Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เทพ สัญจร
•
ติดตาม
24 เม.ย. เวลา 04:51 • ไลฟ์สไตล์
เจริญจิตตื่น ครั้งแรก ภูหลวงในความทรงจำ
ภูหลวง วันที่ 5-10 ต.ค. 2553
วันเวลาผ่านไป บัดนี้เราทำอะไรกันอยู่ ความแก่ ความตาย ก็คืบคลานเข้ามาใกล้เรื่อย ภูหลวง ชื่อ ๆ นี้ เป็นสถานที่ ที่ผมใฝ่ฝันว่าจะไปเยี่ยมเยือนสักครั้ง หลังจากได้ยินได้ฟังจากอาจารย์ และพี่ ๆ ที่เคยไปมาแล้ว ปีที่แล้ว ปี 2552 อาจารย์และหมู่คณะไปกันปลายเดือนตุลาคม
และมีเหตุการณ์น่าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราว่าระหว่างการเดินทางขึ้นภูหลวง ได้เจอกับช้างโขลงใหญ่ประมาณ 30- 40 เชือก แต่ด้วยประสบการณ์ของอาจารย์และความเชี่ยวชาญของลูกหาบ ก็เลยรอดปลอดภัย ไม่มีใครเป็นอะไร แต่ก็ตื่นเต้นตกใจไปตาม ๆ กัน
ฟังพวกพี่ ๆ เขาเล่าให้ฟังเราก็ตื่นเต้นตามไปด้วย เพราะปีที่ผ่านมา ผมไม่ได้ไปด้วย อาจารย์บอกว่าการที่เราจะเจอช้างโคลงใหญ่ขนาดนี้ เป็นไปได้ยากมาก ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้ายที่ได้เจอ พอมาถึงปีนี้อาจารย์ท่านเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยอาจารย์ท่านจะนึกถึงประเด็นนี้เป็นสำคัญ ไม่ได้มีการแบ่งแยกรังเกียจ หรือขัดแย้งอะไรแต่ประการใด
จอมยุทธดอน
ปีนี้ก็กำหนดการเดินทางกันต้นเดือน ตุลาคม คือ วันที่ 5-10 ตุลาคม 2553 การเดินทางก็ตกลงกันไว้ 2 เส้นทาง คือ เส้นทางแรก ไปเจอกันที่อาศรมอาจารย์ แล้วค่อยต่อจาก อาศรม ไปที่ภูหลวง เส้นทางที่ 2 ไปเจอกันที่ อำเภอ ด่านขุนทด บ้านพี่วินัย แล้วต่อจาก อำเภอ ด่านขุนทด ไปที่ ภูหลวง ทั้ง 2 เส้นทางไป เจอกันที่ อาศรมบ้านพ่อโอ ที่ภูหลวง จ.เลย
ก็เป็นอันตกลงกันตามนี้ พอถึงวันเดินทาง ผม กับ ตุ้ม พี่ดอน 3 คนเดินทางไปหาอาจารย์ ช่วยอาจารย์ขับรถ ส่วนพี่ตุ้ยเดินทางไปหาพี่วินัย ช่วยพี่วินัยขับรถ นัดพบกันที่อาศรมบ้านพ่อโอ ที่ภูหลวง
พวกเราเดินทางมาถึงอาศรมอาจารย์ เช้า วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม โดยรถทัวร์ สาย กรุงเทพ-หล่มสัก หลับสบายมาตลอดทาง ค้างที่อาศรมอาจารย์ 1 คืน เช้าวันที่ 6 ก็ออกเดินทางแต่เช้า มี อาจารย์สมคิดมาสมทบอีก 1 คน อาจารย์สมคิดเป็นสหายธรรมกับอาจารย์มีความตั้งใจอยากไปภูหลวงมานานแล้ว ครั้งนี้ก็เลยไม่พลาดขอไปด้วยคน
อาจารย์ พ่อใหญ่ผล พี่ตุ้ย
เราออกเดินทางกันแต่เช้า ของวันที่ 6 ตุลาคม 25553 ที่ไปกันแต่เช้าอาจารย์ท่านอยากไปสำรวจดูเส้นทางที่จะขึ้นไปภูหลวงว่าเส้นทางไหนที่พอจะขึ้นได้ไม่ลำบากมากนัก เพราะครั้งนี้ไม่ได้เตรียมความพร้อมอะไรมากนัก ถ้าขึ้นเส้นทางเมื่อปี่ที่แล้วก็คงลำบาก เพราะไม่ได้ให้ลูกหาบไป สำรวจเส้นทางก่อน ต้นไม้คงจะขึ้นรกขว้างเส้นทางเดิมหมดแล้ว
พวกเราก็เดินทางกันมาเรื่อย ๆ ผมอาสาขับรถให้อาจารย์ มาถึงบ้านพ่อใหญ่ผล เป็นผู้เฒ่าที่เคยดูแลอาจารย์ สมัยที่อาจารย์มาภาวนาที่ ภูหลวง สมัยก่อนแก่เป็นพรานป่า แต่เดี๋ยวนี้เลิกแล้ว อาจารย์จะให้พ่อใหญ่ผล นำทางขึ้นภูหลวง เพราะเส้นทางบ้านพ่อใหญ่ผลนั้นใกล้กว่า เส้นทางที่อาจารย์ขึ้นเมื่อปีที่แล้ว แต่อาจจะชันกว่า เพราะเดินตัดตรงขึ้นอย่างเดียว
ตกลงกับพ่อใหญ่ผลว่า พรุ่งนี้เช้าเจอกัน แต่ว่าคืนนี้จะไปค้างที่อาศรมบ้านพ่อโอ ซึ้งเป็นโยมที่คอยดูแลอาจารย์อีกคนหนึ่ง ซึ่งเคยรับใช้อาจารย์สมัยก่อนที่อาจารย์มาภาวนาที่ภูหลวง
ได้เวลาออกผจญภัยแล้ว เช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2553 พวกเราเดินทางจากบ้านพ่อโอ มาบ้านพ่อใหญ่ผล ซึ่งอยู่คนละหมู่บ้าน พอมาถึงบ้านพ่อใหญ่ผล กว่าจะได้ขึ้นเขา ก็สายแล้ว ประมาณ 10 โมง เช้า เพราะติดเรื่องโน้นเรื่องนี้ แต่ในที่สุดก็เริ่มสตาร์ท
พวกเราเริ่มออกเดินกัน อากาศไม่ร้อนมากนัก สบาย ๆ พ่อใหญ่ผล กับลูกสาว และก็มีหลานผู้ใหญ่อีกคนนำทาง ส่วนพวกผมกับลูกหาบอีกส่วนหนึ่งก็เดินตามกันไปขบวนใหญ่
ช่วงแรกก็หลงเสียแล้ว อาจารย์นำทางไปก่อนล่วงหน้า อาจารย์ท่านนำไปเส้นทางเดิมที่เคยไปเมื่อหลายปีแล้ว แต่พ่อใหญ่ผลนำหมู่คณะอีกส่วนหนึ่งเดินตัดไปอีกเส้นทางหนึ่ง กว่าจะหากันเจอก็สนุกสนานกันยกใหญ่
ก่อนไปอาจารย์ได้เขียนแผนที่ขึ้นภูหลวงไว้ 2 เส้นทาง เส้นทางแรกขึ้นทางอาศรมบ้านพ่อโอ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ไปกันเมื่อปีที่แล้ว เส้นทางนี้จะอ้อมไกล แต่ทางเดินไม่ชัน ค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อย ๆ
เส้นทางที่ 2 บ้านพ่อใหญ่ผล เป็นเส้นทางตัดตรงใกล้กว่าแต่ทางชันกว่า ต้องปีนหน้าผาขึ้นกันเลยทีเดียว
แต่สรุปแล้ว พอขึ้นกันจริง ๆ ไม่ใช่ทั้ง 2 เส้นทางดังกล่าวเป็นเส้นทางใหม่ ที่พ่อใหญ่ผลนำทาง เป็นเส้นทางที่ไม่ชันมากนัก เดินกันได้สบาย ๆ ความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอนยังใช้ได้เสมอ
เดินขึ้นภูหลวงครั้งนี้ผมค่อนข้างเตรียมพร้อมพอสมควร จึงไม่มีปัญหาอะไรในการเดินทาง เป้ผมก็แบกเอง ฟิตพอสมควร ส่วนคนอื่น ๆ นั้น ตุ้มเพื่อนผมก็แบกเป้เอง พี่ตุ้ย พี่ดอน พี่วินัย ก็ใช้บริการลูกหาบ เพราะว่าเรื่องวัยด้วยต้องถนอมร่างกายด้วย เผื่อไม่สบายขึ้นมาจะลำบาก
พวกเราเดินกันเรื่อย ๆ ไม่ได้เร่งรีบอะไร ทางเดินก็แสนจะร่มรื่นเพราะต้นไม้ยังอุดมสมบูรณ์ มีทางชันให้ปีนป่ายเป็นระยะแต่ทุกคนก็ผ่านได้ฉะลุย... พี่ตุ้ยอาการน่าเป็นห่วงที่สุดเพราะพี่ตุ้ยพึ่งหายป่วยร่างกายไม่พร้อมเท่าไหร่ จึงต้องค่อย ๆ เดิน มีลูกหาบคอยประกบคอยให้ความช่วยเหลือ ลักษณะการเดินก็จะแบ่งกันเป็น 3 กลุ่ม
กลุ่มแรก พ่อใหญ่ผล เดินนำทางล่วงหน้าไปก่อนเพื่อเปิดเส้นทาง ส่วนกลุ่มที่สองก็เป็นกลุ่มของอาจารย์ พี่วินัย มีผมและอาจารย์สมคิดก็จะสลับไป กลุ่มที่1 และ 2 ส่วนกลุ่มสุดท้ายก็เป็นกลุ่มพี่ตุ้ย พี่ดอนและลูกหาบ
มีเรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้น ขณะที่พักที่ธารน้ำตก จุดแรก ๆ ของการเดินทาง อาจารย์ท่านก็นั่งพักที่ก้อนหินตรงต้นน้ำ ส่วนพวกผมก็กระจัดกระจายกันไป พักผ่อนสบาย ๆ ก็คุยกันตามปกติ สักพัก อาจารย์ก็สั่งให้ทุกคนเงียบ... เพราะอาจารย์ท่านได้ยินเสียงช้างที่อยู่ถัดจากพวกเราไปไม่ไกล เสียงช้างเหมือนเตือนให้พวกเราทราบว่า พวกเขารู้แล้วว่ามีคนเข้ามาในเขตป่า แต่พวกผมก็อดทึ่งไม่ได้ว่า อาจารย์ท่านทราบได้อย่างไรเพราะเสียงน้ำไหล เสียงพูดคุยกันเสียงดังพอสมควร แต่อาจารย์ท่านก็แยกแยะเสียงได้ละเอียดจริง ๆ
ผ่อนพัก ตระหนักรู้ ที่นี้แหละที่อาจารย์ท่านได้ยินเสียงช้างร้องที่อยู่ถัดขึ้นไปจากที่พวกเรานั่งพักอยู่
ช้างป่าในยุคนี้ ดุกว่าสมัยที่อาจารย์มาภาวนาที่ภูหลวงเมื่อสมัยก่อน เพราะยุคนี้มนุษย์ได้รังแกสัตว์ป่ามากขึ้น มีการขึงลวดแล้วปล่อยกระแสไฟฟ้ามาตามเส้นลวดเพื่อกันช้างไม่ให้มากินพืชที่ชาวบ้านปลูกไว้ ทำให้ภายหลังเมื่อช้างเห็นคนเมื่อใด ก็ตรงเข้ามาทำร้ายทันที ไม่เฉยเหมือนเมื่อก่อน
หลังจากที่อาจารย์ให้สัญญาณทุกคนก็เงียบแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็เลยเดินทางต่อ ถัดไปไม่ไกลก็เห็นรอยเท้าช้างใหม่ๆ สงสัยเป็นตัวที่ส่งเสียงร้องเมื่อกี่แน่เลย
จอมยุทธ พี่ดอน พี่ตุ๋ย เพื่อนตุ้ม
นั่งพักผ่อน ที่น้ำตกก่อนเดินทางต่อไป
เดินไปตื่นรู้สรรพสิ่ง ที่สัมผัสรับทราบ ไม่มีอะไรคงทนถาวร ไม่มีอะไรไม่เปลี่ยนแปลง ระหว่างทางผ่านต้นไม้ขนาดใหญ่ล้ม เพราะแรงลมหรือดินพังทลาย ที่น่าอัศจรรย์ ก็คือ
ธรรมชาติสวยงาม
ระหว่างทางเดินขึ้นภูหลวง
มีงูเขียวหางไหม้ตัวขนาดใหญ่พอสมควรนอนคดตัวอยู่ท่ามกลางเฟิร์นข้าหลวง เหมือนดอกของเฟิร์นข้าหลวงยังไงยังงั้นเลย สงบนิ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน สีก็กลมกลืนกัน ถ้าอาจารย์ไม่ชี้ให้ดูผมคงไม่เห็น
ดอกเฟร์นข้าหลวง
น่าอัศจรรย์จริง ๆ ธรรมชาติ
งูเขียวหางไหม้ กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับเฟร์นข้าหลวง
นั่งได้สักพักใหญ่ ๆ บรรยากาศเริ่มมืดก็เลยต้องเดินกันต่อเพราะยังไม่ถึงจุดที่จะพัก
อาจารย์ท่าทีที่คุ้นเคย ตื่นรู้กับธรรมชาติ
ต้นไม้ใหญ่ระหว่างทางเดินขึ้นภูหลวง
พี่วินัย อาจารย์สมคิด พ่อใหญผล
นั่งพักจุดสุดท้ายก่อนขึ้นยอดภูหลวง
อาจารย์กำลังชี้ให้ดู ภูหอ
พี่วินัย จอมยุทธแห่งด่านขุนทด
กว่าจะถึงจุดที่จะพักได้ก็เวลา ประมาณ 3 ทุ่มกว่า บรรยากาศก็มืดมิด เราก็กางเต้นท์เตรียมอาหารเย็น สบาย ๆ ผมก็ได้ต้มมาม่า ตามด้วยกาแฟ หนึ่งแก้ว ก็สบายท้อง...
จุดแรกที่ขึ้นถึงยอดภูหลวง
ผมกางเต้นท์ห่างจากเพื่อน ๆ พอสมควรกะกว่าจะปลีกวิเวกสักหน่อย หลังจากนั้นอาจารย์ก็แวะมาดูพวกเรา และท่านก็ถามว่า จะไปดูที่อาจารย์สมคิดพักหรือเปล่า ให้เตรียมถุงนอนไปด้วย เผื่อไม่ได้กลับมาที่เต้นท์
ภูหอ มองจากภูหลวง
เอาแล้วซิ...สงสัยอาจารย์จะให้การบ้านพิเศษ ลักษณะภูมิประเทศของภูหลวงนั้น เป็นลานหิน และมีหญ้า มีดอกไม้ มีต้นหญ้าขึ้นบนหิน ซึ่งเป็นเรื่องอัศจรรย์ของธรรมชาติ และมีต้นสนขึ้นอยู่ อย่างหนาแน่นพอสมควร มากกว่าที่ภูกระดึง ลักษณะของต้นสนก็หยิกงอสวยงามตามธรรมชาติ
ห้องสุขาของพวกเรา ก็ตามโขดหิน จะมีพุ่มของต้นหญ้า เพียงแค่เราดึงพุ่มหญ้าขึ้นมามันจะติดมาทั้งกอ ก็จะเห็นลานหินแล้วก็ใส่ปุ๋ยโดยของเสียของพวกเราลงไปในที่ลานหินเสร็จแล้วก็ย้ายก่อหญ้ากลับมาไว้ที่เดิม แม้ธรรมชาติสุดแสนจะเรียบง่ายโดยแท้
สรุปแล้วคืนนี้ผมก็ไม่ได้นอนที่เต้นท์ เพราะอาจารย์ให้เราภาวนาที่ก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง และก็มีพี่วินัย กับพ่อโอ อยู่หินก้อนใหญ่แถว ๆ เดียวกัน
คืนนี้เป็นอีกคืนหนึ่งที่ได้สัมผัสกับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ สิ่งที่สะท้อนออกมาจากใจ คือ ป่าสน ทิวเขา ความมืด ความง่วง ผมนั่งตื่นรู้ อยู่สักพักใหญ่ ก็ทนความง่วงไม่ไหว ก็หลับไปบนหินก้อนใหญ่ ต้องขอบคุณสำหรับที่พักอันแสนจะอบอุ่นของธรรมชาติ
แสงอาทิตย์เริ่มสาดส่อง
เช้าแล้ว เมื่อคืนมาถึงก็มืดแล้ว มองเห็นอะไรไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ พอแสงแรกแห่งวันเริ่มฉาย เช้าวันใหม่เริ่มขึ้น บรรยากาศรอบ ๆ บริเวณที่ผมอยู่ก็เริ่มชัดเจนขึ้น ลานหิน ต้นสน พุ่มหญ้า พุ่มดอกไม้ ทิวเขา ภูยองภู เมฆหมอกลอยล่องอบอวลทั่วขุนเขา ช่างเป็นบรรยากาศที่หาดูได้ยากยิ่ง เงาสะท้อนของใจดวงนี้ ช่างมีมุมมองที่ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เห็น แต่มันก็ปรากฏกับใจดวงนี้ ในขณะนี้แล้ว ตื่นรู้รับทราบไปกับปรากฏการณ์ที่อัศจรรย์แห่งธรรมชาติ
ก้าวต่อก้าวขณะต่อขณะ
เดินตามป่าสน สนจิต สนใจ
เป็นไปตามสิ่งที่เป็น เป็นหนึ่งเดียวกัน
คณะสำรวจทั้งภายในและภายนอก
ม้าวิ่ง เห็นเป็นระยะ ๆตามทางเดิน
ม้าวิ่ง
ภารกิจของวันนี้ เราจะเดินไปกันที่ผากบ ไปพักกันที่ผากบ แต่ระหว่างทางเราจะต้องผ่านโหล่นแอ่วสาว โหล่น....จำชื่อไม่ได้ มีบ่อทรายดูดด้วย
ช่วงเวลาในการเดินไปก็จะพบกับธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ธรรมชาติที่ยังสมบูรณ์พอสมควรเพราะที่นี้ปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นมาเที่ยวมาหลายปีแล้ว ธรรมชาติก็เลยยังดูสมบูรณ์ ต้นสนก็มีให้เห็นอยู่ตลอดระยะการเดินทาง บางต้นก็ล้มตาย เพราะโดนไฟป่าแผดเผา แต่ก็มองเห็นต้นสนเล็ก ๆ ที่เติบโตขึ้นมาแทนที่ แต่กว่าจะโตขึ้นมาได้คงต้องใช้เวลาสิบปี แต่ธรรมชาติก็มีสมดุลของเขาอยู่ ถ้าไม่มีมนุษย์เข้ามาแทรกแซงเขาก็ดูสมดุลกลมกลืนกันดีแท้
วันนี้เดินสบายมาก เพราะทางเดินนั้นชัดเจนดี เจอพืชพรรณไม้แปลก ๆ เยอะแยะ มีดอกไม้ประจำภูหลวง คือ เปราะภู ม้าวิ่ง และกล้วยไม้ป่า มีไลเค้นขึ้น มีให้เห็นสวยงามตามธรรมชาติ มีแจกันดอกไม้ป่าขึ้นตามโขดหิน มีสายธาราให้ปลาได้แหวกว่าย มีพรรณไม้นา ๆ ชนิดขึ้นอยู่กันเป็นกลุ่ม บางกลุ่มก็มีสีเหลือง บางกลุ่มก็มีสีแดง แต่ทุกกลุ่มต่างอยู่คนละที่ไม่ระรานกัน โอ้ หนอ...ธรรมชาติ บางกลุ่มก็โตขึ้นมาจากแอ่งน้ำใส เจริญงอกงามเติบโตจากโคลนดิน
หนึ่งเดียวกัน
กล้วยไม้ป่า ที่โตจากพื้นหิน การปรับตัวของธรรมชาติเพื่อความอยู่รอด
แจกันดอกไม้ ธรรมชาติ
เติบโตบนก้อนหิน สวยงามอัศจรรย์
ดอก เปราะภู มีแต่ที่ภูหลวงเท่านั้น
เปราะภู
แขกที่สร้างสีสรรให้กับการเดินทาง
ลายนี้เห็นแต่ที่ภูหลวง สวยงาม
เดินผ่านบ่อทรายดูด ถ้าเราลงไปในบ่อนี้ต้องโดนดูดแน่นอน แต่ไม่มีใครกล้าพิสูจน์ มีพี่ ๆ ลองเอาไม้เท้าปักลงไปที่บ่อทรายดูด บ่อทรายก็ค่อย ๆ ดูดกลืนไม้ไปที่ละนิด ทีละนิด ก็แปลกดี ลูกหาบให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ถ้าหน้าแล้งจะเห็นชัดเจน เพราะน้ำน้อย เขาจะต้องการอาหารมาก แต่หน้าฝน ไม่เท่าไหร่เพราะน้ำเยอะ เขาอิ่มตัวอยู่แล้ว ก็ว่ากันไปนะธรรมชาตินี้ก็แปลกดี
บ่อทรายร้อง
ผ่านบ่อทรายร้องไปไม่ไกลเท่าไหร่ ก็หาที่นั่งพักผ่อนกันตามโขดหิน และก็มีแขกไม่ได้รับเชิญมาเยือน นั้นก็คือฝนตกห่าใหญ่ ว่าจะทานมื้อเที่ยงกันตรงนี้ก็เลยต้องหลบฝนกันก่อน ผมไม่รู้จะหลบตรงไหน ก็ใส่เสื้อกันฝน นั่งตื่นรู้กับสายฝน สายน้ำ ทิวเขา ป่าสน อยู่บนโขดหินก้อนหนึ่ง
คนเรานี้ก็แปลกนะ ขนาดฝนตกหนักขนาดนั้น ผมก็ยังเผลอหลับท่ามกลางสายฝน สงสัยคงเพลียหลังจากเดินทางมากันพอสมควร
หลังจากฝนหยุดตก อาจารย์ท่านก็ชวนเดินสำรวจบริเวณนี้ ซึ้งอยู่ใกล้ ๆ ผากบ เราจะพักกันคืนนี้
ฟ้าหลังฝนช่างสดใส อากาศสดชื่น จิตใจ อิ่มเอมเบิกบานท่ามกลางธรรมชาติ เดินลัดเลาะป่าหญ้าคา ซึ้งขึ้นอยู่เต็มไปหมดแถว ๆ นั้น เดินไปไม่ไกลก็เจอหน้าผา ซึ้งทอดยาวมาจากโหล่นแต้ ยาวมาจนถึงผากบ แต่ช่วงที่เราเดินมาเดินตัดเข้าไปในป่า แต่ขากลับอาจารย์จะพาเดินตามขอบหน้าผาไปเรื่อย ๆ จนถึงโหล่นแต้
หลังจากสำรวจสถานที่พักคืนนี้แล้ว อาจารย์ก็พาเดินกลับมาหาลูกหาบ ก็ทานอาหารกลางวันกัน เมนูเราก็สุดแสนจะโรแมนติก นั่นก็คือ ส้มตำ น้ำพริก สุดยอดอาหารขณะนี้แล้ว
หลังจากทำภารกิจเรื่องอาหารการกินเสร็จแล้ว อาจารย์ท่านจะพาเข้าป่าไปหา หวายป่า ซึ้งเป็นพืชชนิดหนึ่งที่สามารถกินได้ พวกสัตว์ เช่น ช้าง ก็ชอบกิน ก็ได้มีดคนละเล่ม เตรียมพร้อมสำหรับเป็นอาวุธ ในการหาหวายกัน
พี่ตุ้ย ผู้เชี่ยวชาญการฟันหวายป่า
จอมยุทธพี่ตุ้ย
พ่อโอ คนพื้นถิ่น เรื่องหาของป่า ไม่ต้องพูดถึง มืออาชีพอยู่แล้ว
พ่อโอ ศิษย์อาจารย์รุ่นแรกๆ สมัยอาจารย์มาภาวนาที่ภูหลวง
หมู่คณะที่ไป ก็ไปด้วยกันหมด ยกเว้น ตุ้ม เพื่อนผมบอกขออยู่กับลูกหาบ ก็มี ผม อาจารย์ พี่ดอน พี่ตุ้ย พี่วินัย อาจารย์สมคิด พ่อโอ ก็พากันเดินตัดเข้าป่า ภูยองภู เพื่อเรียนรู้วิถีป่า เผื่อมีโอกาสหลงป่า มาใช้ชีวิตในป่า จะได้เอาตัวรอดได้...
ลูกหาบซึ่งเป็นผู้ชาย ก็ช่วยกันหาอาหารป่า กะว่าอาหารมื้อต่อไป คงจะได้ชิมรสหวายป่ากัน
เข้าป่าไปได้ไม่ไกลมากนัก อาจารย์ก็พอออกมา ได้ตัดหวายไม่กี่ต้น เพราะไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่
ออกมาจากป่ามาก็ไม่ไกลจากจุดที่พักเท่าไหร่ แต่อาจารย์ท่านคงกลัวว่าพวกเราจะไม่เหนื่อย ท่านก็เลยพาเดินอ้อม ทะลุป่า ไปหน้าผาที่ถัดจากผากบมาไม่ไกลมากนัก เกือบถึงโหล่นเครื่องบินตก ก็เดินกันมันเลย เล่นเอาเหนื่อยพอสมควร แต่บรรยากาศดีมาก เดินตามป่าหญ้าคา บางจุดก็มองเห็นหญ้าคาลู่ไปเป็นทาง อาจารย์ท่านบอกว่าทางช้างเดิน ต้นสนก็มีขนาดใหญ่ แปลว่าสนพวกนี้ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านมรสุมมาได้ เพราะต้นใหญ่มาก ดูแล้วอดที่จะชื่นชมไม่ได้
ต้นสนยักษ์
สนสองใบ
กว่าพวกเราจะถึงที่จุดลูกหาบอยู่ก็มืดแล้ว ทำให้ทัศนะวิสัยในการมองเห็นไม่ดีเท่าที่ควร ก็ต้องพึ่งไฟฉายในการส่อง ทำภารกิจส่วนตัว สรุปแล้ววันนี้เราพักกันที่ผากบ ซึ่งเป็นสถานที่ที่สวยงามมาก เหมาะในการภาวนาและปลอดภัยจากสัตว์ต่างๆ
ผากบเป็นหน้าผาที่มีก้อนหินใหญ่ลักษณะคล้าย ๆ กบ ตัวใหญ่วางอยู่ตรงริมหน้าผา อาจารย์ท่านกางเต้นท์บริเวณใกล้ ๆ กบ ส่วนลูกศิษย์ก็กระจายกันไปตามโขดหิน ส่วนผมก็ขอปลีกไปไกล ๆ หน่อย อาจารย์ท่านก็ชี้จุดให้ก็เหมาะพอสมควรทีเดียว
เส้นทางตื่นรู้
พักผ่อน สบาย ๆ หลังจากเดินกันมาไกลพอสมควร ข้างหลังเป็นวิวของ ภูหอ ถัดไป ก็ภูกระดึง
พี่วินัย ใจเต็มร้อย
จอมยุทธพี่วินัย เป็นคนถวายที่สร้างอาศรมอาจารย์
เดิน ๆ เดินไป กับใจที่เบิกบาน
บริหารปัจจุบันขณะ
จุดที่ผมกางเต้นท์อยู่ ก็มีมูลช้างแห้งกองอยู่หลายกอง มีความรู้เรื่องขี้ช้างมาเล่าสู่กันฟัง
เส้นทางริมหน้าผา
ลูกหาบบอกว่าถ้าเจอขี้ช้างใหม่ๆ อยู่ ไม่ต้องกลัวเพราะว่าเขาไปแล้ว แต่ถ้าเจอขี้ช้างแห้งให้ระวังตัวเอาไว้ให้ดี เพราะธรรมชาติช้างเขาจะเดินเป็นวงรอบ คือทางเดินที่เขาเคยเดินไปไหนเขาก็จะไปอีก แต่รอบในการเดินของเขาจะกว้าง เพราะฉะนั้นถ้าเราเจอขี้ช้างใหม่ๆ อีกนานกว่าเขาจะวนกลับมา แต่ถ้าเป็นขี้ช้างแห้ง ไม่แน่ เพราะโชคดีอาจจะครบรอบของเขาพอดี
