3 ชั่วโมงที่แล้ว • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

Earth​ day​

2025 📅🌍
ประวัติศาสตร์ของโลกเป็นหัวข้อที่กว้างใหญ่และ
ซับซ้อนอย่างยิ่ง เพราะแทบทุกสิ่งที่มนุษย์เรียนรู้หรือค้นพบล้วนมีรากฐานโยงใยอยู่กับอดีตของโลกใบนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ทางธรรมชาติ วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต หรือการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกระแสประวัติศาสตร์ที่ต่อเนื่องกันมาอย่างยาวนาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากพิจารณาจากแง่มุมทางธรณีวิทยาและชีววิทยา จะพบว่าโลกมีประวัติความเป็นมาย้อนหลังไปไกลถึงช่วงเวลาที่โลกถือกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณ 4,600 ล้านปีก่อน
ประวัติศาสตร์ของโลกยังคงดำเนินต่อไป โลกเป็นดาวเคราะห์ที่พิเศษในแง่ที่ว่า เป็นเพียงดวงเดียวที่เรารู้แน่นอนว่ามีสิ่งมีชีวิตดำรงอยู่​ (จนถึงขณะนี้)​
การสำรวจอวกาศโดยเฉพาะอย่างยิ่งความก้าวหน้าของ กล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เวบบ์ ได้ขยายขอบฟ้าแห่งความเข้าใจของเราไปไกลกว่าที่เคยเป็น เรากำลังค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบที่อาจมีสภาพแวดล้อมคล้ายโลกในอัตราที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
บางทีเมื่อเราศึกษาโลกอื่นมากขึ้น เราอาจเข้าใจโลกของเรามากขึ้นเช่นกัน โลกซึ่งเป็น “จุดสีฟ้าอ่อน” เล็กๆ ท่ามกลางความเวิ้งว้างของจักรวาล โลกที่ยังคงเล่าเรื่องราวของชีวิต และอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการสำรวจครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของ
เผ่าพันธุ์มนุษย์เอง
มารำลึกถึงประวัติศาสตร์​ของโลก
🌐1️⃣ ก่อนโลก การก่อตัวของระบบสุริยะ
ก่อนที่จะมีโลก จักรวาลได้ถือกำเนิดขึ้นมาก่อน
หน้านั้นนานแสนนาน โดยมีอายุประมาณ 14,000 ล้านปี ขณะที่โลกของเรานั้นมีอายุเพียงราวหนึ่งในสามของช่วงเวลาดังกล่าว กล่าวคือประมาณ 4,600 ล้านปี การเกิดขึ้นของโลกไม่ได้เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการก่อกำเนิดระบบสุริยะทั้งหมด ซึ่งมีต้นกำเนิดจากกระบวนการทางดาราศาสตร์อันยิ่งใหญ่ที่เริ่มต้นด้วยเหตุการณ์
รุนแรงในจักรวาล
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าต้นกำเนิดของระบบสุริยะของเราอาจเริ่มต้นจากการระเบิดของดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ที่เรียกว่าซูเปอร์โนวา การระเบิดครั้งนี้มีพลังมหาศาลจนปลดปล่อยคลื่นกระแทกที่แผ่ขยายออกไปในอวกาศ คลื่นกระแทกดังกล่าวได้ส่งแรงสั่นสะเทือนไปยังก้อนเมฆของก๊าซและฝุ่นละอองในอวกาศ ซึ่งลอยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง และนี่คือจุดเริ่มต้นของกระบวนการที่เรียกว่าสมมุติฐานเนบิวลาสุริยะ
ลองจินตนาการว่ามีกลุ่มฝุ่นละอองกระจัดกระจายอยู่ในอวกาศอันเวิ้งว้าง คลื่นกระแทกจากซูเปอร์โนวาเปรียบได้กับการกวาดฝุ่นด้วยไม้กวาด คลื่นนี้ได้ผลักดันฝุ่นและก๊าซให้ไหลรวมกันมาสู่จุดศูนย์กลางแห่งหนึ่ง เมื่อฝุ่นและก๊าซมารวมตัวกันอย่างหนาแน่นมากขึ้น แรงโน้มถ่วง​ เป็นแรงดึงดูดธรรมชาติในระดับจักรวาลก็เริ่มเข้ามามีบทบาทโดยดึงสสารทั้งหมดเข้าหากัน เกิดเป็นกระบวนการที่เรียกว่า
"การเพิ่มมวล"
การเพิ่มมวลทำให้ฝุ่นเล็กๆ กลายเป็นอนุภาคแข็ง
เริ่มก่อตัวเป็นก้อนหินขนาดเล็ก​ชนกันและรวมตัวกันเป็นวัตถุที่ใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากหินกลายเป็นก้อนหินใหญ่ กลายเป็นดาวเคราะห์น้อย และสุดท้ายเมื่อสะสมมวลมากพอ วัตถุเหล่านี้ก็กลายเป็นดาวเคราะห์ รวมถึงโลกของเราและดวงอาทิตย์ที่อยู่ใจกลางระบบสุริยะ กระบวนการนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันยาวนานของโลก ซึ่งในภายหลังจะกลายเป็นบ้านของสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนในจักรวาลอันกว้างใหญ่ใบนี้
🌐3️⃣ นาฬิกาธรณีวิทยา​
