านโยบาย "ทรัมป์เทรด" (Trump Trade) จะเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอเมริกาให้เปรี้ยงปร้าง ตอนนี้ดูเหมือนสถานการณ์จะกลับตาลปัตร กลายเป็นเทรนด์ "เทขายอเมริกา" (Sell America) ซะอย่างนั้น! เกิดอะไรขึ้น? ทำไมความเชื่อมั่นในพี่เบิ้มอย่างสหรัฐฯ ถึงสั่นคลอนได้ขนาดนี้ วันนี้เราจะมาเจาะลึกกันแบบเข้าใจง่ายๆ ค่ะ
2
🎯 จุดเริ่มต้นของความสั่นคลอน: เมื่อทรัมป์ท้าชนไปทั่ว
1
เรื่องมันเริ่มมาจากท่าทีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วง 2 เดือนแรกของวาระที่สองค่ะ การที่ทรัมป์กลับมาโจมตีนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อย่างหนักหน่วง แถมยังขู่ว่าจะปลดประธานเฟด เจอโรม พาวเวลล์ ออกจากตำแหน่ง ยิ่งซ้ำเติมความกังวลจากสงครามการค้าที่ทรัมป์ประกาศกร้าวใส่แทบจะทุกประเทศ
2
การกระทำเหล่านี้ทำให้นักลงทุนและรัฐบาลทั่วโลกต้องหันกลับมาทบทวนมุมมองที่มีต่อสินทรัพย์ที่เป็นหัวใจสำคัญของอำนาจทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง เงินดอลลาร์ และ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Treasury bonds) ที่ปกติแล้วถือเป็น "หลุมหลบภัย" ชั้นดีในยามวิกฤต แต่ตอนนี้กลับดูน่าดึงดูดน้อยลงไปถนัดตาเลยค่ะ
2
📉 ผลกระทบที่เห็นชัด: ตลาดผันผวน นักลงทุนเทขาย
1
ความเชื่อมั่นหดหาย: การโจมตีเฟดของทรัมป์ได้ทำลายความเชื่อมั่นในความเป็นอิสระของธนาคารกลาง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้นักลงทุนมั่นใจในตลาดสหรัฐฯ ควบคู่ไปกับความเชื่อมั่นในหลักนิติธรรม
1
เงินดอลลาร์อ่อนค่า: ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ของ Bloomberg ร่วงลงกว่า 7% ในปีนี้ ถือเป็นการเริ่มต้นปีที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งดัชนีในปี 2005
พันธบัตรฯ ถูกเทขาย: ที่น่าประหลาดใจคือ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ปกติจะแข็งแกร่งสวนทางตลาดอื่นในยามผันผวน (เหมือนตอนเหตุการณ์ 9/11 หรือวิกฤตการเงินปี 2008) กลับร่วงลงอย่างหนัก โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี (ซึ่งเป็นเกณฑ์อ้างอิงดอกเบี้ยหลายอย่าง ตั้งแต่สินเชื่อบ้านไปจนถึงหุ้นกู้) พุ่งขึ้นรุนแรงที่สุดในรอบกว่า 2 ทศวรรษในช่วงเดือนเมษายน
1
ตลาดหุ้นร่วง: นับตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน ดัชนี S&P500 ดิ่งลงเกือบ 10% ทำให้มูลค่าตลาดหายไปราวๆ $4.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เลยทีเดียวค่ะ
นักลงทุนต่างชาติอาจถอนตัว: ชาวต่างชาติถือครองสินทรัพย์สหรัฐฯ อยู่เยอะมากนะคะ ทั้งหุ้นมูลค่า $19 ล้านล้านเหรียญ, พันธบัตรรัฐบาล $7 ล้านล้านเหรียญ, และหุ้นกู้เอกชน $5 ล้านล้านเหรียญ (คิดเป็นประมาณ 20-30% ของตลาดทั้งหมด) ถ้าหากความเชื่อมั่นหายไปแล้วพวกเขาเริ่มเทขาย อาจสร้างความเสียหายอย่างหนักได้เลยเช่นกันค่ะ
1
🌍 ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ: อำนาจนำระดับโลกก็สั่นคลอน
1
เรื่องนี้ไม่ได้กระทบแค่ตลาดเงินตลาดทุนนะคะ แต่ยังส่งผลต่อบทบาทของสหรัฐฯ ในเวทีโลกด้วย ทั้งในฐานะผู้บริโภครายใหญ่ที่เป็นตลาดสุดท้ายให้สินค้าทั่วโลก และในฐานะแกนหลักด้านความมั่นคงและการเมือง การกระทำของทรัมป์ทำให้บทบาทเหล่านี้ถูกตั้งคำถามมากขึ้น
1
รัฐบาลทั่วโลกก็กำลังเผชิญความท้าทายในการปรับตัวรับมือกับสถานการณ์นี้เช่นกัน อย่างที่ เยนส์ ไวด์มันน์ อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางเยอรมนี กล่าวไว้ว่า "โครงสร้างอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์กำลังถูกจัดระเบียบใหม่ต่อหน้าต่อตาเรา" และ "สิทธิพิเศษอันล้นเหลือของสหรัฐฯ" (Exorbitant Privilege) จากการที่เงินดอลลาร์ครองโลกนั้น "อาจไม่ใช่สิ่งที่จะคงอยู่ตลอดไป"
3
🇺🇸 ทำไมสหรัฐฯ ถึงยังไม่ล้ม? และความเสี่ยงที่แท้จริงคืออะไร?
ถึงแม้ความเชื่อมั่นจะสั่นคลอน แต่ก็ต้องยอมรับว่าสหรัฐฯ ยังมีจุดแข็งอยู่ค่ะ คือ
3
1️⃣ ขนาดและความแข็งแกร่ง: เศรษฐกิจสหรัฐฯ ใหญ่เกินกว่าจะล้มลงง่ายๆ และตลาดการเงินก็มีความลึกและสภาพคล่องสูงมาก โดยเฉพาะตลาดพันธบัตรรัฐบาลที่มีมูลค่าเกือบ $29 ล้านล้านเหรียญ
1
2️⃣ ยังไม่มีคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อ: แม้เงินยูโรจะน่าสนใจขึ้น แต่ก็ยังขาดความหลากหลายของตราสารหนี้และเอกภาพทางการเมือง ส่วนเงินหยวนของจีนก็ยังถูกควบคุมโดยรัฐบาล ทำให้ยังไม่มีสกุลเงินไหนมาแทนที่ดอลลาร์ได้ในเร็วๆ นี้
1
เห็นได้จากสถิติที่ว่า ดอลลาร์ยังเกี่ยวข้องกับการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศถึง 90% และเป็นทุนสำรองของธนาคารกลางทั่วโลกเกือบ 60%
⚠️ แต่... ความเสี่ยงที่น่ากังวลคือ
1
👉🏻 สหรัฐฯ พึ่งพาเงินทุนต่างชาติสูง: สหรัฐฯ มีหนี้สาธารณะมหาศาล (ประมาณ $29 ล้านล้านเหรียญ) และคาดว่าจะขาดดุลงบประมาณในปีงบประมาณ 2025 ถึง $1.9 ล้านล้านเหรียญ
1
นอกจากนี้ยังมีสถานะการลงทุนระหว่างประเทศสุทธิ (เหมือนเป็นหนี้สินทางการเงินต่อประเทศอื่น) อยู่ที่ประมาณ $26 ล้านล้านเหรียญ ตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ว่าสหรัฐฯ ต้องการเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศอย่างมากเพื่อมาอุ้มเศรษฐกิจ การสูญเสียความเชื่อมั่นจึงเป็นเรื่องอันตราย
2
👉🏻 นโยบายต่างประเทศส่งผลต่อตลาดการเงินโดยตรง: ในสภาวะที่สหรัฐฯ ขาดดุลทั้งงบประมาณและบัญชีเดินสะพัด (เรียกว่า "ขาดดุลแฝด" - Twin Deficits) ทำให้ต้องพึ่งพา "ความเมตตาของคนแปลกหน้า" (Kindness of Strangers) ซึ่งก็คือนักลงทุนต่างชาตินั่นเอง ดังนั้น นโยบายต่างประเทศที่ไม่สร้างความขัดแย้งจึงสำคัญอย่างยิ่งต่อเสถียรภาพของตลาดการเงินสหรัฐฯ
7
🤔 มุมมองจากฝั่งทรัมป์และผลกระทบต่อพันธมิตร
2
ทีมงานของทรัมป์มองว่า ประเทศอื่นๆ เอาเปรียบสหรัฐฯ ทั้งในเรื่องค่าเงิน การบริโภค และการทหารมานาน พวกเขาจึงต้องการให้พันธมิตร "แบกรับภาระ" มากขึ้น แลกกับการได้ประโยชน์จากร่มเงาความมั่นคงและการเงินของสหรัฐฯ
2
แต่นโยบาย "America First" นี้ บวกกับสงครามการค้า และท่าทีที่เปลี่ยนไปในความขัดแย้งระดับโลก (เช่น กรณีรัสเซีย-ยูเครน) กำลังทำให้เกิดความแตกแยกกับพันธมิตร โดยเฉพาะในยุโรป และสร้างความกังวลให้กับประเทศในเอเชียที่ไม่อยากติดอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีน หลายประเทศเริ่มมองหาลู่ทางอื่น หรือหันไปสานสัมพันธ์กับจีนมากขึ้นแทนที่จะร่วมมือกับสหรัฐฯ เหมือนเดิม
2
🎯 สรุป
1
แม้ว่าเงินดอลลาร์และตลาดสหรัฐฯ จะยังไม่มีใครโค่นลงได้ง่ายๆ ในเร็ววันนี้ แต่การกระทำของทรัมป์ โดยเฉพาะการโจมตีเฟดและสงครามการค้า กำลังกัดเซาะความเชื่อมั่นของโลกที่มีต่อเสาหลักทางการเงินของสหรัฐฯ อย่างชัดเจน จากที่เคยคาดหวัง "Trump Trade" ตอนนี้กลับกลายเป็นความกังวลถึง "Sell America" แทน
2
สถานการณ์นี้ทำให้เห็นว่า แม้แต่ประเทศมหาอำนาจก็ยังต้องพึ่งพาความเชื่อมั่นและเงินทุนจากนานาชาติ และเมื่อความเชื่อมั่นนั้นสั่นคลอน นโยบายต่างๆ โดยเฉพาะนโยบายต่างประเทศ ก็ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินได้อย่างรุนแรงกว่าที่เคยเป็นมาค่ะ
1
ทั้งหมดนี้จึงเป็นเรื่องที่เราต้องจับตาดูกันต่อไปยาวๆ เลยค่ะ โดยเฉพาะท่าทีของทรัมป์หลังจากนี้ว่าจะสามารถเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้หรือไม่หลังจากเรื่องทั้งหมดจบลงค่ะ
โฆษณา