23 เม.ย. เวลา 12:35 • หุ้น & เศรษฐกิจ

🇮🇳 อินเดียยืนหนึ่ง ท่ามกลางพายุสงครามการค้า

ในขณะที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับหลายประเทศ โดยเฉพาะจีน กำลังสร้างความผันผวนไปทั่วโลก ทั้งตลาดหุ้นและรัฐบาลต่างก็ปั่นป่วน แต่ดูเหมือนว่า "อินเดีย" จะเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่รับมือกับสถานการณ์นี้ได้ค่อนข้างดี ทั้งในแง่เศรษฐกิจและการเมืองค่ะ
1
💪🏻 ทำไมอินเดียถึงแกร่ง?
1
1️⃣ พึ่งพาการส่งออกน้อย: จุดแข็งสำคัญของอินเดียคือ เศรษฐกิจไม่ได้พึ่งพาการส่งออกมากเท่าประเทศอื่นๆ พอสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้า อินเดียก็เลยไม่ค่อยเจ็บตัวเท่าไหร่ เพราะฐานการส่งออกยังถือว่าเล็กเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจโดยรวมค่ะ
2️⃣ ภาษีต่ำกว่าคู่แข่ง: ที่สำคัญ ภาษีนำเข้าที่ทรัมป์เล็งจะเก็บจากสินค้าอินเดียอยู่ที่ราวๆ 26% ซึ่งถือว่าน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับคู่แข่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเวียดนาม ที่เจอขู่ว่าจะโดนเก็บถึง 46% ทำเอาโรงงานที่ผลิตสินค้าส่งไปอเมริกาถึงกับวุ่นวายกันเลยทีเดียว
2
3️⃣ ตลาดในประเทศใหญ่เบิ้ม: ด้วยประชากรกว่า 1.4 พันล้านคน ตลาดในประเทศของอินเดียจึงใหญ่มากพอที่จะเป็นกันชนรองรับผลกระทบจากภายนอกได้ดี ถึงแม้เศรษฐกิจโลกจะดูซบเซาจนหลายประเทศเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) แต่อินเดียก็ยังคาดว่าจะเติบโตได้มากกว่า 6% ในปีนี้ค่ะ แม้จะน้อยกว่าปีก่อน แต่ก็ยังนับว่าเติบโตเร็วที่สุดในบรรดาประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ด้วยกัน
4️⃣ ความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ: ดูเหมือนว่าสหรัฐฯ จะให้ความสำคัญกับอินเดียเป็นพิเศษในการเจรจาการค้า เห็นได้จากการที่รองประธานาธิบดี เจ.ดี. แวนซ์ เดินทางไปเยือนกรุงนิวเดลีและเข้าพบนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังมีผลประโยชน์ร่วมกันในการคานอำนาจของจีนในภูมิภาค
1
🏭 อินเดียในฐานะ "โรงงานของโลกแห่งใหม่"?
เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนยังคงตึงเครียด อินเดียก็ใช้จังหวะนี้เสนอตัวเองเป็นทางเลือกใหม่สำหรับเงินทุนและการลงทุนต่างๆ ที่เคยไหลไปจีน อินเดียกำลังวางตำแหน่งตัวเองให้เป็น "โรงงานของโลกแห่งใหม่" (Next "Factory to the World") และมหาอำนาจที่กำลังเติบโตภายใต้การนำของโมดี ที่ต้องการมีบทบาทในเวทีโลกมากขึ้น
1
📊 ตลาดการเงินอินเดียคึกคัก
ความเชื่อมั่นนี้สะท้อนออกมาในตลาดการเงินของอินเดียค่ะ
* หุ้น: ดัชนีตลาดหุ้นหลัก NSE Nifty 50 พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน
* ค่าเงิน: เงินรูปีแข็งค่าที่สุดในปีนี้
* ฟื้นตัวเร็ว: ตลาดหุ้นอินเดียลบผลขาดทุนที่เกิดจากประกาศขึ้นภาษีของทรัมป์ได้หมดเกลี้ยง กลายเป็นตลาดใหญ่แห่งแรกที่ฟื้นตัวกลับมาได้ (แม้ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะราคาหุ้นปรับตัวลงไปเยอะก่อนหน้านั้นแล้ว)
* พันธบัตร: ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (Benchmark 10-year yields) ลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี
2
ผู้บริหารจาก Citigroup ถึงกับบอกว่าอินเดียมีความ "ยืดหยุ่นเป็นพิเศษ" (Uniquely resilient) ต่อความผันผวนในยุคนี้ เพราะบริษัทอินเดียส่วนใหญ่มีหนี้สินไม่มากนัก (Unlevered balance sheets) แถมยังมีเงินทุนจากกองทุน Private Equity และ Sovereign Wealth Funds รอลงทุนอยู่เพียบ
🚢 โอกาสทองจาก Supply Chain ที่เปลี่ยนไป
พอสงครามการค้าทำให้ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chains) ทั่วโลกปั่นป่วน อินเดียก็เริ่มมองหาโอกาสทันทีค่ะ มีตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่น
✈️ Air India: กำลังพิจารณาซื้อเครื่องบิน Boeing ที่สายการบินจีนปฏิเสธ
🤳🏻 Google: กำลังเจรจาย้ายฐานการผลิตสมาร์ทโฟน Google Pixel บางส่วนจากเวียดนามมาอินเดีย
📱 Apple: กำลังปรับแผนใช้ฐานการผลิตในอินเดีย (ซึ่งน่าจะโดนภาษีต่ำกว่าจีน) เพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ
🏦 UBS: ธนาคารยักษ์ใหญ่จากสวิสฯ กำลังโอนธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) ในอินเดียให้กับ 360 One WAM Ltd.
💰 Permira: บริษัทลงทุนรายใหญ่กำลังปรับกลยุทธ์ในเอเชีย ปิดออฟฟิศในฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ แล้วหันมาเน้นอินเดียมากขึ้น
1
🇺🇸🇮🇳ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-อินเดีย กับปัจจัยเรื่องจีน
ดูเหมือนตอนนี้ทั้งสหรัฐฯ และอินเดียจะยอมมองข้ามความขัดแย้งในอดีตบางเรื่องไปก่อน เพราะมีเป้าหมายร่วมกันคือการสร้างสมดุลอำนาจกับจีนในภูมิภาค หลายคนในรัฐบาลอินเดียมองว่าทรัมป์เป็นผู้นำที่น่าจะทำงานด้วยง่ายกว่า ไม่ค่อยวิจารณ์เรื่องความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างอินเดียกับรัสเซีย และไม่ค่อยกดดันเรื่องข้อกล่าวหาที่ว่าอินเดียมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารนักเคลื่อนไหวในต่างแดน
2
ก่อนที่ทรัมป์จะประกาศขึ้นภาษีรอบใหม่ อินเดียก็ทำงานเชิงรุก ตั้งแต่การลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ไปแล้วหลายอย่าง เช่น เหล้าเบอร์เบิน เคมีภัณฑ์ และรถยนต์ และตอนที่สหรัฐฯ ส่งผู้อพยพผิดกฎหมายกลับประเทศ อินเดียก็รับกลับโดยไม่แสดงท่าทีไม่พอใจเหมือนบางประเทศ
1
นอกจากนี้ การเจรจาระหว่างสองประเทศยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งครอบคลุมทั้งเรื่องภาษี การซื้ออาวุธ และพลังงานจากสหรัฐฯ แม้จะยังไม่ชัดเจนว่าอินเดียจะรอดพ้นจากการถูกเก็บภาษีตอบโต้หรือไม่ แต่รองประธานาธิบดีแวนซ์ก็ส่งสัญญาณว่าการเจรจามี "ความคืบหน้าสำคัญ"
1
⚠️ ความท้าทายและอนาคต
แน่นอนว่าเส้นทางข้างหน้าก็ยังมีความท้าทายอยู่ค่ะ เช่น
* ความไม่แน่นอนของทรัมป์: นโยบายของทรัมป์ขึ้นชื่อเรื่องความคาดเดาได้ยาก
* ประวัติศาสตร์: ทรัมป์เองก็เคยวิจารณ์อินเดียว่าเป็น "ราชาภาษี" (Tariff king) ที่ทำให้บริษัทอเมริกันอย่าง Harley-Davidson ทำธุรกิจได้ยาก
* จุดอ่อนเดิม: อินเดียยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างด้านการผลิต เช่น กฎหมายแรงงานที่เข้มงวด ระบบราชการที่เทอะทะ ซึ่งทำให้นักวิเคราะห์มองว่าอินเดียยังไม่น่าจะ "แทนที่" จีนในฐานะศูนย์กลางการผลิตได้ในเร็ววันนี้
🎯 สรุปแล้ว ถึงแม้อินเดียจะมีจุดอ่อนอยู่บ้าง แต่ในสถานการณ์โลกปัจจุบัน อินเดียก็มี "ส่วนผสมที่ลงตัว" ของจุดแข็งหลายอย่างที่ทำให้กลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญได้ ท่ามกลางความผันผวนของสงครามการค้าและการปรับเปลี่ยนสมดุลอำนาจโลก อินเดียกำลังใช้โอกาสนี้สร้างความแข็งแกร่งและเสนอตัวเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนและฐานการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับคู่แข่ง และในสายตาของสหรัฐฯ ที่กำลังมองหาพันธมิตรรายใหญ่ในเอเชีย อินเดียก็ดูจะเป็นตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้ามเลยค่ะ!
1
โฆษณา