Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เทพ สัญจร
•
ติดตาม
24 เม.ย. เวลา 03:29 • ไลฟ์สไตล์
อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง
เจริญจิตตื่น ครั้งแรก ป่าทุ่งแสลงหลวง
วันที่ 14 เมษายน 2553 อาจารย์ได้พาหมู่คณะไปภาวนากันที่ อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ซึ่งอยู่เขตจังหวัดเพชรบูรณ์ ไม่ไกลจากที่อาศรมมากนัก จุดไฮไลท์ของที่นี้ก็จะมี ทุ่งนางพญา ทุ่งโนนสน และอีกหลายจุด และจะเป็นที่ปั่นจักรยานเสือภูเขาอันดับ 1 ของประเทศไทย
แต่สถานที่ ที่อาจารย์พาไปภาวนา ไม่ได้เป็นจุดท่องเที่ยว แต่เป็นป่าไม้เบญจพรรณ มีต้นไม้ขนาดใหญ่ เหมาะที่จะเป็นสถานที่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรเป็นอย่างยิ่ง ประสบการณ์ที่ผมได้สัมผัสจากสถานที่แห่งนี้ นับได้ว่าเป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้เป็นอย่างมาก
ฤดูนี้เป็นฤดูแล้ง มีไฟไหม้ป่า มองเห็นได้ระหว่างทางที่เดินทางเข้ามา ใบไม้แห้งร่วงหล่นเต็มพื้นป่า ฤดูนี้แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามา เพราะอากาศมันร้อน ก็คงจะมีแต่นักแสวงหาสัจจะเท่านั้น ที่ไม่กลัวต่อทุกสภาพอากาศ ยิ่งลำบาก ยิ่งน่ากลัว ยิ่งทุกข์ ยิ่งต้องเดินเข้าหา เพราะความทุกข์ทางกายทางใจทั้งหมด จะเป็นสะพานเชื่อมให้เราสามารถถอดทอนอุปาทานใน รูป-นาม ขันธ์ 5 นี้ได้
เส้นทางตื่นฝัน
ผมก็เป็นแค่เพียงนักเดินทางตามรอยบาทพระศาสดาคนหนึ่ง บันทึกนี้มิได้มุ่งหมายที่จะชี้แนะอะไร เพียงแต่เขียนขึ้นไว้อ่านเล่น ๆ อาจมีประโยชน์สำหรับผู้ผ่านมา ก็แค่นั้นเอง
วิถีตื่นรู้
มาภาวนาที่ทุ่งแสลงหลวงนี้ทำให้นึกถึง ธุดงควัตรข้อหนึ่งที่ว่า อยู่โคนไม้เป็นวัตร เพราะว่าอาจารย์ได้ให้พวกเราแต่ละคนอยู่ตามโคนต้นไม้ แยกย้ายไป ต้นไม้ต้นหนึ่ง ต่อคนหนึ่งคน แล้วแต่อาจารย์จะกำหนดให้ ถ้าผู้ใหม่ก็ได้อยู่โคนไม้ใกล้ ๆ กันหน่อย แต่ผู้ชายก็จะได้อยู่บริเวณรอบนอกห่างออกไป เพื่อระวังภัยให้ผู้หญิงด้วย เผื่อมีสัตว์ป่าเข้ามาเดินเล่นบริเวณที่พวกเราภาวนาอยู่
ต้นไม้ที่อาจารย์ให้ลูกศิษย์แต่ละคนไปภาวนาอยู่นั้น เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ น่าเกรงขามตั้งแต่แรกพบ ระหว่างทางเดินก็มีร่องรอยของรอยขีดข่วนของกรงเล็บหมี มีให้เห็น พอให้จิตใจปรุงแต่ง เพิ่มระดับความกลัวขึ้นมาอีก
หมอปีน ได้อยู่โคนไม้ใหญ่ขนาดหลายคนโอบ ตั้งอยู่ริมห้วย ขณะนั้นน้ำได้เหือดแห้งไปหมดแล้ว ปกติสัตว์ป่าก็จะมาอาศัยน้ำในลำห้วยดื่มกิน
ส่วนคุณปู่ และลูกชาย ก็ได้โคนไม้อยู่คนละฟากของลำห้วย ซึ่งห่างไกลกันพอสมควร ส่วนคนอื่นๆ ก็อยู่กระจายกันไป แล้วแต่อาจารย์จะจัดให้
ส่วนผมนั้น ก็เดินตามอาจารย์ เดินส่งคนอื่น ๆ ไปทีละคน จนเหลือผมกับป้าทิพย์ อาจารย์เดินลึกเข้าไปในป่าเรื่อยๆ ลัดเลาะสุ่มทุ่มพุ่มไม้ กิ่งไม้แห้งเต็มไปหมด เดินไปได้สักพักหนึ่งก็เจอจุดหมาย เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ รูปทรงน่าเกรงขาม อาจารย์จะให้ผมภาวนาใต้โคนไม้ต้นนี้ ผมสังเกตุรอบ ๆ บริเวณเต็มไปด้วยใบไม้แห้งหล่นเต็มพื้นไปหมด
ผมมีไฟแช็ค กับไฟฉายพกติดตัว บรรยากาศเริ่มมืดลงเรื่อย ๆ ก่อนอาจารย์จะไป อาจารย์ก็บอกให้สังเกตุดูบริเวณบนต้นไม้อาจมีหมีอาศัยอยู่ หรือเถาวัลย์อาจเป็นงูเหลือมก็ได้ ให้สังเกตุให้ดี แม้อาจารย์ช่างให้ข้อมูลที่ช่วยในการปรุงแต่งความกลัวดีแท้
ผมถามอาจารย์ว่าจะให้ออกจากจุดนี้ไปรวมกับหมู่คณะได้เวลาไหน ซึ่งปกติแล้วขากลับอาจารย์จะเดินมารับ เผื่อหลงทาง แต่ผมมั่นใจว่ากลับถูกก็เลยจะกลับเองไม่รบกวนอาจารย์ แต่ผมคิดผิดถนัด จะเป็นยังไงนั้นเดียวก็รู้
อาจารย์บอกว่า ตีสาม ให้เดินตัดตรงไปหาหมู่คณะได้เลย เพราะว่าช่วงที่อาจารย์เดินมาส่งนั้น อาจารย์พาเดินอ้อมมา แต่ขากลับอาจารย์บอกว่าเดินตัดตรงไปได้เลย หลังจากนั้นอาจารย์ก็พาป้าทิพย์เดินย้อนกลับไป
หลังจากอาจารย์ไปแล้วความมืดก็เริ่มแผ่คลุมไปทั่วพื้นป่า มืดจริง ๆมืดแบบว่าลืมตากับหลับตาความหมายไม่แตกต่างกันเลย ผมนั่งตื่นรู้อยู่ห่างจากโคนไม้เล็กน้อย บริเวณนั้นเต็มไปด้วยใบไม้แห้ง เริ่มนั่งใหม่ ๆ มีเสียงอะไรดังกร๊อบแกรบเล็กน้อยจากบริเวณที่ผมนั่ง ผมก็ตกใจรีบฉายไฟฉายส่องดูทันที กลัวว่าเป็นงูเลื่อยเข้ามา แต่ที่เห็นเป็นแมลงตัวเล็ก ๆ ที่เคลื่อนไหวใต้ใบไม้แห้ง เป็นอยู่อย่างนี้ 3-4 ครั้ง จิตมันก็เริ่มเรียนรู้แล้วว่าไม่มีอะไร ก็เริ่มเฉยได้
แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมได้ยินเสียงอะไรไม่รู้เคลื่อนไหวอยู่ข้างหน้าผม ผมก็รีบฉายไฟดูทันที ปรากฏว่าเป็นตัวอะไรไม่รู้ แต่มันวิ่งเข้ามาชาร์จไฟฉายที่ผมส่องออกไป ผมต้องรีบปิดไฟฉายทันที หลังจากนั้นผมก็ไม่เปิดไฟฉายอีกเลย จะมีเสียงดังกร๊อบแกรบ รอบๆ บริเวณที่ผมนั่งอยู่เป็นระยะ เพราะใบไม้แห้งมันเยอะเต็มไปหมด
ประมาณ ห้าทุ่ม หลังจากที่ผมสงบนิ่งนั่งตื่นรู้เต็มที่กับสรรพสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นความมืด เสียงสัตว์ต่าง ๆ ความคิดปรุงแต่ง ผมนั่งนิ่งมากแบบไม่ไหวตัวเลย อาจจะเป็นเพราะระวังภัย เนื่องจากความไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมในลักษณะนี้
สักพักใหญ่ ๆ ผมได้ยินการเคลื่อนไหวของตัวอะไรไม่รู้ คล้าย ๆ เป็นการเดินของคน แต่เดินได้ 2-3 ก้าวก็หยุดนิ่ง นิ่งได้พักใหญ่ ๆ ก็ก้าวเดินต่อ แล้วก็นิ่ง เคลื่อนเข้ามาใกล้ที่ผมนั่งอยู่ ตอนแรกๆ ผมนึกว่าเป็นอาจารย์มาทดสอบ แต่สังเกตุจากเสียงที่เดินมา ทิศทางมาจากป่าลึก ไม่น่าใช่อาจารย์
แต่ลักษณะการเดินนั้นเหมือนที่อาจารย์เคยสอนไว้ คือถ้าเราอยู่ในสถานที่ไม่ปลอดภัย เวลาเราจะเดินนั้น เราต้องหยุดเป็นระยะ ๆ เพี่อตื่นรู้สภาพแวดล้อมว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าเรามั่วแต่เดินอาจทำให้ขาดสติขาดความชัดเจนในการตัดสินใจ หยุดเป็นระยะ แล้วค่อยเดินต่ออย่างนี้จะปลอดภัยมากกว่า
สัตว์ที่ผมได้ยินเสียง การเดินเขาก็มีพฤติกรรมอย่างที่อาจารย์บอกไว้ คือเดินแล้วก็หยุด แต่การหยุดนิ่งของเขานั้นเนินนานมาก แล้วค่อยเดินต่อ ด้วยความมืดผมจึงไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ และผมก็ไม่กล้าฉายไฟ เพราะไม่รู้มันจะชาร์จผมหรือเปล่า ผมได้แต่นั่งนิ่งๆ ไม่แม้จะขยับตัว สัตว์ตัวดังกล่าว ก็เดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา ขณะนั้นจิตใจผมจดจ่อไปที่เสียงที่คืบคลานเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
ขณะนั้นผมนั่งห่างโคนต้นไม้พอสมควร ผมจึงตัดสินใจจะขยับเข้าใกล้โคนต้นไม้เพื่อความปลอดภัย ขณะที่ผมขยับตัวแค่นิดเดียว ไอ้ตัวที่ผมได้ยินเสียงซึ่งมันก็อยู่ไม่ไกลจากผมมากนัก มันตกใจ มันวิ่งกลับเข้าป่าลึกเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ส่วนตัวผมก็ตกใจ ผวาเข้าไปหาโคนต้นไม้อย่างรวดเร็ว ด้วยความตกใจผมก็ไม่กล้าฉายไฟฉาย
เพื่อพิสูจน์ว่ามันเป็นตัวอะไรกันแน่ ขณะนั้นสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดตื่นตัวอย่างเต็มที่ ด้วยบรรยากาศที่มืดมิด ทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้เลย จำได้แม่นยำว่า ขณะนั้นลำตัวผมแนบชิดกับโคนต้นไม้ มือขวาถือไฟแช็ค มือซ้ายถือไฟฉาย สายตาเพ้งไปในความมืดข้างหน้า ขณะนั้นมีแต่สัญชาตญาณ ในการเอาตัวรอดเท่านั้น ผมนิ่งแนบสนิทที่โคนต้นไม้ใหญ่ สักพักใหญ่ ๆ ผมเริ่มได้ยินเสียงการก้าวเท้าเหมือนครั้งแรกที่ผมได้ยิน
มาจากทิศทางเดิม คือจากป่าลึก ลักษณะการก้าวเท้าก็เหมือนเดิม คือ เดินมา 2-3 ก้าว ก็หยุดนิ่ง นิ่งได้สักพักก็ก้าวต่อ เสียงเริ่มใกล้เข้ามาหาผมเรื่อย ๆ ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา ผมตื่นตัวเต็มที่ ขณะนั้นผมคิดว่าไอ้สัตว์ตัวนี้มันเดินกลับมา มันอยู่ใกล้ผมมาก แต่ด้วยความมืดผมจึงไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย ได้แต่เตรียมพร้อมอยู่ที่โคนต้นไม้ หลังแนบกับโคนต้นไม้ มือขวาถือไฟแช็ค มือซ้ายถือไฟฉาย
ใกล้ตัวผมมาก ด้วยสายตามองเห็นแต่ความมืด ผมจึงพยายามใช้หูในการฟัง ว่าได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่า เหมือนคล้ายๆ จะได้ยินเสียงหายใจ แต่ฟังไม่ถนัด ขณะนั้นผมตื่นตัวเต็มที่ หลังจากที่ผมคิดว่าสัตว์ที่ผมได้ยินเสียงมันอยู่ใกล้ผมมาก ต่างฝ่ายต่างระวังภัยเต็มที่ สักพักหนึ่งผมจึงตัดสินใจว่าจะจุดไฟแช็คเพื่อให้เห็นแสงสว่างขึ้นสักว๊าบหนึ่ง เผื่อมองเห็นว่าเป็นตัวอะไรกันแน่ ผมจุดไฟแช็ค 2-3 ครั้ง มองไม่ถนัดเพราะแสงไฟแช็คไม่สว่างพอ ผมก็เลยตัดสินใจจะส่องไฟฉาย เป็นไงเป็นกัน
สาวน้อยกับป่ากว้าง
ส่องไฟฉาย "ว๊าบ" ความสว่างสาดส่องไปในความมืด ข้างหน้าผมพบแต่ใบไม้แห้ง ต้นไม้ ความว่างเปล่า ไม่มีสัตว์สักตัว อะไรกันนี้ ที่ผ่านมาผมคิดไปเองหรือนี้ โอ้! การปรุงแต่งของจิตมันช่างน่ากลัวอะไรเช่นนี้ เมื่อผมรู้ว่าไม่มีอะไร หลังจากที่ผมส่องไฟเพื่อพิสูจน์ความจริง
ผมก็ผ่อนคลายลง แล้วนั่งทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา ครั้งแรกที่ได้ยินเสียง คงมีสัตว์เดินมาจริง ๆ เพราะช่วงที่สัตว์นั้นตกใจที่ผมขยับตัว เสียงมันดังมาก ผมก็ตกใจไปด้วย หลังจากนั้นจิตของผมมันก็ระวังภัยมากขึ้นมันก็เลยปรุงแต่งว่าสัตว์ตัวดังกล่าวนั้นเดินกลับมา
แท้ที่จริงแล้ว เขาไม่ได้กลับมา สันนิษฐานได้ว่าเสียงที่ผมได้ยินทีหลังอาจเป็นเสียงสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่เคลื่อนไหวอยู่ใต้ใบไม้ เป็นระยะ ๆ ก็เลยคล้ายการก้าวเดินเหมือนกัน ถ้าจะสรุปเป็นประสบการณ์จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็พออนุมานได้ว่าทุกวันนี้พวกเราใช้ชีวิตกันตามความเชื่อความคิด ถ้าเราขาดปัญญาในการพิจารณาไตร่ตรองตามเหตุผลที่ถูกต้อง ในการตัดสินใจ เราอาจสร้างปัญหาเพิ่มให้ตัวเราไล่แก้ ไม่จบไม่สิ้น
หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านพ้นไป ผมก็นั่งตื่นรู้ผ่อนคลายที่โคนต้นไม้ เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงเวลา 03.00 นาฬิกา ได้เวลาออกไปหาหมู่คณะ ตามที่อาจารย์บอกไว้ว่า ให้เดินตัดตรงไปหาหมู่คณะได้เลย ไม่ต้องเดินอ้อม ผมก็เดินออกจากจุดที่ผมนั่งแล้วเดินตัดตรงตามที่อาจารย์บอก แต่มันไม่เป็นไปตามนั้น เพราะว่าต้นไม้ กิ่งไม้แห้ง เถาวัลย์ ใยแมงมุม รกเต็มไปหมด และทางที่เดินตัดตรงก็เป็นทางตัน เอาละซิทีนี้ ผมเดินออกจากจุดที่ผมนั่งมาทั้งคืนไกลพอสมควร และผมจำทางกลับที่ผมนั่งไม่ได้
ผมต้องเดินวนเวียนวกวน หาต้นไม้ที่ผมนั่ง เพื่อจับทิศทางใหม่ เพราะตอนนั้นมันมั่วไปหมด กว่าจะกลับที่เดิมได้ก็ใช้เวลาพอสมควร แต่ยังไม่เข็ดครับด้วยทิษฐิ คิดว่าตัวเองนี้แน่ น่าจะกลับถูก ก็เลยออกไปอีกรอบ ก็หลงอีกครั้งหนึ่ง กว่าจะกลับมาต้นไม้ต้นเดิมได้ก็เหนื่อยหอบ แต่ก็ยังไม่เข็ดครับ ออกไปอีก 3-4 ครั้ง ก็ยังหาทางกลับไปหาหมู่คณะไม่เจอ จนรำพึงกลับตัวเองออกมาว่า เราจะเอาชีวิตมาทิ้งที่นี้เลยเหรอนี้ เพราะทางมันรกมาก จนผมยอมศิโรราบ นั่งคอยให้อาจารย์มารับ ประมาณ 6 โมงเช้า
พออาจารย์มาถึงก็เลยเล่าเหตุการณ์ให้อาจารย์ฟัง ท่านก็เลยพาเดินไปดูบริเวณที่สัตว์ป่าตัวนี้เดินมา ปรากฏว่าเห็นร่องรอยโคลนที่ติดใบไม้ สันนิษฐานได้ว่า ไม่เป็นหมี ก็หมู่ป่า อาจารย์บอกว่าด้วยประสบการณ์เรายังน้อยก็เลยยังแยกแยะเสียง แยกแยะรายละเอียดต่าง ๆ ได้ไม่ดีพอการตัดสินใจก็เลยยังไม่เฉียบขาด ถ้าเรามีประสบการณ์ในป่ามากๆ
เราจะสามารถแยกแยะเสียง แยกแยะรายละเอียดต่าง ๆ ได้ดีขึ้น การอาศัยอยู่ในป่าห้ามตีความไปเอง ต้องฟังตามความเป็นจริง มิเช่นนั้นจะโดนหลอก ที่บอกว่าโดนหลอกก็จิตใจเรานี้แหละมันจะหลอกลวงเราให้เชื่อไปต่าง ๆ นา ๆ แล้วกระทำไปตามความเชื่อแล้วจะเป็นอันตราย เพราะฉะนั้นเห็นอะไร ได้ยินอะไร ต้องตีความตามความเป็นจริง
ประสบการณ์ครั้งนี้ก็ไม่ลืมเลือนไปจากความทรงจำไปอีกนาน บางสิ่งบางอย่างเราต้องสัมผัสเอง รู้เอง เห็นเอง บางครั้งฟังมาจากคนอื่น หรือเข้าใจด้วยการอ่านมันก็ยังไม่พอ ยิ่งเป็นเรื่องธรรมะด้วยแล้ว มันเป็น " ปัจจัตตัง " ต้องรู้เอง เห็นเอง มันเป็นเรื่องเฉพาะตัว ต้องขอขอบคุณครูบาอาจารย์ที่คอยชี้แนะ ขอบคุณมิตรภาพ ขอบคุณป่าไม้ใบบังที่เป็นสถานที่ให้ฝึกฝน ขอบคุณทุก ๆ คนที่เป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายกันทุกท่าน ไว้โอกาสหน้าคงมีโอกาสเล่าอะไรให้ได้อ่านอีก ขอบคุณครับ ...
ความจริงแห่งจิตวิญญาณ
บันทึก
2
1
2
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย