Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ฐานเศรษฐกิจ_Thansettakij
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
23 เม.ย. เวลา 05:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
อเมริกา...ทำไมใช้กลยุทธ์ทรมานตน???
ที่ผ่านมาเจ๊เมาธ์พูดถึงแต่มุมมองของจีน หรือ ประเทศอื่นที่ถูกสหรัฐอเมริกาขึ้นภาษี แต่ยังไม่ได้พูดถึงมุมมองที่ว่า ทำไมสหรัฐอเมริกา จึงประกาศสงครามการค้า (Trade War) ด้วยการขึ้นภาษีศุลกากร (Tariff) กับทุกประเทศในโลก ไม่ว่าประเทศเหล่านั้นจะเป็นพันธมิตร เป็นคู่แข่ง หรือ แม้แต่เป็นศัตรู จนอาจทำให้เกิดความเสียหายจนส่งผลให้ในระยะสั้นสินค้าในสหรัฐฯ ถูกปรับเพิ่มราคาสูงขึ้นตามมูลค่าของภาษีที่จัดเก็บ อาจส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ
2
รวมไปถึงอาจเป็นการผลักดันมิตรที่มีอยู่ให้เปลี่ยนไปเป็นแค่คู่ค้า...คนรู้จัก หรือ แม้แต่อาจกลายเป็นศัตรู!!!
สหรัฐอเมริกาทั้งที่รู้ว่ามีแต่เสียกับเสีย แต่ยังทำ...โดยที่ไม่สนใจใคร
อย่างแรก... เป็นเรื่องของคำมั่นสัญญาในระหว่างการหาเสียงเพื่อเลือกตั้งประธานาธิบดี ซึ่งตอนนั้น นายโดนัลด์ ทรัมป์ เคยประกาศว่า จะนำพาความยิ่งใหญ่กลับมาสู่อเมริกาอีกครั้ง (Make America Gret Again) จนภายหลังเมื่อสามารถคุมเสียงส่วนใหญ่ได้ทั้ง 2 สภา ทำให้ทรัมป์กล้าที่จะเดินตามความเชื่อที่ประกาศมาตลอดว่า การขึ้นภาษีศุลกากร (Tariff) เป็นวิธีที่ทรงประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ ให้กลับมายิ่งใหญ่ได้หลังขาดดุลการค้ามานานโดยที่ไม่สนใจโลก หรือ สนใจใคร
อย่างที่สอง... สำหรับประเทศมหาอำนาจที่ครองอำนาจมาเกือบ 100 ปี นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง รวมถึงการมีขนาดของ GDP ที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในโลก จนถึงขั้นที่เมื่อนำประเทศที่มีสัดส่วนของ GDP อันดับที่ 3-10 ของโลก เข้ามารวมกัน โดยไม่นับรวม “ประเทศจีน” ซึ่งมีมูลค่าของ GDP ที่ใหญ่เป็นลำดับที่สองเข้าไป ก็จะพบว่า อันดับที่ 3-10 ที่ว่ามีขนาดของ GDP เล็กกว่าสหรัฐ
ขณะเดียวกัน การเป็นประเทศผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่นำโดยประธานาธิบดี ที่มีแนวคิดแบบ “สุดโต่ง” อย่าง “โดนัลด์ ทรัมป์” ทำให้เกิดความเชื่อที่ว่า การกำหนดทิศทางของโลก (World Order) สมควรที่จะต้องอยู่ภายใต้การชี้นำของสหรัฐอเมริกาต่อไปอีกนาน
1
อย่างที่สาม... จากตัวเลขล่า สุดพบว่า สหรัฐอเมริกาขาดดุลการค้าโลกอยู่ราว 1 ล้านล้านเหรียญฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศจีน ซึ่งจากเดิมเป็นเพียง “หุ่นที่ถูกปั้น” ขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับการคานอำนาจของสหภาพโซเวียต (Union of Soviet Socialist Republics: USSR) เมื่อหลายสิบปีก่อน ที่มาในตอนนี้จีนเติบโตขึ้นมาเป็นคู่แข่งของอเมริกาในแทบทุกด้าน
1
โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ทางการค้าระหว่างประเทศของจีน ที่กระจายไปทั่วโลก ได้กลายเป็นแหล่งกำเนิดของเงินทุนที่รัฐบาลจีน สามารถนำไปต่อยอดเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี และพัฒนาการทหาร จนถูกมองว่าจีนได้กลายเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐ และนั่นจึงทำให้โฟกัสหลักของสงครามการค้าที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ มุ่งเป้าไปที่จีนเป็นหลักนั่นเอง
1
อย่างที่สี่... เป็นเรื่องของความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical) ซึ่งขณะนี้กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสงคราม รัสเซีย-ยูเครน สงครามอิสราเอล-ฮามาส ซึ่งเกี่ยวพันไปถึงกลุ่มฮูตี ในเยเมน รวมไปถึงความขัดแย้งของอิสราเอลและอิหร่าน สงครามและความขัดแย้งทั้งหลายเหล่านี้ มีเงาของรัสเซีย เกาหลีเหนือ และ จีน ซึ่งประเทศเหล่านี้มีรูปแบบการปกครองที่คล้ายกันซ้อนทับอยู่
โดยเฉพาะในกรณีของเกาะไต้หวัน ซึ่งจีนมีแนวโน้มว่าอาจเข้าไปยึดครองในเวลาอีกไม่นาน เนื่องจากจีนยืนยันมาตลอดว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน และเนื่องจากเกาะไต้หวันเป็นฐานการผลิต Semiconductor ที่ใหญ่ และทันสมัยที่สุดของโลก ดังนั้นหากจีนเข้าไปยึดครองเกาะไต้หวัน ก็จะส่งผลกระทบโดยตรงกับผลประโยชน์ของหรัฐ โดยตรง
ท้ายที่สุด... แม้ว่าการขึ้นภาษีศุลกากร (Tariff) จากทุกประเทศทั่วโลก จะทำให้สินค้าส่วนใหญ่ที่สหรัฐอเมริกา นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศมีราคาสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค ซึ่งก็หนีไม่พ้นไปจากคนอเมริกัน จะต้องเจ็บตัว และมีปัญหาจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ
ขณะเดียวกัน การขึ้นภาษีก็จะส่งผลกระทบไปยังประเทศพันธมิตร และประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ เพราะไม่สามารถแข่งขันกับผู้ผลิตในท้องถิ่น จนส่งผลต่อการผลิต การจ้างงาน และค่าครองชีพ รวมไปจนถึงอาจทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ ที่สูงขึ้นตามภาวะเศรษกิจที่ตกต่ำ ซึ่งก็หมายความไปถึงว่า กลยุทธ์การขึ้นภาษีศุลกากร (Tariff) จะทำให้ทั้งสหรัฐ และพันธมิตรต้องเจ็บตัวทุกฝ่ายนั่นเอง
ทั้งที่รู้ว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่จะทำให้ตัวเองเจ็บ ทำให้เพื่อนและพันธมิตรของตัวเองก็ต้องเจ็บ ...แล้วทำไม่สหรัฐฯ จึงยังทำ !!!
อย่างแรก... ถึงแม้การขึ้นภาษีศุลกากร (Tariff) จะสร้างผลกระทบเป็นวงกว้างในระยะสั้น แต่หากมองกันยาว ก็จะพบว่าเมื่อสินค้านำเข้ามีราคาสูงขึ้น จะทำให้อุตสาหกรรมการผลิตทั้งหลายในแทบทุกห่วงโซ่การผลิต จำเป็นจะต้องกลับเข้ามาอยู่ในแผนดินของสหรัฐ ส่งผลให้สหรัฐ ไม่จำเป็นที่จะต้องนำเข้าสินค้าหรือ หากนำเข้า ก็เฉพาะแต่ที่จำเป็น
ขณะที่ในระยะยาวจะส่งผลต่อการจ้างงานและเปลี่ยนให้สหรัฐ ซึ่งจากเดิมเคยเป็นผู้บริโภครายใหญ่ของโลก เปลี่ยนมาเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก และนั่นก็ยังหมายความไปถึงว่า สหรัฐ จะเปลี่ยนตัวเองจากประเทศที่เคยขาดดุล กลายมาเป็นได้ดุลการค้าจากทั่วโลกนั่นเอง
อย่างที่สอง... หากพิจารณาให้ดีจะพบว่า การดึงอุตสาหกรรมการผลิตกลับเข้าไปอยู่ในประเทศทั้งหมดของสหรัฐอเมริกา มีลักษณะของการ “ปิดประเทศ” อยู่กลายๆ ซึ่งการปิดประเทศที่ว่านี้มีแนวโน้มสอดคล้องไปกับประเด็นเรื่องของความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical) ระหว่างสหรัฐอเมริก กับ จีน และพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับจีนโดยตรง
ไม่ต้องว่ากันไปถึงความขัดแย้งที่ถึงขั้นของการใช้อาวุธ เอาแค่ความขัดแย้งที่ว่านี้ ส่งผลให้การทำธุรกิจและการค้าขายระหว่างกันถูกระงับ หรือ อาจลากยาวไปจนถึงการแบ่งโลก ออกเป็นสองขั้ว จนเหลือเพียงสหรัฐ และ จีน เพียงสองฝั่ง ก็จะพบว่าสหรัฐ ยังสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง โดยที่ไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาโลกภายนอก จึงส่งผลดีในระยะยาวต่อสหรัฐอเมริกา โดยตรงอย่างไม่ต้องสงสัย...
1
2
ที่เจ๊เมาธ์ว่ามาทั้งหมด จึงกลายเป็นคำตอบของคำถามที่ถามว่า “อเมริกา...ทำไมใช้กลยุทธ์ทรมานตน” นั่นเองเจ้าค่ะ
4 บันทึก
11
3
4
4
11
3
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย