23 เม.ย. เวลา 17:39 • ไลฟ์สไตล์
ดอยหลวงเชียงดาว

เดิน...เจริญจิตตื่น ที่ดอยหลวงเชียงดาวปี2552

ไปธุดงค์กลับมาแล้ว ไปเมื่อวันที่ 4-11 ธ.ค.52 ถามว่าไปทำไม ไปแล้วได้อะไร ซึ่งมักจะเป็นคำถามที่คนส่วนใหญ่มักตั้งคำถาม ถ้าจะให้ผมตอบ ผมก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงเหมือนกัน
ก็คงต้องบอกว่า ไม่ได้อะไร ไม่มีอะไร อยากให้มีอะไรก็จะมีอันนั้น ซาบซึ้งอะไรก็จะมีอันนั้น ผิดหวังอะไรก็จะมีอันนั้น สรุปแล้ว เราจะมีจะเป็นอะไรก็จะเป็นอันนั้น อ่านแล้วงงดีมั้ย ถ้างงเราก็จะมีงงอันนั้น
เริ่มเดินทางวันที่ 4 ช่วงเช้า ประมาณ เก้าโมงครึ่ง นัดกับพี่ตุ้ยที่เซ็นทรัลลาดพร้าวเพื่อที่จะไปหมอชิต เพี่อเดินทางไปหา พี่วินัย ที่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา แล้วก็จะไปรับ อ.กะลา ที่อาศรม ที่จ.เพชรบูรณ์ เพี่อที่จะไป ดอยหลวงเชียงดาว ที่ จ.เชียงใหม่ ฟังดูน่าสนุกดีมั้ยละครับ
รวบรัดตัดความเอาให้กระชับ พอไปเจอพี่วันัย ก็ต่อไปหาอาจารย์ กะลาเรปะ ที่อาศรม พอไปเจออาจารย์ ก็ทำความเคารพกันตามปกติ อาจารย์ก็รับไหว้ แล้ว กล่าวขึ้นว่า ไหว้ ก.-ฮ. งงดีมั้ยครับ ผมก็งง งงก็ให้รู้ว่างง
ดอกอลูมิลัยระหว่างทางเดิน
ใบไม้เปลี่ยนสี สีสันในเส้นทางเดิน
หลังจากรับอาจารย์ขึ้นรถแล้ว ก็เดินทางกันต่อ จุดมุ่งหมายของเราอยู่ที่ ดอยหลวงเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ไปถึงเชียงใหม่ ประมาณ ตี2 ครึ่ง ก็จอดรอ คณะที่จะมาสบทบ อีก 1 รถตู้ รอกันที่ปั้มน้ำมัน ปตท. ระหว่างนั่งรถมา ระหว่างรอ ทุกระหว่างการเดินทาง อาจารย์ ก็สาธยายธรรมแบบไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ต้องขอคารวะด้วยจิตศรัทธา พอที่จะยกตัวอย่างให้ฟังได้บ้าง เพราะจำไม่หมดและก็ไม่ได้จดไว้ช่วยจำด้วย
ดอยปิรามิด จากมุมหนึ่งก่อนถึงอ่างสลุง
แผนที่ เส้นทางเดิน จากจุดปางวัว ไปยัง อ่างสลุงจุดกางเต้นท์
คืออาจารย์ท่านจะเน้นให้เข้าใจในหลักการตื่นรู้ หลักการตื่นรู้
ก็ให้เราเข้าใจว่า ทุกอย่างในโลกที่เราสัมผัสอยู่นี้เป็นแค่ปรากฏการณ์แค่นั้นเอง ไม่ให้เรา เข้า ไป อิน อม จม ลอย เข้าไปก้าวกายแทรกแซง กับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะว่าปรากฏการณ์ทุกอย่างล้วนแสดงบทบาทอยู่ในความว่าง
และปรากฏการณ์ทุกอย่างตกอยู่ภายใต้ กฏไตรลักษณ์ คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีปรากฏการณ์ใดที่จะตั้งอยู่ได้เลย แม้อณูที่เล็กที่สุดเรามีหน้าที่เพียงตื่นรู้ กับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น
หลักการตื่นรู้คือปรากฏการณ์อันไหนเด่นก็รู้อันนั้น โลกนี้ไม่เคยว่างจากปรากฏการณ์ ไม่ต้องแสวงหาปรากฏการณ์มันมีอยู่แล้ว อาจารย์ท่านมักจะปรบมือขึ้น 1 ครั้ง เป็นตัวแทนกับปรากฏการณ์ทั้งหมดในโลกธาตุนี้ สรุปแล้ว ก็จะมี ใจ ปรากฏการณ์ และ กฏไตรลักษณ์ ตื่นรู้อยู่อย่างนี้ เป็นอย่างไรบ้างครับพอที่จะเข้าใจได้บ้างหรือเปล่าไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เพราะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็เป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์อย่างหนึ่งเท่านั้น
เกร็ดความรู้ของหลักการตื่นรู้มีเยอะครับ อาจารย์ท่านปล่อยหมดเลย ไม่เก็บเคล็ดวิชาสุดยอดไว้ปราบลูกศิษย์หัวดื้อแบบในหนังกำลังภายในเลยนะครับ ก็ค่อยๆ ซึมซับไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ ไม่เร่งร้อน เพราะเร่งไม่ได้ทุกอย่างล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยทั้งสิ้น
ประมาณ 6 โมงเช้า รถตู้ ก็มาถึง ก็เลยเดินทางกันต่อไปที่ ดอยหลวงเชียงดาว ไปถึงก็เตรียมสัมภาระทุกอย่างเพื่อที่จะไปค้างบน ดอยหลวง ทั้งหมด 3 คืน 4วัน มื้อแรกก็มี ข้าวเหนียวหมูฝอย ได้รับการสนับสนุนจากคุณแม่ของพี่วินัย ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ ๆ แจกคนละ 2ถุง มื้อเช้า กับมื้อเที้ยง
ระหว่างทางอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาตื่นรู้
ในที่สุดก็ได้สัมผัสธรรมชาติที่ดอยหลวงเชียงดาว ดอยที่สูงเป็นอันดับ 3 ของเมืองไทย สูงประมาณ 2,225จากระดับน้ำทะเล
ทางเดินขึ้นไปดอยหลวงเชียงดาว จะมี สองเส้นทางด้วยกัน คือ ทางเด่นหญ้าขัด กับ ทางปางวัว เส้นทางเด่นหญ้าขัดจะเดินสบายกว่าแต่ใช้ระยะทางไกลกว่าเส้นปางวัว ส่วนเส้นปางวัวทางจะชันนิดหนึ่งแต่ใกล้กว่าอาจารย์กะลา ก็เลยเลือกใช้เส้นทางปางวัว เพื่อที่จะประหยัดเวลาและประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย ระยะทางจาก ปางวัว ไปถึงอ่างสลุงที่กางเต็นท์ก็ประมาณ 8 กิโลเมตร
กุหลาบพันปี สีขาว
ดอกเอนอ้า
ดอกเห็ด
ดอกอะลูมิลัยอีกแล้ว
รอยฟอสซิลหอยอายุกว่าพันปี
จากที่ทำการเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่า พวกเราก็ขึ้นรถปิ๊กอัพ เพื่อจะไปจุดที่จะเริ่มเดินกันคือที่ปางวัว รถก็วนขึ้นเขาอยู่หลายรอบไต่ความสูงขึ้นมาเรื่อยๆ ยังนึกอยู่ในใจว่าถ้าจะให้เริ่มเดินกันที่ทำการเขตฯ สงสัยตายแน่ๆ
พอมาถึงปางวัว พวกเราก็เริ่มสตาร์ทนับ1 กันเลยดูสีหน้าแต่ละคนดูสดใสมีกำลังแรงกายแรงใจในการธุดงค์ครั้งนี้ แต่ไม่รู้หนทางข้างหน้าจะเป็นยังไง ก็พร้อมที่จะฝ่าฟันไปให้ถึงจุดมุ่งหมายให้ได้อย่างแน่นอน ยิ่งมีอาจารย์กะลา เป็นผู้นำในการเดินทางทั้งในด้านร่างกายและจิตวิญญาณยิ่งมีความมั่นใจ เพราะเชื่อแน่ว่าอาจารย์คงไม่พาพวกเราหลงทางในสังสารวัฏนี้อย่างแน่นอน
อาจารย์ก็นำเดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบอะไร เจออะไรที่พอจะเป็นประโยชน์อาจารย์ก็จะแนะนำทั้งด้านพืชที่กินได้และไม่ได้ และเส้นทางที่อาจารย์เคยเดินสมัยที่ยังเสาะแสวงหาสัจธรรมตามป่าเขาลำเนาไพรอันกว้างใหญ่ไพศาล เดินไปพิจารณาไป
จุดตัดระหว่างเส้นทางปางวัวกับเด่นหญ้าขัด
ป่าไม้ใบบัง เนินเขาลูกแล้วลูกเล่า ล้วนเป็นทางผ่าน ทุกอย่างล้วนเป็นปรากฏการณ์ให้เราได้รับรู้รับทราบ ไม่ว่าจะเป็นความสวยงามของธรรมชาติอันรื่นรมย์ หรือจะเป็นความเหน็ดเหนื่อยอันแสนทรมาน เดินลื่นไถล ความหิวกระหาย อ่อนแอแพ้พ่าย ล้วนแต่เป็นปรากฏการณ์ให้เราได้ตื่นรู้รับทราบ ไม่มีอะไรจะคงทนอยู่ได้ล้วนเสื่อมสลายไป นี้แหละคือสัจธรรมความจริงอันประเสริฐ
ระหว่างการเดินทางอาจารย์ก็พักตามระยะทาง แล้วใครมีความสงสัยอะไรก็จะถามได้ ซึ่งอาจารย์ท่านก็จะมีเมตตาให้ความกระจ่างไม่ว่าจะถามปัญหาทางธรรม หรือธรรมชาติก็ตาม
ดอกพญาเสือโคร่งสีงามอร่ามตา
ดอยสามพี่น้อง
ภูเขาที่ดอยหลวงเชียงดาวนี้จะประกอบด้วยเขาหลายลูกด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเขา สามพี่น้อง เขาโหนก เขาปิรมิด เขากิ่วลม ซึ่งถ้าได้มาสัมผัสแล้วจะรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ของเทือกเขาแถวนี้ ด้านเขาอีกด้านหนึ่งก็จะมีวัดของหลวงพ่อสิม พุทธจาโร ซึ่งเป็นศิษย์องค์สำคัญอีกองค์หนึ่งของหลวงปู่มั่น แต่ตอนนี้ท่านมรณภาพไปแล้ว วัดของท่านนั้นรื่นรมย์สวยงามตามธรรมชาติ เป็นที่สัปปายะแก่ผู้แสวงหาสัจจธรรมเป็นอย่างยิ่ง
อาจารย์กะลา ได้ให้คำยื่นยันว่า ท่านเดินทางตามภูเขามาทั่วประเทศไทยแล้ว ก็มีดอยหลวงเชียงดาวนี้แหละที่ดูแล้วมีพลังมีความศักดิ์สิทธิ์ตามลักษณะภูมิประเทศ มีเขาปิรมิดคล้ายๆ หิมาลัยที่ทิเบต มีเขาสามพี่น้องคล้ายๆ เขาเหลียนซานในหนังจีน เขากิ่วลม คล้ายๆ สำนักเส้าลิน บู๊ตึ้งที่อยู่ตามเทือกเขาในหนังจีน หลายๆ องค์ประกอบ รวมกันแล้ว สรุปแล้ว ใครไม่ได้ไปเยือนต้องบอกว่าน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
อาจารย์นั่งรอ ระหว่างทาง
พวกเราเดินกันมาเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบแต่ถึงกระนั้นก็ยังเหนื่อย ระยะทาง 8 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 5 ชั่วโมง ออกกันตั้งแต่เช้ามาถึงอ่างสลุงก็บ่ายแก่ๆ พอดิบพอดี มาถึงก็กางเต็นท์หุงหาอาหาร ต้มน้ำร้อนกินกาแฟ โอวัลติน แก้หนาวกันตามระเบียบ อากาศก็เริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ หลังจากพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว
คืนแรกอาจารย์ก็สาธยายธรรมตามปกติ ท่ามกลางขุนเขาล้อมรอบและเดือนดาวดาระดาดเต็มทองฟ้าเห็นชัดเจนเพราะเป็นคืนเดือนมืด บรรยากาศก็เหน็บหนาวขึ้นเรื่อยๆตามความดึกสงัดของเวลา รู้สึกว่าเสื้อลองจอนกับเสื้อยื้ดอย่างหนาอีกตัวของผมจะไม่ช่วยอะไรมากนักแต่ก็พอทนได้ อีกอย่างผมอยากสัมผัสตื่นรู้กับความหนาวเย็นยะเยือกที่เป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติว่าเป็นอย่างไร ปรากฏการณ์ก็เป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์ไม่อาจทำให้ใจเราเป็นทุกข์ไปได้ จริงหรือเปล่า (อากาศเริ่มทวีความหนาวเย็นขึ้นเพื่อเป็นบททดสอบให้กับผู้แสวงหาความจริง)
น้องโบว์พี่วิย ใจเกินร้อย
หลังจากอาจารย์ให้ธรรมะกับหมู่คณะได้ไม่นานนัก ท่านก็หยุด เพื่อที่จะให้พวกเราได้พักผ่อนหลังจากที่เดินทางเหนื่อยกันมาตลอดวันและอากาศก็เริ่มหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ
ตี 3 เสียงปรบมืออันแผ่วเบา ก็แหวกแทรกความเงียบขึ้นมา 2-3 ครั้ง เป็นสัญลักษณ์แทนทุกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น และเป็นสัญญาณปลุกให้พวกเราตื่นขึ้นมาด้วย หลังจากพวกเราตื่นกันหมดทุกคนอาจารย์ก็พาพวกเราเดิน ผมก็ไม่รู้ว่าอาจารย์จะพาเดินไปไหน แต่ก็เดินตามอาจารย์ไปกับหมู่คณะ เดินลัดเลาะสุ่มทุ่มพุ่มไม้ไปเรื่อยๆ
ปรากฏว่าอาจารย์พาพวกเราเดินเพื่อมุ่งสู่ยอดเขาหลวงเชียงดาว ซึ่งก็เดินได้โดยไม่ต้องใช้ไฟฉายเพราะเดือนเริ่มสว่างกระจ่างทั่วท้องฟ้า ไต่เขาขึ้นไปเรื่อยๆ ตื่นรู้ก้อนหินก้อนแล้วก้อนเล่า แง้งหินเหลี่ยมหิน ตัดเลาะขึ้นไปเรื่อยๆ
จันทร์ประภัสสรบนยอดดดอยหลวงเชียงดาว
ในที่สุดก็มาถึงยอดเขาจนได้ แต่ก็มี 2 สาวที่ตามขึ้นมาไม่ไหว ขอนั่งพักก่อน พอมาถึงยอดดอยหลวงแล้วรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่ไร้การปรุงแต่ง ถ้าจะเปรียบเทียบขุนเขากับตัวเรา เราเป็นเพียงฝุ่นละอองเล็กๆ ที่ไหลเวียนอยู่ในธรรมชาติเท่านั้นเอง อย่าไปสำคัญมั่นหมายอะไรให้มากมายนักเลย
ธรรมะคือธรรมชาติ ตัวเราคือธรรมชาติ ธรรมชาติก็คือตัวเรา มันเป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีตัวเรา ไม่มีเรา อาจารย์กะลาได้นำพวกเราให้ได้มาสัมผัสกับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ที่ไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ การไหลเวียนของเมฆหมอกที่ร่ายล้อมขุนเขาเป็นรูปปรากฏการณ์ต่าง ๆ เดียวก็ไหลไปปิดยอดเขาปิรมิดให้หายไปต่อหน้าต่อตา เดี๋ยวก็เผยโฉมให้เห็นเขาสามพี่น้องสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนงดงาม
ไม่มีอะไรที่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ให้ธรรมชาติได้สอนตัวเรา ให้ธรรมชาติได้เคี้ยนตีพวกเราให้ยอมรับในปรากฏการณ์ทั้งภายในภายนอกเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ เป็นการไหลเวียนของธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีใครเป็นอะไร
ไม่มีอาจารย์กะลา ไม่มี พี่วินัย ไม่มีพี่กุ้ง ไม่ไม่พี่หมอ ไม่มีพี่ตุ๋ย ไม่มีจิ๋ว ไม่มีเพชรพี่เพชรน้อง ไม่มีเทพ ไม่มีพี่สมสุข ไม่มีพี่เล็ก ไม่มีโบ้ ไม่มีบี ไม่มีใคร ธรรมชาติเดิมแท้เขาแสดงบทบาทอยู่อย่างนี้ไร้การปรุงแต่ง ก่อนที่จะมีการสมมุติอะไรต่างๆ ขึ้นมาในภายหลัง ลึกซึ้ง ๆ เกินคำบรรยายจริงๆ
เงาสะท้อนชีวิตคือเงาสะท้อน
ธรรมะที่อาจารย์แสดงบนยอดเขานั้นมากมายไม่อาจจำนำมาบรรยายไว้นะที่นี้ได้ แต่น้องโบ้ ได้อัดใส่ mp 3 ไว้ ถ้าใครอยากได้ก็ต้องติดต่อน้องโบ้เอง เพราะผมก็ยังไม่ได้เหมือนกัน แต่ก็พอบรรยายได้ตามปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวผมที่สามารถสัมผัสได้
หลังจากที่แสงแรกแห่งวันกำลังฉายแสงสีทองผ่องอัมไพ ความหนาวเย็นที่เคยมีเริ่มจางคลายไป ตามธรรมชาติ เมฆหมอกที่ ไหลวนรายล้อมขุนเขากำลังแสดงบทบาทของเขาอยู่ ทุกอย่างสงบนิ่ง มีเสียงธรรมของอาจารย์ดังกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณ อาจารย์บอกว่าทุกอย่างในโลกธาตุนี้มันเป็นเช่นนั้นเอง ตถตา
ยอดดอยหลวงเชียงดาว สูงอันดับ3 ของประเทศไทย
ท่ามกลางหมอกเมฆบนยอดเขา
ทะเลหมอก
อาการหนาว สั่นสะท้าน ลมหนาวพัดพาความเย็นยะเยือกพัดผ่านผิวกายอันบอบบาง ไร้ไขมัน ทำให้เกิดปฏิกิริยาของร่างกายเพื่อเพิ่มไออุ่นให้กับร่างกายด้วยการสั่นไปทั้งตัว แต่ไม่ถึงใจ เป็นไปโดยอัตโนมัติ ทุกอย่างเป็นธรรมชาติจริงๆ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่ได้บอกหรอกว่าต้องสั่นนะ ต้องยังโง้น ยังงี้นะ ไม่มี เขาเป็นเองโดยธรรมชาติ
อาจารย์บอกอยู่เสมอว่า ความหนาวกับความร้อนอยู่ที่เดียวกัน ถ้าเจอหนาวแปลว่าร้อนกำลังรอเราอยู่ ถ้ามีสุขความทุกข์ก็กำลังรอเราอยู่ เพราะมันเป็นของคู่ ถ้าจิตเขาได้ตื่นรู้ได้สัมผัสกับความเป็นจริงมากเท่าไหร่ ก็จะมีภูมิคุ้มกันให้กับกายกับใจมากขึ้น ไม่มีอะไรที่สูญเปล่า
ยามเช้าบนยอดดอยหลวง
