Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
BeautyInvestor
•
ติดตาม
23 เม.ย. เวลา 05:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
Secondary Tariff: ไพ่เด็ดสหรัฐฯ ที่ทำให้จีนต้องออกมาดิ้น? 🇺🇸💥🇨🇳
สวัสดีค่ะแฟนเพจที่น่ารักทุกคน! วันนี้มีประเด็นร้อนๆ จากสงครามการค้า สหรัฐฯ-จีน มาอัปเดตกันค่ะ
ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะยังไม่จบง่ายๆ แถมล่าสุดมี "อาวุธ" ชิ้นใหม่ที่สหรัฐฯ อาจกำลังนำมาใช้กดดันจีน ที่หลายคนมองว่าอาจเป็น "ไพ่เด็ด" เลยทีเดียว นั่นคือ "Secondary Tariff" หรือ "ภาษีทุติยภูมิ" ค่ะ 🇺🇸💥🇨🇳
แถมตอนนี้ จีนก็ออกมาดิ้นแล้วเช่นกัน โดยออกมาขู่ฟ่อๆว่า ถ้าประเทศไหนร่วมมือกับสหรัฐฯ จีนจะตอบโต้อย่างเด็ดขาดเช่นกัน 🔥
🎯 ทำความรู้จัก "Secondary Tariff" อาวุธใหม่ที่อาจทำให้จีนปั่นป่วน?
หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับภาษีนำเข้าปกติ (Primary Tariff) ที่สหรัฐฯ ตั้งกำแพงเก็บจากสินค้าที่มาจากจีนโดยตรงใช่ไหมคะ? แต่เจ้า Secondary Tariff นี่มันล้ำและอาจจะ "เจ็บ" กว่านั้นเยอะเลยค่ะ!
1
👉🏻 ภาษีปกติ (Primary Tariff): สหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้าที่นำเข้าจาก จีน โดยตรง 🇨🇳➡️🇺🇸
👉🏻 ภาษีทุติยภูมิ (Secondary Tariff): อันนี้คือการที่สหรัฐฯ ไม่ได้เล่นงานจีนตรงๆ แต่หันไป "ลงโทษประเทศที่สาม" (อาจจะเป็นบริษัท หรือประเทศอื่นๆ ทั่วโลก 🌍) ที่ยังคงทำธุรกรรมหรือค้าขายกับจีน ในสินค้าหรือภาคส่วนที่สหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำไว้!
พูดง่ายๆ ก็เหมือนสหรัฐฯ ประกาศว่า "ใครก็ตาม! ถ้ายังดีลกับจีนในเรื่องที่เราแบนอยู่ คุณก็จะโดนเราขึ้นภาษีหรือคว่ำบาตรไปด้วยนะ!" 😱
⚠️ ทำไม Secondary Tariff ถึงทำให้จีนต้อง "เดือดร้อน"?
คำถามสำคัญคือ แล้วทำไมเครื่องมือนี้ถึงถูกมองว่าเป็น "ไพ่เด็ด" ที่ทำให้จีนต้องออกมาเคลื่อนไหวอย่างหนัก หรือ "เดือดร้อน" จนต้องออก action หลังจากที่นิ่งๆ มานาน
เหตุผลหลักๆ คือ
1️⃣ กดดันทางอ้อม แต่โดนเต็มๆ
สหรัฐฯ ไม่ต้องปะทะกับจีนซึ่งๆ หน้า แต่สร้างแรงกดดันผ่านคู่ค้าทั่วโลก บีบให้บริษัทหรือประเทศต่างๆ ต้องเลือกว่าจะค้าขายกับสหรัฐฯ หรือจะเสี่ยงทำธุรกรรมกับจีนในส่วนที่สหรัฐฯ เพ่งเล็ง ซึ่งแน่นอนว่าตลาดสหรัฐฯ ก็ใหญ่เกินกว่าที่หลายคนจะยอมเสี่ยง
2️⃣ กระทบวงกว้าง ลึกถึงการเงิน
มาตรการนี้ไม่ได้จำกัดแค่เรื่องสินค้าเหมือนภาษีทั่วไป แต่อาจลามไปถึงภาคบริการและการเงินด้วย ทำให้จีนมีความเสี่ยงที่จะถูกโดดเดี่ยวทางเศรษฐกิจและการเงินมากขึ้นไปอีก
3️⃣ จีนตอบโต้ได้ยาก
จุดนี้สำคัญมาก! เพราะสหรัฐฯ ไม่ได้ขึ้นภาษีกับจีนโดยตรง แต่ไปเล่นงานประเทศอื่นแทน ทำให้จีนจะหาเหตุผลมาตอบโต้สหรัฐฯ แบบตาต่อตาฟันต่อฟันได้ลำบากขึ้น สิ่งที่จีนทำได้อาจเป็นการแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรง และพยายามล็อบบี้ประเทศที่สามไม่ให้ทำตามแรงกดดันของสหรัฐฯ แทน
👉🏻 ด้วยเหตุผลเหล่านี้ Secondary Tariff จึงถูกมองว่าเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังและอาจสร้างความปั่นป่วนให้จีนได้มากกว่ากำแพงภาษีแบบเดิมๆ ค่ะ
‼️ แล้วทำไมสหรัฐฯ ถึงอาจต้องงัดไพ่ใบใหม่อย่าง Secondary Tariff ออกมา? คำตอบซ่อนอยู่ในปัญหาของกำแพงภาษีแบบเดิมค่ะ!
ลองนึกภาพตามนะคะ... สหรัฐฯ ตั้งกำแพงภาษีสูงลิ่ว (Primary Tariff) กับสินค้า "Made in China" โดยตรง ตั้งแต่ปี 2018 หวังจะลดการนำเข้าจากจีน ปกป้องอุตสาหกรรมในบ้าน และกดดันจีนเรื่องต่างๆ ใช่ไหมคะ?
ในตอนนั้นภาษีเฉลี่ยพุ่งจากแค่ราวๆ 2.7% ไปเป็นกว่า 17.5% เลยทีเดียว‼️
แต่กำแพงภาษีที่ตั้งไว้สูงแค่ไหน ก็ยังมี "ช่องโหว่" ค่ะ ผู้ส่งออกจีนและผู้เกี่ยวข้องก็หัวใสพอที่จะหาทาง "เลี่ยงกำแพง" ด้วยกลยุทธ์ที่เรียกว่า "Transshipment" หรือการ "ส่งสินค้าอ้อมผ่านประเทศที่สาม"
🛳️ Transshipment ทำงานยังไงถึงบั่นทอนกำแพงภาษีเดิม?
👉🏻 เปลี่ยนเส้นทาง: แทนที่จะส่งตรงจากจีน 🇨🇳 ไปสหรัฐฯ 🇺🇸 ก็ส่งไป "แวะ" ประเทศอื่นก่อน เช่น เวียดนาม 🇻🇳, เม็กซิโก 🇲🇽 หรือแม้แต่ไทย 🇹🇭
👉🏻 เปลี่ยนสัญชาติสินค้า (บนกระดาษ): พอถึงประเทศทางผ่าน ก็อาจจะแค่ แพ็คของใหม่, เปลี่ยนฉลาก หรือ แปรรูปเพียงเล็กน้อย พอให้เข้าเกณฑ์ (หรือแกล้งทำให้เข้าเกณฑ์) ว่าสินค้าชิ้นนั้นกลายเป็น "Made in Vietnam" หรือ "Made in Mexico" ไปแล้ว
👉🏻 เข้าสหรัฐฯ แบบภาษีต่ำ: จากนั้นก็ส่งสินค้าที่ "แปลงสัญชาติ" แล้วต่อไปยังสหรัฐฯ ซึ่งก็จะเสียภาษีในอัตราปกติ หรืออัตราพิเศษของประเทศทางผ่าน แทนที่จะโดนภาษีมหาโหดที่ตั้งไว้สำหรับสินค้าจีนโดยตรง
ผลลัพธ์คือ... กำแพงภาษีเดิม "รั่ว”‼️
📊 สถิติมันฟ้องได้ชัดเจนมากจริงๆ ค่ะ ลองดูตัวเลขเหล่านี้
👉🏻 นำเข้าตรงจากจีนลดลง (ตามเป้า...แต่แค่ผิวเผิน)
ตัวเลขทางการบอกว่า สัดส่วนสินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้า โดยตรง จากจีน ลดลงอย่างเห็นได้ชัด จาก 21.6% ของการนำเข้าทั้งหมดในปี 2018 เหลือเพียง 13.4% ในปี 2024 ดูเผินๆ เหมือนกำแพงภาษีได้ผลใช่ไหมคะ? แต่เดี๋ยวก่อน... เพราะตัวเลขนี้ไม่ได้สะท้อนภาพทั้งหมดค่ะ
⚠️ แต่ยอดนำเข้าจาก "ประเทศทางผ่าน" พุ่งสวนทาง ตัวอย่างเช่น
🇻🇳 เวียดนาม: กลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง การนำเข้าของสหรัฐฯ จากเวียดนามเพิ่มมหาศาล ทำให้เวียดนามเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงถึง 123,500 ล้านดอลลาร์ ในปี 2024 (ตัวเลขนี้พุ่งขึ้นเกือบ 3 เท่าเทียบกับปี 2017 ก่อนสงครามการค้าเต็มรูปแบบ!) จนกลายเป็นประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าด้วยมากเป็นอันดับ 3 รองแค่จีนกับเม็กซิโกเท่านั้น 🇻🇳📈
🇲🇽 เม็กซิโก: ได้รับอานิสงส์เต็มๆ จากการอยู่ติดสหรัฐฯ และข้อตกลงการค้าเสรี (USMCA) ถึงขั้นแซงหน้าจีน กลายเป็น ประเทศที่สหรัฐฯ นำเข้าสินค้ามากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2024 (มูลค่ากว่า 115,000ล้านดอลลาร์ เทียบกับจีนที่ไม่ถึง 100,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกัน) 🇲🇽🥇
‼️ และหลักฐานชิ้นสำคัญคือ ช่องว่างข้อมูล" ปริศนามูลค่ากว่า $100,000 ล้านดอลลาร์!
โดยทางด้านธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ไปเจอเรื่องน่าสงสัยค่ะ คือตัวเลขที่ จีนรายงาน ว่าส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ มันดัน สูงกว่า ตัวเลขที่ สหรัฐฯ รายงาน ว่านำเข้าสินค้าโดยตรงจากจีน อยู่ถึงกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี
🤔 คำถามคือ สินค้ามูลค่ามหาศาลนี้มัน "หายไปไหน" จากสถิติฝั่งสหรัฐฯ?
คำตอบที่ชัดเจนที่สุดก็คือ... มันไม่ได้หายค่ะ แต่มันถูก "อ้อม" เข้ามาผ่านประเทศที่สามนั่นเอง ซึ่งเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ของปรากฏการณ์ Transshipment ที่เกิดขึ้นจริงในสเกลที่ใหญ่มาก‼️
💊 เมื่อยาเดิมเริ่ม "ดื้อยา"... ก็ต้องหายาใหม่
ปรากฏการณ์ Transshipment ในสเกลใหญ่ขนาดนี้ มันกัดเซาะประสิทธิผลของกำแพงภาษีเดิมอย่างรุนแรงค่ะ ทำให้เป้าหมายที่สหรัฐฯ ตั้งใจไว้ ไม่ว่าจะเป็นการลดขาดดุล ลดการพึ่งพาจีน หรือปกป้องผู้ผลิตในประเทศ มันก็ไม่บรรลุผลเต็มที่ เพราะสุดท้ายแล้ว สินค้าจีน (ในคราบสัญชาติอื่น) ก็ยังคงไหลเข้าตลาดสหรัฐฯ ได้อยู่ดี
นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ อาจต้องมองหาเครื่องมือที่ "แรงกว่า" และ "อุดรูรั่ว" ได้ดีกว่าเดิม อย่าง Secondary Tariff ซึ่งไม่ได้เล็งไปที่ตัวสินค้าโดยตรง แต่เล็งไปที่ "พฤติกรรม" การทำธุรกรรมกับจีนแทน เพื่อปิดช่องทางการค้าที่กำแพงภาษีแบบเดิมเอาไม่อยู่นั่นเองค่ะ
1
⚠️ ผลกระทบและความท้าทายต่อจากนี้
ไม่ว่าจะเป็น Transshipment หรือ Secondary Tariff ล้วนส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง เช่น
👉🏻 บั่นทอนประสิทธิภาพนโยบาย: ทำให้เป้าหมายเดิมๆ ของสหรัฐฯ ไม่สำเร็จเท่าที่ควร
👉🏻 ความซับซ้อนในการบังคับใช้: พิสูจน์แหล่งกำเนิดจริงยาก ตรวจจับการเลี่ยงภาษีลำบาก
👉🏻 ความตึงเครียดระหว่างประเทศ: สหรัฐฯ อาจต้องกดดันประเทศทางผ่านมากขึ้น (ซึ่งรวมถึงไทยด้วย!)
🎯 ดังนั้นแล้วนโยบายการค้าในยุคทรัมป์ 2.0 มันจะซับซ้อนมากขึ้นค่ะ การพยายามใช้กำแพงภาษีสกัดกั้นประเทศหนึ่ง อาจนำไปสู่การปรับตัวและกลยุทธ์ใหม่ๆ ที่คาดไม่ถึงเสมอ และการเกิดขึ้นของแนวคิด Secondary Tariff ก็เป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งของเรื่องนี้
สิ่งที่ต้องจับตาคือ สหรัฐฯ จะนำ Secondary Tariff มาใช้จริงจังแค่ไหน? ถ้าใช้จริง ประเทศอย่างเราที่ค้าขายกับทั้งสองมหาอำนาจ จะต้องปรับตัวอย่างไร? แล้วจีนจะมีไม้เด็ดอะไรมาแก้เกมนี้หรือไม่?
เพื่อนๆ ล่ะคะ คิดว่า Secondary Tariff จะเป็นเครื่องมือที่เปลี่ยนเกมได้จริงหรือเปล่า? หรือสุดท้ายแล้วจะมีช่องทางให้หลบเลี่ยงได้อีก? มาแชร์มุมมองกันได้นะคะ! 🗣️
หุ้น
เศรษฐกิจ
การลงทุน
6 บันทึก
13
5
5
6
13
5
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย