24 เม.ย. เวลา 08:00 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

ตำนานเงา​

แห่งพระราชวัง​ Hermitage​ 🕍🇷🇺
​คำสาปแห่งโรมานอฟ (ตอนที่​ 0️⃣1️⃣)​
เสียงกระซิบในห้องมาลาไคท์
บทนำ​ 📖▪️▪️◾
ณ ใจกลางพระราชวังฤดูหนาวอันโอฬารของ
เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ที่ซึ่งเหล่าจักรพรรดิและจักรพรรดินีแห่งราชวงศ์โรมานอฟเคยปกครองอาณาจักรอันกว้างใหญ่​มีห้องๆ หนึ่งที่งดงามจับตาและแฝงด้วยกลิ่นอายของปริศนาอันมืดมน...
ห้องมาลาไคท์ (Malachite Room)
(Hermitage​ ประตูสู่ศิลปะและวัฒนธรรม​ที่รวบรวมผลงานชิ้นเอกไว้กว่า 3 ล้านชิ้น​ 🕍🪟)​
ผนังทั้งสี่ด้านประดับประดาด้วยหินมาลาไคท์สีเขียวเข้มแวววาว​ ราวกับมรกตอันมีชีวิต ตัดกับทองคำสุกปลั่งและเฟอร์นิเจอร์ไม้แกะสลักอย่างวิจิตร ม่านกำมะหยี่สีเขียวเข้มทิ้งตัวพริ้วไหวจากเพดานสูงราวกับม่านปิดบังความลับของยุคสมัย และกลางห้องนั้นมีเตาผิงหินมาลาไคท์ ที่ว่ากันว่าหากกองไฟในเตาถูกจุดขึ้นเมื่อใด จะเผยให้เห็นเงาของผู้ที่
หลับใหลในอดีตปรากฏอยู่ในกระจกบานสูงริมผนัง
▪️ ว่ากันว่าในยุคซารีนาแคทเธอรีนที่ 2 ห้องนี้มิได้เป็นเพียงที่รับรองแขกหรือจัดงานสำคัญ หากแต่ยังเป็นสถานที่เก็บพระศพชั่วคราวของจักรพรรดินีและสตรีสูงศักดิ์ในราชวงศ์โรมานอฟ ก่อนที่พระศพ
จะถูกส่งไปยังสุสานราชวงศ์แห่งมหาวิหารปีเตอร์แอนด์พอล การสิ้นพระชนม์​อย่างมีปริศนา ท่ามกลางการเมืองอันโหดร้าย วิญญาณโรมานอฟจึงไม่เคยสงบ และเมื่อราตรีมาเยือน เสียงกระซิบเบาๆ
ในยุคศตวรรษที่ 18 ยังคงลอยผ่านม่านหนา เสมือนเรียกหาคนที่กล้าก้าวล่วงเข้ามาในแดนต้องห้าม
ตำนานได้บอกเล่าต่อกันมาว่า หากมีผู้ใดล่วงล้ำเข้ามาในห้องมาลาไคท์ในยามวิกาล แตะต้องสมบัติ
ต้องคำสาป โดยเฉพาะเครื่องประดับมงกุฎของ
ซารีนา หรือชุดราตรีประดับเพชรน้ำงามที่เก็บไว้ใน
ตู้กระจก วิญญาณของราชวงศ์จะออกมาตามจองเวร ผู้นั้นจะได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังก้องกังวานไปทั่วห้อง แม้รอบข้างจะว่างเปล่า ม่านกำมะหยี่จะไหวสะท้านเองโดยไร้ลม และเงาร่างของหญิงสาวใน
ชุดราตรีศตวรรษก่อน จะปรากฏให้เห็นผ่านกระจกบานยักษ์ ท่ามกลางแสงจันทร์สลัวที่ลอดผ่านกระจกโค้งสูงเหนือศีรษะ
บางตำนานกล่าวว่าหากสบตากับภาพสะท้อนของพวกเธอในกระจก วิญญาณนั้นจะเข้ามาแทนที่
ดวงจิตทันที และจะติดอยู่ในห้องนั้นตราบชั่วนิรันดร์
▪️ ในช่วงศตวรรษที่ 19 เคยมีขุนนางหนุ่มผู้หนึ่ง เมามายจนแอบเข้าไปในห้องมาลาไคท์ช่วงค่ำคืน เพื่อขโมยสร้อยพระศอของจักรพรรดินี
อเล็กซานดร้า ว่ากันว่าสิ่งสุดท้ายที่ผู้คุมเห็นคือลำแสงสีเขียวเรืองๆ ล้อมรอบตัวชายหนุ่ม ก่อน
ร่างของเขาจะทรุดลงกับพื้นอย่างไร้ลมหายใจ ใบหน้าเหยียดค้างดั่งเห็นบางสิ่งน่าสยดสยอง
เหนือคำบรรยาย
กระทั่งทุกวันนี้ เจ้าหน้าที่ดูแลพิพิธภัณฑ์ Hermitage บางคนยังเล่ากันเบาๆ ว่า ในช่วงใกล้เที่ยงคืน หากยืนอยู่กลางห้องและเงี่ยหูฟังดีๆ
จะได้ยินเสียงฝีเท้าของหญิงสาวลากยาวไปตาม
พื้นไม้ เสียงกระซิบเป็นภาษารัสเซียโบราณ แล
บางครั้ง กระจกจะสะท้อนเงาของคนแปลกหน้าที่ไม่มีอยู่ในห้องนั้น
และนั่นคือเหตุผลที่ไม่ว่าพิพิธภัณฑ์จะสวยงาม
เพียงใด ห้องมาลาไคท์ก็ยังคงเป็นเพียงสถานที่สำหรับการเยี่ยมชมในยามกลางวันเท่านั้น ไม่มีใครกล้าท้าทายคำสาปอันเก่าแก่ของราชวงศ์โรมานอฟ ที่ยังคงยึดโยงห้องนี้ไว้กับโลกของคนตาย
อย่างเงียบงัน…..
บทที่​ 0️⃣1️⃣ 📖
เสียงกระซิบในห้องมาลาไคท์
ฤดูหนาวในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กยังคงเย็นยะเยือกและขาวโพลนไปด้วยหิมะที่โปรยปรายไม่หยุดตลอดทั้งวัน อันนา นักศึกษาศิลปะวัยยี่สิบต้นๆ
เพิ่งได้รับโอกาสฝึกงานในพิพิธภัณฑ์ Hermitage สถานที่ในฝันของเธอมาเนิ่นนาน ตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิงผู้หลงใหลในภาพวาดเก่าแก่และเครื่องประดับราชวงศ์
▪️ คืนหนึ่ง หลังจากที่นักท่องเที่ยวชุดสุดท้ายออกไปแล้ว และบรรดาเจ้าหน้าที่กำลังทยอยปิดไฟและล็อกห้องโถงใหญ่ อันนาก็ยังคงนั่งจัดเอกสารอยู่คนเดียวในห้องบันทึกศิลปวัตถุ จนกระทั่งเสียงนาฬิกาเรือนใหญ่หน้าห้องมาลาไคท์ดังขึ้นบอกเวลา
สี่ทุ่มครึ่ง
เธอลุกขึ้นหมายจะกลับที่พัก แต่เส้นทางที่ใกล้ที่สุดต้องผ่านห้องมาลาไคท์ ห้องที่เธอเองหลีกเลี่ยงมาตลอดหลายสัปดาห์ เพราะไม่ว่าครั้งใดที่เดินผ่าน
แม้ในยามกลางวัน ก็ยังรู้สึกเหมือนมีใครบางคนกำลังจับจ้องอยู่จากเงามืดมุมห้อง
แต่คืนนั้น หิมะข้างนอกหนาเกินกว่าจะเดินอ้อม
และไฟก็ถูกดับไปเสียเกือบหมด ความกลัวค่อยๆ
ถูกกลบด้วยความอึดอัดใจ และเสียงลมหวีดหวิวที่ลอดผ่านช่องหน้าต่างเก่าๆ
อันนาเดินตรงเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ ม่านกำมะหยี่สูงทอดตัวลงสู่พื้น เสียงส้นรองเท้าบูทหนังของเธอกระทบกับพื้นไม้เก่าดังสะท้อนในความเงียบ เหมือนเสียงนั้นไม่ใช่ของเธอเพียงคนเดียว
เมื่อเดินมาถึงกลางห้องมาลาไคท์ ทุกอย่างดูเย็น
ยะเยือกผิดธรรมชาติ ผนังสีเขียวเข้มแวววาวสะท้อนแสงจันทร์จากช่องหน้าต่าง เสียงนาฬิกายามไกลๆ
ก็หยุดลงราวกับถูกกลืนหายไปในอากาศ
แล้วทันใดนั้น…เสียงฝีเท้าแผ่วเบาก็แว่วขึ้นจากอีกฟากหนึ่งของห้อง
อันนาหยุดกึก หัวใจเต้นระรัว เธอพยายามกลืนน้ำลาย แต่ลำคอแห้งผาก ฝีเท้านั้นดังใกล้เข้า
มาอีกทีละก้าว ทีละก้าว จนในที่สุดมันหยุดลง
ที่เบื้องหลังเธอ
มือของอันนาชื้นเย็น เธอรวบรวมความกล้า
หันกลับไป ทว่าในห้องกลับว่างเปล่า ไม่มีใคร
อยู่ตรงนั้น นอกจากภาพสะท้อนของเธอเองในกระจกบานใหญ่ริมผนัง
แต่สิ่งที่ทำให้เธอแทบทรุดลงกับพื้น…คือนอกจากเงาของตัวเธอแล้ว ยังมีเงาของหญิงสาวในชุดราตรีศตวรรษที่ 18 สีขาวหม่นๆ ยืนอยู่ข้างหลัง มองจ้องมาที่เธอด้วยดวงตาสีดำสนิท ปากบางซีดที่เผยอเหมือนกำลังเอ่ยบางสิ่ง
เสียงกระซิบเบาหวิวไม่ใช่ภาษารัสเซียที่เธอคุ้นเคย แต่เป็นภาษาที่เก่าแก่และลึกลับ
เป็นภาษารัสเซียโบราณ
ดังลอดออกจากริมฝีปากของเงานั้น
💢Уходи... это не твое место
ออกไป…ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเจ้า…..
อันนาพยายามมองหาต้นตอของเสียง แต่พบเพียงเงามืดที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วผ่านกระจก
บานใหญ่ในห้อง
อันนารีบเบือนหน้าหนี แต่เงานั้นยังคงอยู่ ทันใดนั้น กระจกทั้งบานสั่นไหวเหมือนมีมือมองไม่เห็นกดทับ เสียงม่านกำมะหยี่ปลิวไหวทั้งที่ไม่มีลม และเครื่องประดับมงกุฎในตู้กระจกข้างห้องปรากฏเงาสะท้อนแปลกๆ วูบวาบ
เธอตะโกนสุดเสียงก่อนจะวิ่งออกจากห้องมาลาไคท์ พุ่งผ่านโถงใหญ่และออกสู่ลานหิมะด้านนอก ใจเต้นระรัวและหายใจไม่เป็นจังหวะ
แต่ว่ากันว่ากระจกบานนั้น…ยังคงสะท้อนภาพเงาของหญิงสาวในชุดราตรีคอยจ้องมองผู้ล่วงล้ำทุกค่ำคืน และเสียงกระซิบภาษารัสเซียโบราณยัง
คงลอยอยู่ในห้องมาลาไคท์เสมอ…
โปรด​ติดตาม​ (ตอนที่​ 0️⃣2️⃣)
📕▪️▪️◾ รอยเลือดใต้หิมะ
โฆษณา