เสียงวิงวอนสุดท้าย

เสียงระเบิดยังคงก้องในกาซา เสียงไซเรนยังคงปลุกผู้คนในยูเครนยามค่ำคืน เด็กในซูดานยังคงหนีตายผ่านซากปรักหักพัง ผู้ลี้ภัยจากเมียนมายังคงนั่งเงียบงันบนเรือเล็กกลางทะเล…
นี่คือภาพจริงของโลกในวันที่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงส่งเสียงเรียกร้องสันติภาพครั้งสุดท้าย ก่อนสิ้นพระชนม์เพียงวันเดียว
แม้พระองค์จะตรัสด้วยเสียงแผ่วเบา ผ่านริมระเบียงมหาวิหารนักบุญเปโตรในวันอีสเตอร์ แต่ถ้อยคำของพระองค์กลับดังกึกก้องไปไกลกว่ากำแพงวาติกัน
“ข้าพเจ้าขอวิงวอนต่อทุกฝ่ายที่ทำสงคราม: จงหยุดยิง ปล่อยตัวตัวประกัน และช่วยเหลือประชาชนที่กำลังอดอยาก ผู้ซึ่งยังคงเฝ้ารอวันแห่งสันติภาพในอนาคต!”
สารอีสเตอร์ฉบับสุดท้ายนั้นไม่ใช่แค่คำอวยพรรับเทศกาล แต่คือเสียงสะท้อนจากใจผู้นำทางศาสนาที่เฝ้ามองโลกกำลังถูกไฟสงครามเผาผลาญ ตั้งแต่ยูเครน ปาเลสไตน์-อิสราเอล เมียนมา ซูดาน เยเมน จนถึงดินแดนที่ชื่อไม่ถูกกล่าวถึง แต่ผู้คนยังคงตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง
พระองค์ไม่ได้เพียงกล่าวถึงชื่อประเทศ แต่ทรงเอ่ยถึง
“ชีวิตจริง”
เด็ก ๆ ที่สูญเสียบ้าน ผู้สูงอายุที่ไร้ที่พึ่ง ครอบครัวที่แตกสลายจากการทิ้งระเบิด โรงเรียนที่ถูกเปลี่ยนเป็นซากเหล็ก โรงพยาบาลที่กลายเป็นเป้าหมายโจมตี พระองค์ทรงห่วงใยผู้คนที่โลกหลงลืม โดยเฉพาะผู้เปราะบางที่ไร้อำนาจต่อรอง
พระสันตะปาปาฟรานซิสยังเน้นชัดว่า สันติภาพไม่ได้เกิดจากความเงียบของปากกระบอกปืนเท่านั้น แต่ต้องเริ่มจาก
“หัวใจของมนุษย์”
ที่พร้อมจะเปิดรับความต่าง เคารพเสรีภาพความคิด เสรีภาพศาสนา และปล่อยวางความกลัวที่ขับเคลื่อนโลกเข้าสู่การสะสมอาวุธไม่รู้จบ
แม้ในช่วงสุดท้ายที่พระองค์ต้องให้ผู้อื่นอ่านสารแทนเพราะพระวรกายอ่อนแรง พระองค์ยังคงเลือกใช้คำว่า
“อาวุธแห่งสันติภาพ”
ไม่ใช่ขีปนาวุธ ไม่ใช่กำลังทหาร แต่คือความเมตตา การช่วยเหลือ การเจรจา และความไว้วางใจระหว่างมนุษย์
สารของพระองค์ไม่ได้จบลงแค่คำวิงวอน หากแต่เป็นคำขอร้องสุดท้ายจากผู้นำศาสนาที่ใช้ชีวิตทั้งชีวิตเพื่อสันติภาพ
“จงใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ขาดแคลน ต่อสู้กับความหิวโหย และสนับสนุนโครงการที่ส่งเสริมการพัฒนา”
เพราะในสายตาของพระองค์ ความหวังไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน แต่มันเริ่มได้ที่เราเลือกจะไม่เพิกเฉยต่อเสียงร่ำไห้ของผู้บริสุทธิ์
…และนี่คือเสียงเรียกร้องที่พระองค์ฝากไว้กับโลก ก่อนจะทรงจากไปในวันรุ่งขึ้น เงียบงัน ทว่ายังคงกึกก้อ
โฆษณา