22 เม.ย. เวลา 08:30 • ธุรกิจ

Big Tech รับกรรมทรัมป์ก่อ ภาษีนำเข้าสั่นคลอนทั้งระบบ นักลงทุนจับตา ใครจะรับมือเกมนี้ได้ดีที่สุด ?

บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังเจอปัญหาใหญ่ เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศนโยบายภาษีนำเข้าที่เปลี่ยนไปมา ทำให้ตลาดหุ้นปั่นป่วนอย่างหนักในเดือนเมษายนนี้ โดยเฉพาะดัชนี Nasdaq ที่ตกหนักถึง 5 วันติดต่อกัน นโยบายภาษีนำเข้านี้ไม่เพียงทำให้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อเนื่อง เช่น บริษัทต่างๆ ลดงบโฆษณาเพราะงบประมาณตึงตัว และผู้บริโภคอาจจะใช้จ่ายน้อยลงเพราะสินค้ามีราคาแพงขึ้น
  • ทำไมภาษีนำเข้าถึงสร้างปัญหามากมายขนาดนี้ ?
ภาษีนำเข้าของทรัมป์ถูกต่อต้านจากวงการธุรกิจแทบทั้งหมด มูลค่าตลาดหุ้นหลายล้านล้านดอลลาร์หายไปในช่วงเพียงไม่กี่วัน แม้แต่คนที่สนับสนุนทรัมป์มาตลอด เช่น อีลอน มัสก์ ก็ยังออกมาคัดค้านอย่างเปิดเผย
ปัญหาใหญ่คือภาษีนำเข้าเปลี่ยนแปลงแทบทุกวัน ทำให้บริษัทวางแผนธุรกิจยากมาก ไม่รู้ว่าควรผลิตสินค้าที่ไหน จะจ้างคนเพิ่มหรือไม่ และควรทำการตลาดแค่ไหน
เมื่อวันที่ 9 เมษายน หลังจากตลาดหุ้นตกหนัก 4 วันติดกัน ทรัมป์ลดภาษีนำเข้าเหลือ 10% สำหรับประเทศส่วนใหญ่ (แต่เพิ่มภาษีจีนเป็น 145%) เป็นเวลา 90 วัน ต่อมารัฐบาลทรัมป์บอกว่าโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และชิป จะได้รับการยกเว้นภาษี แต่ทรัมป์ก็เพิ่มความสับสนโดยบอกว่าไม่แน่ใจว่าการยกเว้นจะนานแค่ไหน
  • จับตาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเหล่าบิ๊กเทค Tesla
Tesla กำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน โดยหุ้นของบริษัทตกหนักถึง 40% ในปีนี้ สาเหตุหนึ่งมาจากอีลอน มัสก์ที่มีงานมากมายนอก Tesla โดยเฉพาะการช่วยทรัมป์ลดขนาดรัฐบาล ทำให้ขาดสมาธิในการบริหารธุรกิจหลัก นอกจากนี้ Tesla ยังต้องพึ่งพาชิ้นส่วนจากเม็กซิโกและจีนเป็นอย่างมาก ทั้งกระจกรถยนต์ แผงวงจร และแบตเตอรี่
จึงได้ยื่นคำร้องขอยกเว้นภาษีสำหรับอุปกรณ์ที่นำเข้าจากจีน ผลประกอบการของบริษัทก็ไม่สู้ดีนัก โดยยอดส่งมอบรถในไตรมาสแรกลดลง 13% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ทำให้ต้องลดราคาและเพิ่มโปรโมชั่นเพื่อดึงลูกค้าในสภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้น
  • Google
Google กำลังกังวลว่าบริษัทต่างๆ จะลดงบโฆษณาเนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี โดยเฉพาะแอพช้อปปิ้งจีนอย่าง Temu และ Shein ซึ่งเคยลงโฆษณาหนักในสหรัฐฯ แต่ตอนนี้กำลังลดการใช้จ่ายลงอย่างมาก ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อ Google
เพราะรายได้จากโฆษณาค้าปลีกคิดเป็น 21% ของรายได้โฆษณาทั้งหมดของบริษัท ในขณะเดียวกัน Google ยังมีแผนใช้เงินมหาศาลถึง 75,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ ส่วนใหญ่ไปที่เซิร์ฟเวอร์และศูนย์ข้อมูลสำหรับ AI แต่ตอนนี้ลูกค้า 25% เริ่มลดการใช้จ่ายบนคลาวด์ของ Google แล้ว และอาจเพิ่มเป็น 50% หลังการประกาศขึ้นภาษี ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในแผนการลงทุน
  • Meta (Facebook)
Meta กำลังกังวลว่าธุรกิจต่างๆ จะลดงบโฆษณาบน Facebook และ Instagram เนื่องจากเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน โดยเฉพาะเมื่อรายได้จากจีนคิดเป็น 11% ของรายได้ทั้งหมด (ประมาณ 18,350 ล้านดอลลาร์ในปี 2024)
ซึ่ง Temu และ Shein เป็นลูกค้าโฆษณารายใหญ่ของบริษัท นักวิเคราะห์คาดว่า Meta จะได้รับผลกระทบมากกว่า Google เพราะโฆษณาบน Facebook และ Instagram เป็นการใช้จ่ายที่บริษัทสามารถตัดได้ง่ายกว่าโฆษณาบน Google ในขณะเดียวกัน Mark Zuckerberg ยังคงมีแผนใช้เงินมหาศาลถึง 60,000-65,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2025 สำหรับพัฒนา AI ซึ่งอาจต้องทบทวนหากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น
  • Microsoft
Microsoft ซื้อฮาร์ดแวร์จำนวนมากสำหรับบริการคลาวด์ ซึ่งตอนนี้มีต้นทุนสูงขึ้นเพราะภาษีนำเข้า บริษัทมีแผนใช้เงินมหาศาลกว่า 80,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้สำหรับศูนย์ข้อมูล AI แต่อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า Microsoft และ Salesforce น่าจะรับมือกับภาษีนำเข้าได้ดีกว่าบริษัทซอฟต์แวร์อื่นๆ เนื่องจากมีฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งและมีความยืดหยุ่นในการปรับงบประมาณได้ดีกว่า ทำให้อาจมีโอกาสผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ดีกว่าคู่แข่ง
  • Amazon
Amazon มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากกว่า 60% ของยอดขายมาจากสินค้าที่ขายโดยผู้ค้ารายย่อย ซึ่งหลายรายนำเข้าสินค้าจากจีน บริษัทได้ยกเลิกคำสั่งซื้อบางส่วนจากผู้จำหน่ายในจีนแล้ว และผู้ขายหลายรายบอกว่าอาจต้องขึ้นราคาสินค้า ซีอีโอ Andy Jassy กล่าวว่าจะพยายามรักษาราคาให้ต่ำ แต่ผู้ขายอาจต้อง "ผลักภาระ" ภาษีไปให้ผู้บริโภคในที่สุด อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า Amazon อาจรับมือกับสถานการณ์นี้ได้ดีกว่าคู่แข่ง เหมือนที่เคยทำได้ดีในช่วงโควิด เพราะมีระบบห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่นและปรับตัวเร็ว
  • Apple
Apple มีความเสี่ยงสูงมากเพราะรายได้ 75% มาจากการขายอุปกรณ์ที่ผลิตในเอเชีย บริษัทกำลังพยายามกระจายการผลิตไปยังเวียดนามและอินเดีย และได้เร่งส่ง iPhone ที่ผลิตในอินเดียมาขายในสหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบจากภาษีนำเข้า แต่นักลงทุนยังไม่มั่นใจในความสำเร็จของแผนนี้ สะท้อนจากราคาหุ้นที่ลดลง 8% ในเดือนมีนาคมและ 11% ในเดือนเมษายน ทิม คุก ซีอีโอของ Apple พยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับทรัมป์ แต่นักลงทุนยังไม่รู้ว่าบริษัทจะรับมือกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างไร และจะสามารถรักษาอัตรากำไรที่สูงได้หรือไม่
  • Nvidia
Nvidia เป็นบริษัทที่มีความสำคัญมากในยุค AI เนื่องจากชิป GPU ของบริษัทเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี AI แม้ว่าชิปจะได้รับการยกเว้นภาษี แต่เซิร์ฟเวอร์ AI ที่ประกอบแล้วอาจถูกเก็บภาษี ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่เพราะเซิร์ฟเวอร์ AI หนึ่งเครื่องมีราคาสูงกว่า 50,000 ดอลลาร์
แม้จะเก็บภาษีเพียงเล็กน้อยก็มีผลกระทบทางการเงินมาก บริษัทได้ประกาศแผนผลิต "ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI" ในเท็กซัส หลังจาก Jensen Huang ซีอีโอได้พบกับทรัมป์ นอกจากนี้ บริษัทยังต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายกว่า 5,500 ล้านดอลลาร์จากการส่งออกชิป H20 ไปจีน ซึ่งเป็นผลมาจากข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ
ณ วันที่ 22 เมษายน ดัชนี Nasdaq ลดลง 16% ในปีนี้และ 6% ในเดือนเมษายน โดยไตรมาสแรกเป็นไตรมาสที่แย่ที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี นักลงทุนกำลังรอฟังว่าผู้บริหารบริษัทเทคจะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
โดย Tesla จะรายงานผลประกอบการเป็นบริษัทแรกในวันอังคารนี้ ตามด้วย Alphabet ในวันพฤหัสบดี ส่วน Meta, Microsoft, Amazon และ Apple มีกำหนดรายงานผลในสัปดาห์หน้า และ Nvidia จะรายงานในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม
ที่มา CNBC
โฆษณา