24 เม.ย. เวลา 02:30 • ธุรกิจ

รู้จัก Sleep Tourism เทรนด์การท่องเที่ยวใหม่ ที่กำลังมาแรง เน้นนอนสบาย ไม่เที่ยวให้เปลืองแรง

เคยตั้งคำถามกับตัวเองไหมว่า ทำไมบางครั้งการไปเที่ยว ถึงกลายเป็นเรื่องที่เหนื่อยกว่าเดิม ?
3
ทั้งเหนื่อยกับการเดินทาง เหนื่อยกับกิจกรรมที่ทำ หรือเหนื่อยกับการไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ จนแทบไม่ได้พักผ่อนจริง ๆ
เรื่องนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนทั่วโลก จนมีคำว่า “Sleep Tourism” เกิดขึ้นมา
คำว่า Sleep Tourism คืออะไร ?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
2
Sleep Tourism หรือการท่องเที่ยวเพื่อการนอนหลับ ซึ่งเป็นเทรนด์การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ที่กำลังได้รับความนิยมไปทั่วโลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
3
โดยในปี 2024 มีการประเมินว่าตลาด Sleep Tourism มีมูลค่ามากกว่า 23 ล้านล้านบาท และคาดว่าจะเติบโตอีก 13 ล้านล้านบาท ภายในช่วงปี 2024-2028
ซึ่งคำว่า Sleep Tourism นั้น จะไม่ใช่การท่องเที่ยวแบบเดิม ๆ ที่เราคุ้นเคยกัน เช่น การตื่นแต่เช้าเพื่อออกไปยังสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร ออกไปทำกิจกรรมแอดเวนเจอร์ หรือการใช้เวลาตลอดทั้งวันอยู่นอกโรงแรม
แต่ Sleep Tourism คือการท่องเที่ยวที่ให้ความสำคัญกับการนอนหลับ เพื่อพักผ่อน และฟื้นฟูร่างกายได้อย่างเต็มที่
2
สาเหตุที่ทำให้ Sleep Tourism ได้รับความนิยมขึ้นมา ส่วนหนึ่งมาจากกระแสการให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพองค์รวมที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ประกอบกับปัญหาการนอนหลับและการพักผ่อนไม่เพียงพอที่ผู้คนจำนวนมากกำลังเผชิญ
1
ตัวอย่างเช่น ผลการศึกษาด้านคุณภาพการนอนหลับของชาวอเมริกัน จำนวน 2,500 คน พบว่ากว่า 40% มีคุณภาพการนอนที่แย่ลง ในช่วงปี 2020 เป็นต้นมา
1
ในขณะที่คนไทยเอง ก็เคยมีการศึกษาจากกรมสุขภาพจิต ที่พบว่า คนไทยราว ๆ 30-40% นอนหลับไม่เพียงพอ และมีปัญหานอนไม่หลับเรื้อรัง ราว ๆ 10%
3
ปัญหาด้านการนอนหลับที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้คนทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญกับการนอนหลับ ไม่ต่างอะไรจากการรักษาสุขภาพ ด้วยการออกกำลังกาย
ซึ่ง Sleep Tourism ไม่ใช่แค่การท่องเที่ยว ที่เน้นการนอนหลับ โดยไม่ได้ออกไปท่องเที่ยวนอกโรงแรมเพียงอย่างเดียว
แต่จริง ๆ แล้ว Sleep Tourism ยังมีองค์ประกอบอื่น ๆ ที่เสริมสร้างประสบการณ์การนอนหลับที่ดีภายในโรงแรมแบบรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น
- การสร้างสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ภายในโรงแรม ที่เหมาะกับการพักผ่อน
- การเลือกใช้ที่นอน และเครื่องนอนคุณภาพสูง
- การตกแต่งภายในห้องพัก ที่สร้างความรู้สึกผ่อนคลาย
- มีหมอนให้เลือกหลายรูปแบบ ตามความชอบ และสรีระของแขกที่แตกต่างกัน
- มี Ambient Sound ที่สร้างความรู้สึกผ่อนคลายภายในห้องพัก
1
รวมถึงมีสปา และผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับ คอยให้คำแนะนำด้านการนอนหลับให้กับแขกผู้เข้าพักโดยเฉพาะ เพื่อสร้างประสบการณ์ด้านการนอนหลับที่ดีที่สุด
1
โดยตัวอย่างของโรงแรมในต่างประเทศ ที่ให้ความสำคัญกับการนอนหลับ ตามเทรนด์การท่องเที่ยว Sleep Tourism ก็อย่างเช่น
- โรงแรม Soneva Jani และ Soneva Fushi ในหมู่เกาะมัลดีฟส์ ที่มีคอร์ส Soneva Soul Sleep ให้แขกผู้เข้าพักเลือกเป็นระยะเวลา 7-14 วัน เพื่อปรับพฤติกรรมการนอนหลับให้เหมาะสม ผ่านการทำกิจกรรมต่าง ๆ
1
ทั้งการฝึกสมาธิ การออกกำลังกายด้วยโยคะ การอาบน้ำในอ่างสมุนไพร และการตื่นนอนตั้งแต่เช้า เพื่อปรับนาฬิกาชีวิตให้สมดุล
2
- โรงแรม Park Hyatt New York โรงแรมหรูในนิวยอร์ก ที่มีห้องพักขนาด 1 ห้องนอน ชื่อว่า “Sleep Suite by Bryte” ที่ใช้เตียงนอนเทคโนโลยี AI จากแบรนด์ Bryte มาช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับให้ดียิ่งขึ้น
3
นอกจากนี้ ยังมีการออกแบบห้องพักให้เหมาะสมกับการนอนหลับมากที่สุด เช่น การออกแบบห้องพักที่แยกห้องนั่งเล่น และห้องนอนออกจากกันอย่างชัดเจน, ผ้าม่านที่กันแสงสว่างจากภายนอกได้ 100% รวมถึงมีน้ำมันหอมระเหย และ Sleeping Mask ที่ช่วยทำให้นอนหลับสบาย ไว้ให้บริการภายในห้องพัก
2
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในปัจจุบัน Sleep Tourism จะเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นในโรงแรมหรูระดับโลก
2
แต่ก็ไม่แน่ว่า ในอนาคต Sleep Tourism จะกลายเป็นเทรนด์ที่นักท่องเที่ยวทั่ว ๆ ไป ให้ความสำคัญ
จนโรงแรมธรรมดา ๆ ก็มีบริการ และสิ่งอำนวยความสะดวก ที่เหมาะกับการพักผ่อน และนอนหลับได้อย่างเต็มที่ เช่นเดียวกัน..
1
โฆษณา