พยายามจะนึกทบทวนวันเวลาที่ช่วงบนยอดเขาดอยหลวงเชียงดาว ซึ่งเป็นวันเวลาที่มีค่าสำหรับผู้ต้องการฝึกตนเองในสภาพแวดล้อมที่ต้องใช้ศักยภาพทุกอย่างเพื่อพิจารณาความเป็นไปทั้งภายนอกและภายในซึ่งคนที่ใช้ชีวิตในเมืองกรุงอย่างพวกเราไม่ค่อยได้สัมผัสตื่นรู้กับบรรยากาศลักษณะนี้เท่าไหร่ และยิ่งมีครูอาจารย์ที่มีประสบการณ์อย่างอาจารย์กะลายิ่งเป็นสิ่งที่ยากยิ่งขึ้นไปอีก
ผ่อนพักตระหนักรู้
เจริญจิตตื่น
วันแรกที่อาจารย์พาขึ้นไปบนยอดเขา คือเวลา ตี 3 วันถัดมา เที่ยงคืน วันสุดท้าย ขึ้นไปภาวนาข้างบนตั้งแต่เย็นจนถึงรุ่งอรุณ ช่วงวันเวลาระหว่างวันอาจารย์ก็พาเดินไปสัมผัสกับยอดดอยกิ่วลม ซึ่งก็สร้างความประทับใจให้กับคณะอย่างมากเพราะต้องปีนป่ายตามยอดสันเขาซึ่งก็ลำบากสำหรับเพศหญิงพอสมควร
เพราะระหว่างทางนั้นเต็มไปด้วยก้อนหิน บางช่วงก็เป็นทางชันต้องค่อยๆปีนตามแง่งหินขึ้นไปลำบากพอสมควร แต่คณะของพวกเราก็สามารถฟันฝ่าอุปสรรคทุกอย่างไปได้อย่างสบาย ระหว่างความชันของหน้าผากับทางเดินก็เต็มไปด้วยบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยเมฆหมอกที่ไหลเวียนกันเข้ามาทางของช่องเขากิ่วลม แสดงเป็นมายาธรรมให้เห็นความเปลี่ยนแปลงสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์
เพชรพี่ ป้าพูลสุข
คืนสุดท้ายที่อยู่บนยอดดอยหลวงเชียงดาว เป็นวันคืนที่ต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมากเพราะอากาศที่หนาวเย็น แต่ผมก็เห็นทุกคนดูมีความตั้งอกตั้งใจในการตื่นรู้ ไม่มีใครแสดงอาการอ่อนแอแพ้พ่ายให้เห็น วันนั้นอาจารย์ไม่ได้แสดงธรรมอะไรมากมาย ให้ทุกคนเลือกสถานที่ที่เหมาะสมกับตัวเองในการภาวนา
ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีมากทีเดียวที่ได้มีโอกาสได้มาสัมผัสกับธรรมชาติที่ไม่ค่อยคุ้นเคย อาจารย์ท่านแนะนำให้ตื่นรู้จากจุดเล็กๆ ที่บริเวณเราภาวนาอยู่และค่อยๆขยายการตื่นรู้ออกไป เป็นวงขยายออกไปเรื่อยๆ จนถึงมหาจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล แล้วจากมหาจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลกลับมาสู่จุดเล็กที่เราภาวนาอยู่
คืนสุดท้ายผ่านไปอย่างเนิ่นช้าพอสมควร อาจเป็นเพราะว่าจิตใจที่ได้รับการบีบเค้นจากความเหน็บหนาว และสายลมที่พัดผ่านที่พาอุณหภูมิความหนาวที่เพิ่มขึ้นเป็นระยะๆ แต่ก็ช่วยทำให้เราไม่หลับใหล เป็นเหตุให้เราต้องตื่นรู้รับทราบอย่างเต็มที่ เพราะถ้าเราไม่ตื่นรู้รับทราบเราก็ต้องเป็นทุกข์กับปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาอย่างแน่นอน
บนดอยหลวง แลเห็น เส้นขอบฟ้า
เดือนดารา แจ่มกระจ่าง กลางเวหา
เมฆหมอก ห่มคลุม เป็นสายธารา
เคลื่อนคล้อยลอยมา จากแดนไกล
อาจารย์กะลา นำพา ให้ตื่นรู้
สรรพสิ่ง แสดงอยู่ รู้บ้างไหม
ต้องตื่นรู้ ขึ้นมา จากข้างใน
ให้จิตใจ รับทราบว่า " ตถตา "
เส้นขอบฟ้าบนยอดดอยหลวงเชียงดาว
หลังจากที่กลับจากดอยหลวงเชียงดาว อาจารย์ก็มีโปรแกรมพิเศษให้พวกเราได้เรียนรู้กันอีก นั่นก็คือ การไปภาวนาที่ "ป่าช้า" ฟังดูแล้วสำหรับคนที่ใช้ชีวิตในเมืองอย่างพวกเราก็น่ากลัวไม่ใช่เล่น ป่าช้า เป็นสถานที่ที่เป็นอุปกรณ์ในการตื่นรู้ที่ดีม๊ากมาก เพราะว่าตามปกติก็มีแต่คนตายเท่านั้นแหละที่อยู่ในป่าช้า แต่พวกเรานี้แหละคนเป็นๆ จะไปอยู่ในป่าช้า ให้มันรู้กันไปว่า มันจะน่ากลัวขนาดไหน " บรื้อ "
แสงเทียนส่องทางดวงวิญญาณให้มารับอาหาร
หลังจากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว อาจารย์ถึงพาพวกเราเข้าไป ป่าช้าชื่ออะไรจำไม่ได้แล้ว แต่ที่แน่ๆ รู้แต่ว่าเป็นป่าช้าที่บรรยากาศวังเวงใช้ได้ทีเดียว มีต้นไม้ใหญ่ มีต้นไผ่กอใหญ่ ขึ้นอยู่เต็มไปหมด มืด เงียบ อาจารย์ไม่ให้ใช้ไฟฉาย ไม่ให้กางเต็นท์ ให้อยู่ตามจุดต่างๆ ที่อาจารย์จะกำหนดให้ ห่างกันพอสมควรทีเดียว
สถานที่ตื่นรู้ เมรุเผาศพ
ผมเองนั้น อาจารย์กำหนดให้ไปนอนที่เมรุเผาศพ เพราะดูอาการแล้วผมจะไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ คนอื่น ๆ นั้นผมก็เห็นอาจารย์ก็กำหนดให้อยู่ตามหลุมฝังศพ ซึ่งมีกอไผ่ขึ้นอยู่เต็มไปหมด เสียงที่ดังกร๊อบแกรบจากเท้าที่สัมผัสกับใบไม้ที่หล่นอยู่ตามพื้นดิน อาจารย์ให้ผมไปอยู่ที่เมรุเผาศพ ซึ่งเมรุนั้นอยู่ด้านหน้าทางเข้าก็เลยดูไม่น่ากลัวเท่าไหร่ แต่ก็รู้สึกน่าเกรงขามอยู่ เพราะมันมืดและดูวังเวง กับบรรยากาศที่เงียบ
ป่าช้า
ผมนั่งตื่นรู้อยู่กับสรรพสิ่งที่เป็นปรากฎการณ์ที่สัมผัสรับทราบ อยู่ได้สักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินขึ้นมาบนเมรุ อ้อ! อาจารย์นั้นเอง อาจารย์ก็ให้โอวาทธรรมว่า เห็นไหม! ท่านชี้ไปที่ประตูเมรุที่เอาโลงศพยัดเข้าไปเพื่อเผา " ประตูที่เปิดสู่สุญตา เอาตื่นรู้ ไปนะ "
ผมก็นั่งตื่นรู้ สัมผัสรับทราบทุกสรรพสิ่งไปเรื่อยๆ เสียงของความเงียบ เคยได้ยินมั้ย? เสียงของความเงียบเป็นเสียงที่ใครเข้าถึงได้คนนั้นก็สามารถออกจากทุกข์ได้ ใช่ ! ขณะนั้นเวลานั้นจิตใจเขาตื่นรู้ ได้ชัดเจน เห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในความเงียบผ่านมาแล้วผ่านไป ไม่มีอะไรจะตกค้างอยู่ในความเงียบได้เลย
เสียงจิ้งหรีดเรไร ร้องระงมทั่วป่าไผ่ เสียงเพลงแว่วมาจากข้างนอกป่าช้าอย่างแผ่วเบา สรรพสิ่งล้วนเกิดดับในความเงียบ ธรรมชาติภายในเขาก็แสดงอยู่ทั้งความคิด ทั้งเวทนา ทั้งสัญญา ล้วนเกิดดับเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครจะมาบังคับกฏเกณฑ์ให้อะไรเป็นอะไรตามใจได้ ทุกๆ สิ่งล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัย ทุกๆ สิ่งล้วนตกอยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นไปอยู่อย่างนี้ มันเป็นอยู่อย่างนี้ มันเป็นเช่นนั้นเอง
เช็คอินโรงแรมตื่นรู้
หลังจากที่ผมนั่งตื่นรู้ อยู่สักพักก็มีสิ่งแปลก ๆ เกิดขึ้น ได้มีผู้ชายคนหนึ่ง เดินวนรอบเมรุเผาศพ ตัวยาว ๆ โย่ง ๆ ใส่เสื้อผ้าสีดำทั้งชุดไม่รู้ว่าใคร ผมก็ไม่ได้สนใจ เพราะขณะนั้นจิตเขาไม่ได้สำคัญมั่นหมายว่าอะไรเป็นอะไรเป็นสักแต่ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเปลี่ยนแปลงไปอยู่มันเป็นเช่นนั้น
แต่เขาคนนั้นก็ยังเดินวนรอบเมรุเผาศพอย่างช้า ๆ เงียบ ๆ สักพักหนึ่งก็มาหยุดมองจ้องหน้าผม ไม่พูดอะไร หลังจากจ้องหน้าเสร็จเขาก็เดินต่อไป หลังจากที่เขาเดินวนอยู่ได้พักใหญ่ๆ เขาก็เดินขึ้นมาบนเมรุเผาศพที่ผมนั่งอยู่ ด้วยความมืดผมก็มองไม่เห็นหน้า เขาค่อยๆ เดินขึ้นมา ตัวสูงลิ่วเลย เฮ้ย! คนหรือว่าเปรตเนี่ย! เสียงอุทานขึ้นในใจ
อาจารย์ส่งลูกศิษย์เข้าที่พัก
แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรมากมาย หลังจากนั้นเขาก็เดินลงไป โดยไม่พูดอะไร ความสงสัยก็เลยเกิดขึ้นในใจของผม ว่าเขาคนเนี่ยเป็นใครกันแน่ จะว่าเป็นพี่สันติ คนขับรถตู้ที่พาคณะมาก็ไม่ใช่เพราะแกเป็นคนตัวเตี้ย จะว่าคนอื่นก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร ขณะนั้นจิตเขาก็เลยสงสัย อาจารย์บอกว่าถ้าจะให้หายสงสัย ต้องพิสูจน์ให้เห็นไปเลยตกลงเป็นคนหรือผีกันแน่เนี่ย
ตอนเช้าอาจารย์มารับ
หลังจากนั้นผมก็เลย ผ่อนคลายด้วยการเอาถุงนอนออกมา แล้วเอ่ยถามพี่เขาเบาๆ ว่า " ขอโทษครับ ผมลูกศิษย์อาจารย์กะลา อาจารย์ให้ผมมาภาวนาที่นี้ ไม่ทราบว่าผมทำอะไรรบกวนพี่หรือเปล่า " สักพักหนึ่ง พี่เขาก็ตอบกลับมาว่า " อาจารย์ให้ผมมาเดินจงกรมรอบเมรุเผาศพ " ผมก็ถึงบ้างอ้อ หลังจากได้ยินเสียงแล้ว เพราะผมรู้แล้ว แต่ขณะนั้นผมนึกถึงชื่อน้องเขาไม่ได้ แต่น้องคนนี้ก็มากับคณะของพวกเรานั่นแหละ แต่ที่ผมไม่คิดว่าเป็นเขาตอนแรกเพราะน้องเขาเป็นคนขี้กลัว ไม่คิดว่าเป็นเขา พอรู้แล้วก็ไม่มีอะไร หายสงสัย
ทำวิจัยเชิงตะกอน
หลังจากนั้นประมาณ ตี 2 อาจารย์ก็ให้เปลี่ยนที่ภาวนา ให้น้องโบ้มาอยู่แทนผมส่วนผม กับพี่วินัยเดินตามอาจารย์เข้าไปเยี่ยมเพื่อนๆ ที่อยู่ตามจุดต่าง ๆ เดินไปสักพักก็ได้ยินเสียงซ่า เหมือนน้ำประปาแตก ก็สงสัยเป็นเสียงอะไรกันนี้ ดังอยู่เป็นระยะ เสียงเท้าที่สัมผัสกับใบไม้ที่หล่นอยู่ตามพื้นดินดังกร๊อบแกรบ ไล่ความเงียบที่มีอยู่ เดินวนเวียนวกวน อาจารย์จำได้อย่างไรไม่รู้ ว่าใครอยู่ที่ไหน
น.ส.ผ่องศรี เจ้าของบ้าน อาจารย์ต้องให้อ่านและดูรูป ก่อนอาจารย์จะปล่อยให้อยู่ลำพัง
ผมก็ได้มาแทนพี่หมอ ซึ้งอยู่ในป่าไผ่ ข้างหน้าที่ผมนั่งเป็นหลุมฝั่งศพ และถัดไปเป็นกอไผ่นาดใหญ่ มองดูรอบๆ แล้วเงียบสงัดมืดพอสมควร มีแต่แสงจันทร์สาดส่องลอดช่องไผ่เขามาสัมผัสกับบรรยากาศที่ผมนั่งอยู่ ดูเงียบวังเวงดีพอสมควร ขณะนั้นก็ดึกมากแล้ว ความง่วงเข้ามาครอบงำบ้างเป็นบางครั้งคราว
มีแสงหิ่งห้อย ที่บินวนรอบๆ บริเวณอยู่เป็นเพื่อน บางครั้งเขาก็มาปลุกด้วยการมาเปล่งแสงใกล้ๆใบหน้าของผม ทำให้ผมตกใจตื่นขึ้นมา ผมไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะจะเป็นคนที่ชินกับความมืดมาก่อน ก็เลยไม่เห็นอาการกลัวที่อาจารย์มักเล่าให้ฟังว่า ถ้าเรากลัวมันจะซ่าส์ขึ้นมาให้เราได้เรียนรู้จากอาการกลัวนั้น
วังเวงดีแท้น้อ
หลังจากนั่งมาได้สักพักหนึ่งก็ไม่รู้ว่าผมตาฝาดหรือเปล่า ผมเห็นเหมือนคนใส่ชุดสีขาวยืนอยู่ตรงกอไผ่ตรงข้างหน้าผม อะไรกัน! หลังจากตั้งสติให้ดี ก็มาพิจารณาดูอีกที ก็ถึงบางอ้อ เป็นแค่แสงจันทร์ที่สาดส่องลอดช่องกอไผ่ที่มีรูปร่างเหมือนคน แสงจันทร์สีขาวนวล ก็เลยเหมือนคนใส่ชุดสีขาว แม้จิตนี้ช่างหลอกลวงได้สารพัด
พอรุ่งอรุณอาจารย์ก็พาพวกเรามานั่งประชุมสรุปถึงสภาวะธรรมของแต่ละคนที่ได้สัมผัสเรียนรู้กันมา ว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง บรรยากาศยามโพล้เพล้ ท่ามกลางสายหมอกที่ปกคลุม กับความหนาวเย็นที่ได้สัมผัสรับทราบช่างเหมาะเจาะอะไรเช่นนี้ อาจารย์ก็ไล่ถามที่ละคนว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ซึ่งก็ได้บทสรุปของแต่ละคน เป็นประสบการณ์ที่ดี และผมก็ได้คำเฉลยที่เมื่อคืนที่ผมเดินตามอาจารย์แล้วได้ยินเสียงซ่าส์เหมือนน้ำประปาแตกเป็นระยะๆ นั้น เป็นเสียงของปลวกที่เขาสั่นหัวขึ้นพร้อมกันในจอมปลวกนั้น แม้น่าอัศจรรย์จริงๆ นี่เป็นครั้งแรกนะครับที่ผมรู้ อย่างนี้ก็มีด้วย
ดวงวิญญาณใหญ่มาก
คืนแรกผ่านไปด้วยดี ยังไม่พอครับ ยังมีอีกคืนหนึ่ง โปรแกรมที่อาจารย์วางไว้ คือนอนป่าช้า 2 คืน คืนที่สองนี้ ครั้งแรกอาจารย์ว่าจะแยกย้ายกันเป็นกลุ่ม มีอยู่ 3 ป่าช้า ก็จะแยกกันเป็น 3 กลุ่ม เพื่อความเข้มข้นของหลักสูตร แต่มีเหตุปัจจัยทำให้อาจารย์เปลี่ยนใจ นั่นก็คือ
ป่าช้าแรกที่เราไปกันในคืนนี้ มีคนมาเผาศพพอดิบพอดีเลยครับพี่น้อง แม้อะไรจะเหมาะเหมงได้ขนาดนี้ พออาจารย์เห็นไฟในเชิงตะกอน อาจารย์ก็ยิ้มขึ้นมาในทันที อาจารย์บอกกับทุกคนว่า ไม่ไปไหนแล้ว เราจะปักหลักพักแรมกันที่นี้ทุกคน เพราะอาจารย์ใหญ่นอนรอเราอยู่ในเชิงตะกอนนั้นแล้ว เป็นโอกาสดีที่เราได้มีโอกาสได้เรียนรู้กับบรรยากาศลักษณะนี้
อาจารย์ก็ให้แยกย้ายกันไปตามจุดต่าง ๆ ในป่าช้า และให้เชิงตะกอนที่เผาศพเป็นจุดที่ทุกคนสามารถมาพิจารณาถึงความไม่เที่ยงแท้ของชีวิต ดิ้นรนต่อสู้แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น แต่สุดท้ายก็เอาอะไรไปไม่ได้สักชิ้นเดียว ช่างเป็นสัจจธรรม
บทสรุปให้เห็นเป็นรูปธรรมดีแท้ อาจารย์ก็ให้โอวาทธรรม รอบๆ บริเวณเชิงตะกอน ศพนั้นไหม้ไปหมดแล้ว เหลือแต่ถ่านฟืน ทุกๆ คนก็ยืนรอบบริเวณเชิงตะกอน ชีวิตก็เท่านี้ สุดท้ายก็เอาอะไรไปไม่ได้
ประมาณ ตี 1 ทุกๆ คนก็มายังจุดที่เผาศพ มานั่งฟังอาจารย์บรรยายธรรม ท่ามกลางบรรยากาศที่วังเวงดีแท้ๆ นี้ถ้าอยู่คนเดียวมีหวังคงมีขนหัวลุกกันมั้งแหละ ลักษณะของป่าช้าที่นี้จะเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ เป็นต้นสักใหญ่ที่โตสูงใหญ่เท่าๆกัน และขณะนั้นก็มีหมอกปกคลุมพื้นป่าทั้งหมดและมีแสงไฟจากข้างนอกป่าช้าสาดส่องเข้ามา ทำให้บรรยากาศดูแล้วช่างน่าดู น่ากลัว น่าอัศจรรย์ ถ้าใครอยู่ตรงนั้นคงเข้าใจ ไม่รู้จะบรรยายยังไง
คืนนี้ก็ได้เรียนรู้ ตื่นรู้ กับสภาวะธรรมอีกแบบหนึ่งที่ไม่เคยได้สัมผัสรับทราบมาก่อน เคยแต่ได้ยินได้ฟัง แต่ไม่เคยสัมผัสด้วยตัวเอง ธรรมะนั้นต้องสัมผัสตื่นรู้ด้วยตัวเอง มันเป็น "ปัจจัตตัง" จริง ๆ
สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบพระคุณ อาจารย์กะลา เป็นอย่างยิ่ง ที่นำพาพวกเรา ได้ไปเรียนรู้กับสภาวะธรรมแปลกๆ ใหม่ ๆ ให้เข้าใจในชีวิตมากขึ้น และขอขอบคุณหมู่คณะที่มีโอกาสได้เดินทางร่วมกันได้เกื้อกูลอาศัยซึ่งกันและกัน หวังว่าโอกาสหน้าคงได้ร่วมธุดงค์กันอีกขอบคุณครับ
เช้ามาอาจารย์มาสรุปสภาวะให้เข้าใจมากขึ้น
บันทึกนี้ บันทึกไว้ ตั้งแต่ปี52 บันทึกไว้ ใน Ok nation blog ก็เลยขอมาบันทึกไว้ ในเฟสบุ้ค เผื่อเพื่อน ๆ ในเฟส จะได้อ่านกันเล่นๆ หรือจะจริง ๆ ก็ได้ 555+
เมื่อก่อน ดอยหลวงเชียงดาว ไม่ได้มีกฎเกณฑ์เข้มงวดมากมาย ทำให้มีความผ่อนคลายในการเรียนรู้กับธรรมชาติมาก แต่ปัจจุบัน ได้เปลี่ยนไปพอสมควร จะเข้าไปลำบากแล้ว เพราะต้องจองล่วงหน้า และเปิดเฉพาะ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เท่านั้น ถ้าการเรียนรู้ เรื่องการเจริญจิตตื่นนี้ จะพอเป็นประโยชน์ก็ยินดีอย่างยิ่ง หรืออ่านเอาสนุกก็ได้ ไม่ต้องคิดอะไรมาก
โฆษณา