นาฬิกาทางธรณีวิทยาเป็นแนวคิดที่ใช้เปรียบเทียบระยะเวลายาวนานของประวัติศาสตร์โลกกับนาฬิกา 12 ชั่วโมง เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นว่าเวลาของมนุษย์เพิ่งเริ่มต้นเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นหากเทียบกับอายุของโลกทั้งหมด หากสมมุติว่าโลกมีอายุ 12 ชั่วโมง ชีวิตมนุษย์จะปรากฏขึ้นในช่วงเวลาเพียง 2 วินาทีก่อนเที่ยงคืน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเราเพิ่งเป็นเพียงเสี้ยวเล็ก ๆ ของประวัติศาสตร์โลกที่ยาวนานนับพันล้านปี
นักธรณีวิทยาใช้การแบ่งเวลาออกเป็นลำดับชั้นตามช่วงเวลาที่สำคัญทางธรณีวิทยา ซึ่งเรียกว่ามาตราเวลาทางธรณีวิทยา (Geologic Time Scale) โดยหน่วยเวลาที่ใหญ่ที่สุดเรียกว่า **มหายุค** (Eon) ซึ่งกินระยะเวลานานหลายร้อยล้านถึงพันล้านปี และภายในมหายุคจะถูกแบ่งย่อยเป็น **ยุค** (Era) จากนั้นแบ่งเป็น **คาบ** หรือ **ช่วงเวลา** (Period) และแบ่งย่อยต่อเป็น **ยุคสมัย** (Epoch) และบางครั้งยังแยกย่อยต่อไปเป็น **ช่วงอายุ** (Age)
ปัจจุบันโลกอยู่ในมหายุคฟาเนอโรโซอิก (Phanerozoic Eon) ซึ่งเริ่มต้นเมื่อประมาณ 541 ล้านปีก่อน เป็นช่วงที่สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่และมีกระดูกเริ่มปรากฏชัดเจน มหายุคนี้แบ่งออกเป็น 3 ยุคหลัก ได้แก่ พาลีโอโซอิก (Paleozoic), มีโสโซอิก (Mesozoic) และ ซีโนโซอิก (Cenozoic) ซึ่งเป็นยุคปัจจุบัน ยุคซีโนโซอิกเองเริ่มต้นหลังจากไดโนเสาร์สูญพันธุ์เมื่อประมาณ 66 ล้านปีก่อน และแบ่งออกเป็น 3 คาบ ได้แก่ พาลีโอจีน (Paleogene), นีโอจีน (Neogene) และควอเทอร์นารี (Quaternary)
เราอาศัยอยู่ในคาบควอเทอร์นารี (Quaternary Period) ซึ่งเริ่มเมื่อประมาณ 2.6 ล้านปีก่อน และในคาบนี้ยังแบ่งออกเป็น 2 ยุคสมัย ได้แก่ เพลสโตซีน (Pleistocene) และโฮโลซีน (Holocene) โดยยุคโฮโลซีนคือช่วงเวลาปัจจุบัน เริ่มต้นเมื่อประมาณ 11,700 ปีก่อนหลังจากยุคน้ำแข็งสิ้นสุดลง เป็นช่วงที่มนุษย์เริ่มตั้งถิ่นฐาน พัฒนาเกษตรกรรม วัฒนธรรม และอารยธรรมต่าง ๆ
การเข้าใจนาฬิกาทางธรณีวิทยาจึงไม่เพียงแค่ช่วยให้เราเห็นภาพความยาวนานของเวลาที่โลกได้ดำรงอยู่ แต่ยังเตือนให้เราตระหนักว่า มนุษย์เพิ่งปรากฏขึ้นไม่นาน และการกระทำของเรามีผลกระทบต่อโลกใบนี้ในระดับที่อาจเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ทางธรณีวิทยาในอนาคตอีกด้วย
🌐4️⃣ ยุคเฮเดียน – นรกบนดิน
ยุคเฮเดียน (Hadean) ถือเป็นยุคแรกสุดในประวัติศาสตร์ของโลก เริ่มต้นเมื่อประมาณ 4.6 พันล้านปีก่อนและสิ้นสุดราว 4 พันล้านปีก่อน ชื่อ “เฮเดียน” มาจากคำว่า “Hades” ซึ่งหมายถึงนรกในเทพปกรณัมกรีก สะท้อนถึงสภาพแวดล้อมของโลกในช่วงเวลานั้นที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและโกลาหลอย่างที่สุด
ในช่วงต้นของยุคนี้ โลกยังคงอยู่ในสภาพของมวลสารที่ร้อนจัดจากการรวมตัวของฝุ่นและเศษซากจากเนบิวลาสุริยะ พื้นผิวโลกเต็มไปด้วยลาวาและแมกมาหลอมละลุ ซึ่งยังไม่เย็นตัวพอที่จะสร้างเปลือกโลกถาวรได้ การชนปะทะของวัตถุท้องฟ้าขนาดใหญ่ เช่น ดาวเคราะห์น้อยและดาวเคราะห์บริวาร ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง การชนที่สำคัญที่สุดคือการที่วัตถุขนาดเท่าดาวอังคาร (ที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า "เธีย") ชนเข้ากับโลก ทำให้เศษซากบางส่วนหลุดออกไปและก่อตัวเป็นดวงจันทร์ในเวลาต่อมา
(กำเนิดดวงจันทร์​ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์
เพิ่งไขคำตอบ🔹)​
แม้ว่าสภาพแวดล้อมจะร้อนระอุและดูเหมือนไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิต แต่หลักฐานทางธรณีเคมีบางอย่าง เช่น แร่เซอร์คอน (Zircon) ที่มีอายุถึง 4.4 พันล้านปี บ่งชี้ว่าอาจมีน้ำในสถานะของเหลวปรากฏขึ้นในบางช่วงของยุคนี้ ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตัวของมหาสมุทรในเวลาต่อมา
ยุคเฮเดียนจึงเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงอันรุนแรงที่วางรากฐานสำหรับการก่อรูปของเปลือกโลก บรรยากาศ และสภาพแวดล้อมพื้นฐานที่เอื้อต่อการพัฒนาของสิ่งมีชีวิตในยุคต่อไป แม้จะไม่มีฟอสซิลสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออยู่จากยุคนี้ แต่ยุคเฮเดียนคือบทแรกของเรื่องราวของโลกที่ยังคงดำเนินต่อมาอย่างยาวนานนับพันล้านปี
🌐5️⃣ ยุคอาร์เคียน​ จุดเริ่มต้นของชีวิตบนโลก
(4,000 – 2,500 ล้านปีก่อน)
ยุคอาร์เคียนเป็นช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์โลก ที่โลกเริ่มเปลี่ยนจากความโกลาหลของยุคฮาเดียนไปสู่สภาพแวดล้อมที่เสถียรมากขึ้น แม้ว่าโลกในยุคนี้จะยังคงดูไม่เหมาะกับสิ่งมีชีวิตอย่างที่เรารู้จักในปัจจุบัน แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์ของโลก นั่นคือ ▪️▪️◾
การกำเนิดของสิ่งมีชีวิต
ในช่วงต้นของยุคอาร์เคียน พื้นผิวโลกที่เคยเป็น
แมกมาร้อนหลอมละลายเ ริ่มเย็นตัวลงและแข็งตัวกลายเป็นเปลือกโลกอย่างถาวร แม้ว่าจะยังมีภูเขาไฟระเบิดบ่อยครั้ง และพื้นดินยังไม่มั่นคง แต่ก็เริ่มมีแผ่นเปลือกโลกแยกตัวและเคลื่อนที่ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการที่พัฒนามาเป็นการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกในปัจจุบัน
บรรยากาศในยุคนี้ยังไม่มีออกซิเจน มันประกอบด้วยไอน้ำ คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน และก๊าซอื่นๆ จากภูเขาไฟ ทำให้มนุษย์ไม่สามารถอยู่รอดได้ในสภาพอากาศนี้ แต่แม้จะดูเป็นสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวขนาดเล็ก เช่น แบคทีเรียโบราณ ได้ถือกำเนิดขึ้นในทะเลลึกโดยอาศัยพลังงานจากความร้อนใต้พิภพหรือสารเคมีรอบช่องระบายความร้อนใต้ทะเล (hydrothermal vents)
หนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่สำคัญมากของยุคนี้คือ
"ไซยาโนแบคทีเรีย (Cyanobacteria)"
หรือสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกที่สามารถสังเคราะห์แสงได้ พวกมันปล่อยออกซิเจนเป็นผลพลอยได้สู่ชั้นบรรยากาศ กระบวนการนี้แม้จะช้า แต่ก็เป็นการปูทางไปสู่การเพิ่มระดับออกซิเจนในยุคต่อมา ที่เรียกว่า
"The Great Oxygenation Event" เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมโลกอย่างถาวร
🌐6️⃣ ฟอสซิลแรก ชีวิตแรก
ซากดึกดำบรรพ์ของสิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกบนโลกปรากฏขึ้นเมื่อประมาณ 4,000 ถึง 3,700 ล้านปีก่อน ในช่วงต้นของยุคอาร์เคียน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โลกยังคงร้อนจัดและมีสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อสิ่งมีชีวิตอย่างที่เรารู้จักในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม หลักฐานจากหินโบราณแสดงให้เห็นว่าชีวิตในยุคนั้น แม้จะเรียบง่ายมาก แต่ก็สามารถดำรงอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง สิ่งมีชีวิตเหล่านี้เป็นเพียงเซลล์เล็ก ๆ ที่ไม่มีนิวเคลียส และอาจรวมถึงไวรัสหรือสิ่งมีชีวิตจำพวกที่อาศัยอยู่ในทะเลน้ำร้อนลึกใกล้ภูเขาไฟใต้มหาสมุทร
(แบคทีเรีย​ 🆚 ไวรัสอะไรเกิดก่อนกัน​▪️▪️◼️◼️)​
นักวิทยาศาสตร์บางคนเสนอว่า ชีวิตอาจถือกำเนิดขึ้นบนโลกได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่ร้อยล้านปีหลังจากที่ดาวเคราะห์ดวงนี้ก่อตัวขึ้น ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่สั้นมากในทางธรณีวิทยา แนวคิดนี้ทำให้เกิดสมมุติฐานที่น่าสนใจว่า หากชีวิตสามารถเริ่มต้นได้อย่างรวดเร็วบนโลกของเรา ก็มีความเป็นไปได้เช่นกันที่สิ่งมีชีวิตอาจถือกำเนิดขึ้นในที่อื่น ๆ ทั่วจักรวาล
หนึ่งในหลักฐานที่น่าเชื่อถือที่สุดคือฟอสซิลของ
สโตรมาโทไลต์ (stromatolite) ถูกค้นพบในประเทศออสเตรเลีย มีอายุมากกว่า 3,500 ล้านปี ฟอสซิลเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยจุลินทรีย์ที่เรียกว่าไซยาโนแบคทีเรีย เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีบทบาทสำคัญในการผลิตออกซิเจนในบรรยากาศโลกยุคแรก ชีวิตแบบดึกดำบรรพ์เหล่านี้อาจดูห่างไกลจากสิ่งมีชีวิตที่เราคุ้นเคยในปัจจุบัน แต่ในความเป็นจริง พวกมันคือจุดเริ่มต้นของสายโซ่วิวัฒนาการอันยาวนานที่นำมาสู่ความหลากหลายทางชีวภาพในปัจจุบัน
🌐7️⃣ การสังเคราะห์แสงเริ่มต้นขึ้น
เมื่อประมาณ 3,500 ล้านปีก่อน สิ่งมีชีวิตได้ค้นพบวิธีที่จะดูดซับพลังงานจากดวงอาทิตย์โดยการสังเคราะห์แสง จุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในมหาสมุทรเหล่านี้จะปล่อยออกซิเจนเป็นผลพลอยได้
ออกซิเจนยังไม่ช่วยสร้างบรรยากาศ แต่ความเข้มข้นสูงของเหล็กในมหาสมุทรกลับทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ทำให้ออกซิเจนไม่สามารถไหลออกจากมหาสมุทรได้
🌐8️⃣การเพิ่มออกซิเจนครั้งใหญ่
ออกซิเจนเริ่มสะสมในชั้นบรรยากาศของโลก เมื่อประมาณ 2,300 ล้านปีก่อนการสะสมของออกซิเจนทำให้ยุคอาร์เคียนแตกต่างจากยุคโพรเทอโรโซอิก
โลกเกิดก้อนหิมะครั้งแรกในช่วงเวลานี้ การเกิดธารน้ำแข็งครั้งนี้เป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้มีออกซิเจนเพิ่มขึ้นในชั้นบรรยากาศ
เมื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลให้ยุคน้ำแข็งสิ้นสุดลงเมื่อประมาณ 2,300 ล้านปีก่อน น้ำแข็งที่ละลายส่งผลให้มีออกซิเจนปริมาณมหาศาลสู่ชั้นบรรยากาศ
ที่น่าแปลกก็คือ การเพิ่มออกซิเจนลงในมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศเป็นหายนะสำหรับสิ่งมีชีวิตบนโลกอย่างน้อยก็ในช่วงสั้นๆ ชีวิตในมหาสมุทรได้วิวัฒนาการมาเพื่อดำรงอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีออกซิเจนหรือไม่มีออกซิเจน การเพิ่มออกซิเจนทำให้แบคทีเรียที่ไม่ใช้ออกซิเจนจำนวนมากสูญพันธุ์ไป
🌐9️⃣ยุคโพรเทอโรโซอิก
มีบางอย่างแล้วก็ไม่มีอะไรเลย
2.5 พันล้าน – 550 ล้านปีก่อน
ยุคโพรเทอโรโซอิกถือเป็นยุคที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์โลก โดยอยู่ที่ประมาณ 2 พันล้าน
ปี บรรยากาศและเปลือกโลก (หิน) ของโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงแรกของยุคนี้
ในทางตรงกันข้าม ยุคที่สองพันล้านปีของยุคโพรเทอโรโซอิกกลับไม่น่าตื่นเต้นมากนัก
พันล้านที่น่าเบื่อ▪️▪️◾
ดังที่ชื่อบ่งบอก ช่วงเวลาเมื่อประมาณ 1.8 พันล้านถึง 0.8 พันล้านปีก่อนนั้นมีความโดดเด่นเพียงด้านเดียว นั่นคือโลกมีเสถียรภาพและไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากนัก
โครงสร้างของเปลือกโลกไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ชีวิตไม่ได้วิวัฒนาการมากนัก ไม่มีสารอาหารที่มีอยู่มากนัก และสภาพภูมิอากาศก็ไม่เปลี่ยนแปลง
นักวิทยาศาสตร์บางคนคิดว่ายูคาริโอต (สิ่งมีชีวิตที่มีนิวเคลียส) มีวิวัฒนาการจนมีลักษณะสำคัญหลายประการในช่วงพันล้านปีก่อน เช่น การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ ซึ่งทำให้เกิดการระเบิดในยุคแคมเบรียนได้
นอกจากนี้ สาหร่ายและพืชก็วิวัฒนาการมาในช่วงเวลานี้ แต่เมื่อพิจารณาว่าช่วงเวลานี้ยาวนานกว่า 1,000 ล้านปี ความสำเร็จในการวิวัฒนาการดังกล่าวจึงดูน้อยมาก เดาว่าพวกเราทุกคน รวมทั้งโลกด้วย จำเป็นต้องมีช่วงเวลาพักผ่อน
1️⃣0️⃣เปลือกโลก
นักธรณีวิทยายังไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัดว่าแผ่นเปลือกโลกเริ่มแยกตัวออกจากกันและเคลื่อนที่ได้ตั้งแต่เมื่อใด แต่มีการคาดการณ์ว่ากระบวนการนี้อาจเริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณ 1,000 ถึง 3,000 ล้านปีก่อน ในช่วงแรกของการกำเนิดโลก พื้นผิวยังอยู่ในสภาพร้อนจัด เต็มไปด้วยแมกมาที่ไหลเวียนตลอดเวลา โลกในเวลานั้นยังไม่มีเปลือกแข็งที่จะสามารถแตกออกเป็นแผ่น ๆ ได้ ทำให้แนวคิดเรื่องแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่ยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลานั้น
เมื่อโลกเริ่มเย็นตัวลงจากการถูกโจมตีด้วยอุกกาบาตและสสารจากอวกาศในระยะแรก พื้นผิวที่เคยเป็นแมกมาก็ค่อย ๆ แข็งตัวกลายเป็นหินแข็ง เปลือกโลกในรูปแบบที่เรารู้จักในปัจจุบันจึงเริ่มก่อตัวขึ้น เมื่อชั้นหินมีความหนาแน่นและแข็งแรงพอ แรงภายในของโลกจากกระแสความร้อนที่ยังคงหมุนเวียนอยู่ภายในก็เริ่มผลักดันให้แผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่ กระบวนการนี้เองที่เรียกว่า "การเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก" (Plate Tectonics) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่เปลี่ยนแปลงรูปร่างของพื้นโลกอย่างต่อเนื่อง
การเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกในช่วงหลายพันล้านปีที่ผ่านมาไม่ได้เป็นเพียงกระบวนการธรณีวิทยาเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาของสิ่งมีชีวิตบนโลก การชนกันของแผ่นเปลือกโลกก่อให้เกิดเทือกเขา แนวภูเขาไฟ และแอ่งมหาสมุทร ขณะเดียวกัน การแตกแยกของแผ่นก็เปิดทางให้มหาสมุทรและทวีปแยกออกจากกัน เปลี่ยนสภาพแวดล้อมและสภาพอากาศในแต่ละพื้นที่อย่างมหาศาล
กระบวนการเหล่านี้ยังทำให้หินถูกยกขึ้นมาให้สัมผัสกับการกัดเซาะของธารน้ำแข็ง ลม และฝน เกิดการผุพังกลายเป็นดินตะกอนที่อุดมด้วยแร่ธาตุและสารอาหาร ซึ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของพืชและสัตว์ การไหลเวียนของธาตุอาหารจากหินสู่ดินและน้ำจึงเป็นอีกกลไกหนึ่งที่สนับสนุนการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ
แม้ว่าการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกจะดูช้าและดำเนินไปอย่างเงียบงัน แต่หากมองในภาพรวมของเวลาทางธรณีวิทยา กระบวนการนี้ได้เปลี่ยนแปลงโลกอย่างสิ้นเชิง ทั้งในด้านภูมิประเทศ ระบบนิเวศ และวิวัฒนาการของชีวิตบนโลกใบนี้
1️⃣1️⃣ ยุคฟาเนอโรโซอิก โลกยุคใหม่ของเรา
550 ล้านปีก่อนจนถึงปัจจุบัน
มหายุคฟาเนอโรโซอิก (Phanerozoic Eon) เริ่มต้นเมื่อประมาณ 541 ล้านปีก่อน และดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ถือเป็นช่วงเวลาที่โลกได้กลายเป็นเวทีของการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่ง ทั้งด้านภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ ความหลากหลายทางชีวภาพเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และสิ่งมีชีวิตหลายกลุ่มที่เราคุ้นเคยในปัจจุบันก็ถือกำเนิดขึ้นในช่วงเวลานี้
แม้โลกในมหายุคฟาเนอโรโซอิกจะไม่ได้ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งตลอดเวลา แต่ก็มีช่วงที่เกิดยุคน้ำแข็งหลายครั้ง สลับกับช่วงเวลาที่อุณหภูมิโลกร้อนขึ้นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ในช่วงปลายคาบออร์โดวิเชียน (Ordovician) และปลายคาบคาร์บอนิเฟอรัส (Carboniferous) ของยุคพาลีโอโซอิก
(Paleozoic Era) เกิดการสะสมตัวของน้ำแข็งขนาดใหญ่บริเวณขั้วโลกและซีกโลกใต้ ทำให้ระดับน้ำทะเลลดลงอย่างชัดเจน ขณะที่ในยุคมีโสโซอิก (Mesozoic Era) โลกกลับมีอากาศอบอุ่นอย่างมากจนแทบไม่มีน้ำแข็งถาวรที่ขั้วโลก เป็นช่วงที่สิ่งมีชีวิตอย่างไดโนเสาร์ พืช และสัตว์เจริญรุ่งเรืองเต็มที่
ในยุคซีโนโซอิก (Cenozoic Era) โดยเฉพาะใน
คาบควอเทอร์นารี (Quaternary) ซึ่งเป็นคาบปัจจุบัน โลกได้เข้าสู่ช่วงยุคน้ำแข็งหลายครั้งอีกครั้ง โดยเฉพาะในยุคเพลสโตซีน (Pleistocene) ซึ่งน้ำแข็งแผ่ปกคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ในซีกโลกเหนือ เช่น ยุโรป แคนาดา และไซบีเรีย ก่อนที่น้ำแข็งจะถอยร่นเข้าสู่ยุคโฮโลซีน (Holocene) ที่มีสภาพอากาศอบอุ่นและมั่นคงมากขึ้น เป็นยุคที่มนุษย์เริ่มตั้งถิ่นฐาน พัฒนาเกษตรกรรม และสร้างอารยธรรมขึ้น
การกัดเซาะของภูเขาที่เกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก รวมถึงอิทธิพลของธารน้ำแข็ง มีบทบาทสำคัญต่อระบบนิเวศ เนื่องจากช่วยพาสารอาหารจากพื้นดินลงสู่มหาสมุทร ซึ่งกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้สิ่งมีชีวิตในทะเลสามารถเติบโตและขยายพันธุ์ได้
จุดเริ่มต้นของมหายุคฟาเนอโรโซอิกยังถูกกำหนดโดยเหตุการณ์สำคัญที่เรียกว่า **การระเบิดของยุคแคมเบรียน (Cambrian Explosion)** ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สิ่งมีชีวิตแบบซับซ้อนปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วและหลากหลายมากขึ้นในทะเล สัตว์หลายชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนเริ่มวิวัฒนาการขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ที่มีขา มีตา มีเปลือก และมีระบบการกินที่ซับซ้อนมากขึ้น
แม้ว่าเราจะไม่พบฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตบางชนิดในช่วงต้นของยุคนี้ แต่สัตว์ดึกดำบรรพ์ที่มีรูปร่างแปลกตาอย่าง *ฮัลลูซิเจเนีย* (Hallucigenia) หรือแมงกะพรุนโบราณ ก็เป็นหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่ามีสิ่งมีชีวิตซับซ้อนหลากหลายว่ายเวียนอยู่ในทะเลยุคแรกเริ่มนั้น
สัตว์ทะเลในยุคแคมเบรียนเริ่มวิวัฒนาการระบบอวัยวะอย่างตาและขา หอยชนิดต่าง ๆ ปรากฏตัวขึ้นอย่างเด่นชัด ผู้ล่าบางชนิดเริ่มมีขากรรไกรและฟัน ส่วนสัตว์คล้ายไส้เดือนบางชนิดก็พัฒนาเหงือกที่มีลักษณะคล้ายขน ซึ่งช่วยในการหายใจในน้ำได้ดียิ่งขึ้น
1️⃣2️⃣พืช​ ที่ซับซ้อน!
เมื่อประมาณ 470 ล้านปีก่อน พืชได้ก้าวออกจากมหาสมุทรขึ้นสู่แผ่นดินเป็นครั้งแรก นับเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่สุดของประวัติศาสตร์ชีวิตบนโลก พืชกลุ่มแรก ๆ เหล่านี้ยังคงมีโครงสร้างที่เรียบง่ายมาก ไม่มีรากจริง ๆ ไม่มีใบที่แท้จริง และยังต้องอาศัยน้ำในการแพร่พันธุ์ แต่พวกมันก็เป็นผู้บุกเบิกที่ช่วยเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมบนบกให้เอื้อต่อสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ
เมื่อเวลาผ่านไปอีกประมาณ 100 ล้านปี พืชก็เริ่มวิวัฒนาการจนมีโครงสร้างที่ซับซ้อนมากขึ้น เริ่มมีรากที่ฝังลงในดินเพื่อดูดน้ำและแร่ธาตุ มีลำต้นที่ยืดตัวขึ้นรับแสง และมีใบที่ใช้สังเคราะห์แสงอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รูปแบบของพืชที่เราคุ้นเคยในปัจจุบันจึงเริ่มปรากฏขึ้นในช่วงเวลานี้
หนึ่งในข้อเท็จจริงที่น่าทึ่งคือ หญ้ายังไม่ได้วิวัฒนาการขึ้นในยุคที่ไดโนเสาร์เดินบนโลก! แม้ว่าไดโนเสาร์บางชนิดจะเป็นสัตว์กินพืช แต่พวกมันกินพืชประเภทเฟิร์น พืชเมล็ดเปลือย และพืชดอกยุคแรก ๆ ที่ยังไม่มีหญ้าอยู่ในระบบนิเวศเลย หญ้าที่เรารู้จักกันในปัจจุบันนั้น เพิ่งวิวัฒนาการขึ้นในช่วงหลังของยุคครีเทเชียส (Cretaceous) หรือไม่นานก่อนที่ไดโนเสาร์จะสูญพันธุ์ ซึ่งหมายความว่าไดโนเสาร์ส่วนใหญ่ไม่เคยเดินย่ำบนทุ่งหญ้าเขียวขจีอย่างที่เราจินตนาการกัน
วิวัฒนาการของพืชบนบกจึงเป็นกระบวนการที่ยาวนานและสำคัญอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะช่วยสร้างบรรยากาศที่อุดมด้วยออกซิเจนแล้ว ยังเป็นรากฐานของห่วงโซ่อาหารและระบบนิเวศบนแผ่นดินที่สืบเนื่องมาจนถึงยุคของเราในปัจจุบัน
1️⃣3️⃣มหาทวีป
หนึ่งในก้าวสำคัญของประวัติศาสตร์โลกคือการก่อตัวและการแยกตัวของมหาทวีป ซึ่งมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อทั้งภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตบนโลก มหาทวีปที่สำคัญอย่าง *กอนด์วานา* (Gondwana) และ *แพนเจีย* (Pangaea) ไม่ได้เป็นเพียงแค่แผ่นดินขนาดยักษ์เท่านั้น แต่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเปลี่ยนแปลงระดับมหภาคที่เกิดขึ้นตลอดมหายุคฟาเนอโรโซอิก
เมื่อแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่เข้าหากันและรวมตัวกันเป็นมหาทวีป พื้นที่แผ่นดินขนาดใหญ่จะมีผลต่อระบบหมุนเวียนของอากาศและมหาสมุทร ทำให้ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างมาก นอกจากนี้ ตำแหน่งของมหาทวีปเหล่านี้เมื่อเทียบกับขั้วโลกยังส่งผลให้บางช่วงของโลกกลายเป็นยุคน้ำแข็ง เช่น เมื่อมหาทวีปกอนด์วานาอยู่ใกล้ขั้วโลกใต้ ก็มีน้ำแข็งแผ่ปกคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่
การรวมตัวกันของแผ่นดินจนกลายเป็นมหาทวีตแพนเจียในช่วงปลายยุคพาลีโอโซอิก และการแตกตัวของมันในยุคมีโสโซอิก ยังนำมาซึ่งการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกขนาดใหญ่ เกิดการชนกันของแผ่นเปลือกโลก ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเทือกเขาขนาดใหญ่และภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ในหลายพื้นที่ ผลของกิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงเปลี่ยนภูมิประเทศ แต่ยังกระทบต่อระบบนิเวศและการกระจายตัวของสิ่งมีชีวิตด้วย
การเคลื่อนที่ของมหาทวีปจึงเปรียบเสมือนเบื้องหลังของการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นบนโลก ไม่ว่าจะเป็นการเกิดและดับของสายพันธุ์ การก่อตัวของเทือกเขาใหม่ หรือแม้แต่การกำหนดเส้นทางของวิวัฒนาการมนุษย์ในภายหลัง
1️⃣4️⃣ไดโนเสาร์ – ยุคมีโซโซอิก
แน่นอนว่าไดโนเสาร์เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก พวกมันปรากฏขึ้นครั้งแรกเมื่อประมาณ 250 ล้านปีก่อน และปกครองผืนแผ่นดินของโลกเป็นเวลายาวนานนับร้อยล้านปี จนกระทั่งสูญพันธุ์ไปเมื่อราว 66 ล้านปีก่อนในเหตุการณ์การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของโลก
ชื่อของช่วงเวลาอย่าง *ไทรแอสซิก* (Triassic), *จูราสสิก* (Jurassic) และ *ครีเทเชียส* (Cretaceous) อาจฟังดูคุ้นหู เพราะมักถูกกล่าวถึงในภาพยนตร์หรือสื่อเกี่ยวกับไดโนเสาร์ แท้จริงแล้ว ทั้งสามช่วงเวลานี้เป็นส่วนหนึ่งของยุคธรณีวิทยาที่เรียกว่า *ยุคมีโสโซอิก* (Mesozoic Era) ซึ่งกินเวลาตั้งแต่ประมาณ 252 ล้านปีถึง 66 ล้านปีก่อน
ในทางธรณีวิทยา ยุคมีโสโซอิกถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่โลกเต็มไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะการเฟื่องฟูของสัตว์เลื้อยคลานอย่างไดโนเสาร์ ช่วงเวลาทางธรณีวิทยาที่เรียกว่า “คาบ” หรือ “คาบยุค” เหล่านี้มีลำดับเล็กกว่ายุค (Era) และเล็กกว่ามหายุค (Eon) ซึ่งเป็นโครงสร้างที่นักธรณีวิทยาใช้แบ่งประวัติศาสตร์โลกออกเป็นช่วงต่าง ๆ เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิต ภูมิประเทศ และสภาพแวดล้อมในแต่ละช่วง
ไดโนเสาร์จึงไม่ได้เป็นเพียงสัตว์ดึกดำบรรพ์ธรรมดาเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนของโลกในช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงมากมายทั้งในแง่ของวิวัฒนาการและสภาพแวดล้อม พวกมันเป็นหน้าต่างสำคัญที่เปิดให้เราได้เข้าใจอดีตของโลกใบนี้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
1️⃣5️⃣การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่
นับตั้งแต่การระเบิดของสิ่งมีชีวิตในยุคแคมเบรียน โลกได้เผชิญกับการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ไปแล้วถึงหกครั้ง ซึ่งรวมถึงการสูญพันธุ์ครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันจากผลกระทบของกิจกรรมมนุษย์ เหตุการณ์เหล่านี้นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ของสิ่งมีชีวิต เพราะมันทำให้จำนวนสายพันธุ์บนโลกลดลงอย่างรุนแรงในช่วงเวลาสั้น ๆ เมื่อเทียบกับมาตราทางธรณีวิทยา
การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่แต่ละครั้งมักเกิดจากปัจจัยที่รุนแรง เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอย่างฉับพลัน การระเบิดของภูเขาไฟขนาดมหึมา การชนของวัตถุจากอวกาศ หรือการเปลี่ยนแปลงของระดับออกซิเจนในทะเล สิ่งมีชีวิตจำนวนมากไม่สามารถปรับตัวได้ทันและต้องสูญพันธุ์ไป แต่ในขณะเดียวกัน พื้นที่ว่างในระบบนิเวศที่เกิดขึ้นหลังการสูญพันธุ์ ก็เปิดโอกาสให้สิ่งมีชีวิตกลุ่มใหม่ ๆ ได้ถือกำเนิดขึ้นและวิวัฒนาการต่อไป
(ดวงดาวนี่แหละกำหนดโชคชะตา​ของมนุษย์​ฺหากนักฆ่าไดโนเสาร์​ Chicxulub​ พลาดเป้า​จะเกิดอะไรขึ้น)​
ในช่วงหลายสิบล้านปีที่ตามมา ชีวิตบนโลกไม่ได้หยุดนิ่ง แต่กลับฟื้นคืนและแปรเปลี่ยนในรูปแบบใหม่ สิ่งมีชีวิตที่รอดพ้นจากเหตุการณ์การสูญพันธุ์ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของสายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่หลากหลายมากขึ้น และในที่สุดก็นำไปสู่โลกที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตหลากหลายอย่างที่เรารู้จักในปัจจุบัน การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่จึงไม่ใช่เพียงจุดจบของสิ่งมีชีวิตบางกลุ่มเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวใหม่ในประวัติศาสตร์ของชีวิตบนโลกอีกด้วย
1️⃣6️⃣มนุษย์วิวัฒนาการ
ยุคแอนโทรโปซีน​ วิวัฒนาการของมนุษย์ จุดเล็กๆ
บนเส้นเวลายิ่งใหญ่ของโลก (ยุคแอนโทรโปซีน)
เมื่อพิจารณาจากประวัติศาสตร์ทั้งหมดของโลกที่ยาวนานกว่า 4.6 พันล้านปี การปรากฏตัวของมนุษย์นั้นเกิดขึ้นเพียงในช่วงเวลาอันสั้นสุดแสนจะเล็กน้อย หากเราย่ออายุของโลกทั้งหมดให้เหลือเพียง 12 ชั่วโมง มนุษย์จะปรากฏตัวขึ้นในเวลา 11 ชั่วโมง 59 นาที 58 วินาที นั่นคือแค่ 2 วินาทีก่อนเที่ยงคืน
ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า มนุษย์เป็นเพียงจุดเล็กๆ
บนเส้นเวลาที่ยิ่งใหญ่ของโลกเท่านั้น
แม้จะใช้เวลาไม่นานบนโลกใบนี้ แต่มนุษย์โดยเฉพาะสายพันธุ์ "Homo sapiens" ก็ได้สร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม และชั้นบรรยากาศของโลกอย่างรุนแรง ทั้งผ่านการเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศ การสร้างสังคมอุตสาหกรรม การใช้น้ำมันและถ่านหิน ไปจนถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับมหาศาลที่เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
อย่างไรก็ตาม ควรเข้าใจว่า วิวัฒนาการไม่มีเป้าหมาย ไม่ได้มุ่งหมายให้มนุษย์เกิดขึ้นหรือครองโลก เราเป็นเพียงหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่วิวัฒนาการขึ้นมาโดยบังเอิญจากแรงกดดันของธรรมชาติในช่วงเวลาหนึ่ง และกระบวนการวิวัฒนาการจะยังดำเนินต่อไปไม่ว่าเราจะอยู่หรือสูญพันธุ์ก็ตาม
เมื่อมองย้อนกลับจากอนาคต มนุษย์อาจเป็นเพียงบทสั้นๆ ในเรื่องราวยาวนานของโลก แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ มนุษย์ได้ทิ้งรอยประทับไว้ลึกยิ่ง ทั้งดีและเลว
ต่อระบบโลก ดังนั้น ไม่ว่าจะในฐานะผลผลิตของธรรมชาติหรือผู้สร้างผลกระทบมหาศาล การปรากฏตัวของมนุษย์คือบทบาทที่สำคัญบทหนึ่งในมหากาพย์ของโลกใบนี้
1️⃣7️⃣ ยุคแอนโทรโปซีน
รอยเท้ามนุษย์ในประวัติศาสตร์โลก
ยุคแอนโทรโปซีน (Anthropocene) เป็นชื่อที่
นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มเสนอขึ้นเพื่อใช้เรียกยุคใหม่ทางธรณีวิทยาที่อาจเริ่มต้นขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงเวลานี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่มนุษย์เริ่มสร้างผลกระทบต่อระบบโลกอย่างชัดเจนและรวดเร็ว เช่น การเพิ่มขึ้นของประชากรอย่างมหาศาล การเร่งขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่ยั้งคิด ซึ่งทั้งหมดนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเร่งด่วน
หนึ่งในหลักฐานสำคัญที่ถูกเสนอเพื่อสนับสนุนแนวคิดเรื่องยุคแอนโทรโปซีน คือการมีอยู่ของ "พลาสติ" ที่กระจายตัวอยู่ทั่วโลก ทั้งในแหล่งน้ำ ดิน และแม้กระทั่งในร่างกายสัตว์ พอลิเมอร์สังเคราะห์เหล่านี้จะคงอยู่ในธรรมชาติไปอีกหลายพันปี และอาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของชั้นหินและเปลือกโลกในอนาคต ข้อมูลจากนักธรณีวิทยาระบุว่า เศษพลาสติกที่สะสมอยู่ในตะกอนทะเล ชั้นดิน และแหล่งน้ำ จะกลายเป็นสัญลักษณ์ทางธรณีวิทยาของยุคมนุษย์
นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณชัดเจนอื่นๆ ที่สนับสนุนการนิยามยุคใหม่ เช่น การปล่อยสารกัมมันตรังสีจากการทดสอบนิวเคลียร์ การสะสมของโลหะหนักและมลพิษในชั้นหิน และการเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อนขึ้นในอัตราที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์โลก ความร้อนนี้ส่งผลให้เกิดการละลายของธารน้ำแข็ง การเปลี่ยนแปลงของระบบภูมิอากาศทั่วโลก และอัตราการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่สูงผิดปกติ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งที่หกในประวัติศาสตร์โลก
แม้ว่าแนวคิดเรื่องยุคแอนโทรโปซีนจะได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวาง แต่องค์กรด้านธรณีวิทยาระหว่างประเทศ เช่น International Commission on Stratigraphy (ICS) ยังไม่ได้ยอมรับอย่างเป็นทางการให้ถือว่าเป็นยุคทางธรณีวิทยาใหม่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการกำหนดยุคใหม่ต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนในชั้นหิน และการตกลงกันในระดับวิชาการโลกซึ่งยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา แต่หลายฝ่ายคาดว่าภายในไม่กี่ปีข้างหน้า อาจมีการยอมรับการกำหนดนี้อย่างเป็นทางการ
โฆษณา