ท้องฟ้าเริ่มมืดมิด บรรยากาศเริ่มเข้าสู่เวลากลางคืน บริเวณที่ผมกางเต้นท์อยู่ มีก้อนหินขนาดใหญ่อยู่ริมหน้าผา ผมก็อาศัยหินก้อนนี้ในการตื่นรู้ บรรยากาศเงียบสงัด สรรพสิ่งต่างแสดงบทบาทตามหน้าที่ ธรรมชาติภายนอกกับธรรมชาติภายในก็สลับสับเปลี่ยนกันมาแสดงบนเวทีแห่งใจ ใจคือที่ว่าง ให้ทุกสรรพสิ่งได้มาแสดงบทบาทชั่วคราว
ไม่มีอะไรที่จะสามารถคงทนถาวรอยู่ในเวทีแห่งใจว่าง ใจไร้ นี้ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเสียงสัตว์ต่าง ๆ ความปรุงแต่งของจิตใจ ความหนาวเย็น ความเหนื่อย ความง่วง ความฟุ้งซ่าน ความสงบ ความรู้สึกต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย มันเป็นของมันอยู่อย่างนี้แหละธรรมชาติ
บริเวณผากบ
อาจารย์กำลังแสดงธรรมบนก้อนหินใหญ่ ที่เรียกกันว่า ผากบ ดูช่างมีความกลมกลืนดีแท้
สักพักใหญ่ ๆ ผมได้ยินเสียงคล้ายมีการเคลื่อนไหวข้างหน้าที่ผมนั่งอยู่ ถัดไปจะเป็นโขดหินและทางลาดลงไปจะเป็นต้นสน และก็ป่า ด้วยความสงสัยผมก็ส่องไฟฉายลงไปดู ก็มองไม่เห็นอะไร น่าจะเป็นผมอาจปรุงแต่งไปเอง ผมก็นั่งสักพักก็เดิน ดึก ๆ หน่อยก็ขอนอนแล้ว พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากันใหม่
อีกมุมหนึ่งกับผากบ
เช้าวันใหม่เป็นเช้าที่น่าประทับจิตประทับใจสำหรับชีวิตผม อาจารย์กำลังนั่งอยู่บนหลังกบตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมหน้าผา กำลังสาธยายธรรม และก็มีลูกศิษย์นั่งรายล้อมรอบ ๆ กบใหญ่ นั่งฟังธรรมอย่างสงบ ทุกอย่างล้วนดำเนินไปกลมกลืนประสานเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
ทิวสนบริเวณผากบ
บนยอดภูหลวง ที่ผากบ เสียงนกนา ๆ ชนิดต่างส่งเสียงระงมทั่วขุนเขา เสียงช้างร้อง “ แปร้น “ ดังมาจากหุบเขาเบื้องล่างไกล ๆ เสียงแสดงธรรมของอาจารย์ดังสอดแทรกกับเสียงธรรมชาติที่ต่างแสดงบทบาทอยู่ตามธรรมชาติ แสงแห่งธรรมบรรเจิดจ้าแจ่มจรัสชัดเจน ในขุนเขาแห่งภูหลวง และแห่งใจของเราเอง ทุกสรรพสิ่งแสดงบทบาทอยู่ตามธรรมชาติ ไม่มีอะไรเป็นอะไร เป็นยังงั้นแหละ ทุกอย่างเกิดและดับ ไม่มีอะไรจะค้างอยู่ในใจได้
พระอาทิตย์ เริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ความร้อนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็เป็นธรรมชาติอย่างนี้แหละ สายลมที่พัดผ่าน อุ่น ร้อน อ่อน แข็ง ที่เกิดขึ้น มันก็เป็นยังงั้นแหละ เราจะเข้าถึงความเฉยอย่างมีปัญญา เพราะเราเห็นและเข้าใจแล้วว่า ทุกสรรพสิ่งยึดไว้ไม่ได้ ทุกสรรพสิ่งต่างเป็นเงาสะท้อนของจิตใจของเราเอง
ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นปรากฏการณ์ของจิต ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นอุปกรณ์นำไปสู่สัจธรรมที่แท้จริง ทุกสรรพสิ่งเป็นเพียงนิ้วชี้ ที่ชี้ไปที่พระจันทร์ แต่ไม่ใช่พระจันทร์ ธรรมที่เป็นตัวหนังสือ คำพูดที่อธิบายสัจธรรม เป็นเพียงอุปกรณ์ เป็นเพียงแผนที่ เป็นเพียงลายแทงแห่งขุมทรัพย์ แห่งสัจจะ อย่ายึดสิ่งใด เพียงเฝ้าสังเกตอย่างแผ่วเบา แล้วสัจธรรมจะเปิดเผยออกมา
เสียงต่าง ๆ ล้วนเป็นปรากฏการณ์ในความว่าง ไม่สามารถยึดถือสิ่งใดได้เลย เรียนรู้ไปเพื่อให้เข้าใจโดยแท้จริงว่า สิ่งต่าง ๆ ไม่สามารถยึดถือเอาได้ สุขครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกข์ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่มีครั้งใดเลยที่จะคงทนถาวร ล้วนต่างเกิดดับไปตามเหตุปัจจัย จะเอาอะไร ในเมื่อมันเอาไม่ได้ มันยึดไม่ได้ มันชัดเจนในจิตใจอยู่อย่างนี้ ครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วสัจธรรมก็จะเปิดเผยออกมา
เพียงแต่นั่งอยู่ข้างริมธารนั้น แล้วสายน้ำก็จะพัดผ่านไปเอง สายลม หมอกเมฆ แสงอาทิตย์ ปรากฏอยู่ที่ใจเรานี้เอง ความอิ่มเอม ความปีติ ความอิ่มใจ มันก็ปรากฏอยู่ที่ใจเรานี้เอง ปรากฏการณ์ภายนอกเชื่อมกับปรากฏการณ์ภายใน เพียงแค่ ตื่นรู้ รับทราบทุกอย่างล้วนเป็นปรากฏการณ์ชั่วคราวแล้วเราจะไปยึดอะไรกับของชั่วคราว มันยึดไว้ไม่ได้
ทุกสรรพสิ่งต่างไหลเลื่อนเคลื่อนไหวเป็นไปอยู่เช่นนี้
สายลมพัดพาเมฆหมอกมาปะทะกับก้อนหินใหญ่แตกกระจายไหลไปสู่ความว่าง ทิวเขาเบื้องหน้าไม่ว่าจะเป็น ภูหอ ภูกระดึง ต่างหายไป เพราะหมอกเมฆปกคลุมไปทั่ว โอ้! ธรรมชาติ มันเป็นยังงี้ มันเป็นยังงี้ ยังงี้ ยังงี้ ไม่มีบังคับกฎเกณฑ์ไม่มีผู้กระทำ ไม่มีผู้ถูกระทำ มีเพียงปรากฏการณ์ชั่วคราว ขณะหนึ่ง ขณะหนึ่ง แล้วเปลี่ยนไป บังคับไม่ได้ เพียงแค่ตื่นรู้ รับทราบความเปลี่ยนแปลง ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ต้องพูดถึง มีพร้อมสรรพอยู่แล้ว เมื่อเราตื่นรู้กับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
อย่าพยายามทำอะไรเลย อย่าไปบังคับกฎเกณฑ์อะไรเลย สายลมจะพัดไปทางไหน เมฆหมอกจะไหลไปยังไง ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ปล่อยไปเถอะ ปล่อยให้มันเป็นไป อย่างที่มันเป็น...
พ่อโอขอบคุณ สำหรับอาหารที่ให้กำลัง เพื่อทำประโยชน์ตนประโยชน์ผู้อื่น สาธุ...
หลังจากที่ฟังธรรม ดื่มกาแฟยามเช้า รับอรุณเรียบร้อยแล้ว ลูกหาบก็เตรียมอาหารเช้า ก็นั่งทานกันตรงโขดหิน บริเวณริมหน้าผา เรียบง่าย แต่ยิ่งใหญ่ คงหาบรรยากาศแบบนี้ได้ ไม่ง่ายนัก...
หลังจากนั้น ผมก็ไปเก็บเต้นท์ ทุกคนก็ทำภารกิจส่วนตัวด้วยความที่ผมกางเต้นท์อยู่ห่างหมู่คณะ มีก้อนหินขนาดใหญ่กั้นอยู่ ทำให้มองไม่เห็นใครเลย ผมก็ทำภารกิจส่วนตัวและเก็บเต้นท์เสร็จเรียบร้อย กะว่าจะเดินสบทบกับหมู่คณะ ปรากฏว่าไม่เห็นใครเลยสักคน ผมตะโกนร้องไปรอบ ๆ บริเวณ มีแต่ความเงียบ ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ เอาล่ะซิ เหลือแต่เราคนเดียวเหรอนี่ ก็ตั้งสติ จำได้ว่า อาจารย์เคยบอกว่า จะเดินเลียบหน้าผาไปเรื่อย ๆ
ผมก็ไม่ได้ตกอกตกใจอะไร สะพายเป้ขึ้นหลัง มองซ้ายมองขวา ก็เห็นช่องทางเดินเล็ก ๆ ใกล้หน้าผา น่าจะเป็นเส้นทางนี้แหละ เดินไปได้ซักพัก ก็มีเส้นทางที่เดินไปป่าสน ไม่ได้เลียบหน้าผาไป ผมตัดสินใจเดินตามเส้นทางนี้ คิดว่า อาจารย์น่าจะเดินตัดเข้าป่า ไม่ได้เดินเลียบหน้าผา แต่ขณะที่ผมเดินไปเรื่อย ๆ ผมก็หยุดฟังเสียงเป็นระยะ ๆ พอเดินไปซักระยะ ผมก็หยุดฟังเสียงอีกครั้ง ปรากฏว่าได้ยินเสียงคนคล้ายคนดังอยู่ในระยะไกล ริมหน้าผาห่างออกไป
พ่อโอ ศิษย์รุ่นแรก ๆสมัยที่อาจารย์มาภาวนาที่ภูหลวงแห่งนี้
เออ! ใช่แล้ว อาจารย์ท่านเดินเลาะริมหน้าผาไปจริง ๆ ผมเกือบหลงป่าไปแล้ว เพราะตัดสินใจผิด โชคดีที่ได้ยินเสียงลูกหาบที่เดินรั้งท้ายขบวน พอผมเดินไปสมทบกับหมู่คณะ ก็เรียนบอกอาจารย์ไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อาจารย์ท่านก็บอกว่า ท่านเรียกเราแล้วนะ สงสัยผมจะไม่ได้ยินเสียงอาจารย์เรียก แต่ก็ดี เราได้เรียนรู้อะไรต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น
เส้นทางสายเลาะริมหน้าผานี้ เป็นเส้นทางที่สวยเส้นทางหนึ่ง ขณะที่เดินอยู่นั้น ก็มีหมอกซึ่งก่อตัวอยู่ด้านล่าง โดนสายลมพัดพาขึ้นมา ล้อเล่นกับโขดหิน หญ้าคาตรงริมหน้าผา แลดูเหมือนหมอกควัน คล้ายเดินบนสวรรค์ชั้นฟ้าก็ไม่ปาน
ระหว่างทางเดิน มีหินก้อนหนึ่ง คล้าย ๆ รอยพระบาทตั้งอยู่เด่นเป็นสง่าน่าทึ่ง อาจารย์สมคิดก็เลยจารึกอักษร “พุทโธ” เพื่อเป็นสิริมงคลแห่งป่าเขา เพื่อสายลมจะได้สาธยายมนต์บทนี้ไปทั่วท้องทุ่งทิวสนแห่งป่าภูหลวงแห่งนี้
ถัดจากหินรอยพระบาทไปไม่ไกล อาจารย์กำลังขับยานที่ขนส่งสรรพสัตว์ไปสู่ โลกุตรนิพาน มีหินก้อนหนึ่งเป็นหินที่แตกแยกออกมาจากกลุ่ม แต่ยังไม่ร่วงลงพื้น ทำให้มันขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวระหว่างรอยแตกได้ อาจารย์พาหมู่คณะทั้งหมดขึ้นยานหินขยับก้อนหินกันยกใหญ่
ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวกันได้ซักพัก อาจารย์ก็พาเดินต่อ เดินต่อมาได้ไม่ไกลนัก อาจารย์ท่านก็ชี้จุดที่ท่านเคยเผชิญหน้ากับช้างโดยไม่ทันตั้งตัว สมัยที่ท่านมาภาวนาที่นี่คนเดียว แต่ก็ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น เพราะเมื่อเจอกันแล้ว ก็ทางใครทางมัน ต่างคนต่างไป
ก้อนหินใหญ่ที่สามารถขยับได้
อาจารย์กำลังชี้จุดที่เจอกับช้าง ตัวต่อตัว
การเดินทางในวันนี้ เป็นอีกวันหนึ่งที่ค่อนข้างจะสบาย เพราะอากาศสดใส ไม่ร้อนมาก ไม่มีเมฆฝน ผมทำหน้าที่อีกหน้าที่หนึ่ง คือ ตากล้อง เพราะในกลุ่มต้องคอยเก็บบรรยากาศไว้ เพื่อฉายภาพของสัญญาให้แจ่มชัด (สัญญาคือความทรงจำ) ระหว่างการเดินทางในท่ามกลางธรรมชาติช่างช่วยจิตใจให้เบิกบานชุ่มชื่น มีความสงบในการเคลื่อนไหว เป็นประสบการณ์ที่ดีทุกครั้งที่ได้เดินทางท่ามกลางธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพร
บรรยากาศระหว่างเดินกลับโหล่นแต้ สบาย ๆ
คืนนี้เราจะกลับไปนอนที่โหลนแต้ ซึ่งเป็นที่เดียวกับที่เรามาถึงคืนแรก แต่คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายก่อนที่จะกลับลงจากเขาพรุ่งนี้เช้า
พอมาถึงโหลนแต้ วันนี้อาจารย์ก็ให้พักตามอัธยาศัย ผมกางเต้นท์ท่ามกลางโขดหิน ดึก ๆ มาอยากพิสูจน์ความกล้าก็เลยตัดสินใจไปอาบน้ำในธารน้ำที่ต้องเดินเข้าไปในป่าลึก แต่ก็ไม่ไกลมาก แต่ก็เล่นเอาขี้หดตดหายพอสมควร จำได้ว่า รีบอาบน้ำมากเพราะกลัวช้างมา พออาบเสร็จก็รีบกลับเต้นท์ทันที
ก้อนหิน ก้อนนี้เป็นหินที่อาจารย์ท่านมานั่งภาวนาเป็นประจำ ถ้ามาที่ภูหลวงแห่งนี้
นั่งตื่นรู้ กับบรรยากาศยามเช้า
พอรุ่งเช้า หลังจากเก็บสัมภาระอะไรเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางลงเขา เป็นการเดินทางที่ประทับใจอีกครั้งหนึ่ง ถ้าใครได้มีโอกาสไปเยียนภูหลวง ก็ไม่น่าที่จะทิ้งโอกาสอันงดงามนี้
ปล. ขอบคุณอาจารย์และเพื่อน ๆ พี่ ๆ และลูกหาบทุกท่านที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้สมบูรณ์
ทุ่งดอกไม้แห่งการตื่นรู้
บันทึก
3
2
3
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย