วันนี้ เวลา 01:52 • ไลฟ์สไตล์
เพราะกายนี้ มีกรรม ..จิตนั้นอาศัยอยู่ภายในกาย ยึดกาย .ที่เป็นทุกข์ ก็ยึดอยู่อย่างนั้น ไปตามสภาพ ของขันธ์ทั้งห้า ที่มีการเปลื่ยนเปลงไปตลอด ไม่ว่า ..จะคิด จะดูพิจารณา เท่าไหร่ มันก็ยึดกายอยู่อย่างนั้น ยึดปลอดปล่อย เคลื่อนที่ย้าย จิตออกจากกายไม่ได้เลย
แล้วก็ยังมีการสะสมอะไรเจ้ามากมายก่ายกอง ในสิ่งที่เรียกว่า สังขารกรรม เป็นนักสะสม .แต่ความทุกข์ เอาเข้ามายึดถือ .ทั้งวัตถุสิ่งของนามธรรมต่าว สะสางอารมณ์กรรมตัวกระทำ ขนเข้ามา ไม่เคยขนออกไปเลย ที่เค้าว่า ขวนขวายหาเข้ามาทับถมกายใจ ..อารมณ์มันก็หลอกอุปโลกน์ ว่าแล้ว ..ไม่เคยสำรวจตรวจสอบบ้านนี้กายนี้ ที่ตนอาศัย ..รอวันบ้านผุพังไป . บ้างก็บ้านพังไปทั่งหลัง .หมดที่ให้จิตอาศัย
มีพระ ที่ท่านมีปัญหา เรื่องกระดูกสันหลัง ท่านนอน ..มีโยมคนหนึ่ง มาพูดว่า หลวงตา ทำไม่ทำแบบเมื่อก่อน ..เวลาโยมมา นั่งคุย กัน ..ท่านก็แยกจิตไปนั่งที่ก้อนหิน กายก็อยู่นิ่งเฉย . โยมคนนี้ เค้ามาแปลก ..ๆ ชอบมาอาราธนา หลวงตา ให้ละสังขาร มาวัดทีไร ก็มาพูดบอกให้ละสังขาร..ทำตัวเหมือนมารดลมา ..
เราได้สอบถามหลวงตา เรื่องนี้ ท่านก็บอกว่า ฉันทำได้ .แต่นั้น ก็เป็นเรื่องราวที่เราไม่ยอมชดใช้กรรม กรรมมันก็ไม่หมดเสียที มันก็ต้องชดใช้เค้าไปบ้าง ชดใช้กรรม ที่สะสมอยู่กับธาตุทั้งสี่ ท่านมีเรื่องราว ที่พูดให้ฟัง ว่า อยากให้ผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ช่วยเปิดมิติ ..ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่า คืออะไร
..ต่อมา ระยะหลัง ก็เรื่องราว ของคนธรรพ์ คนลับแล เรื่องหูทิพย์ ตาทิพย์ เรื่องเจ้าที่ เรื่องผีบ้านผีเรือน ให้ดูเป็นตัวอย่าง ตรงนี้ก็ทำให้สิ่งที่ว่า โอ้ว..สมันยี้มันยุควิทยาศาสตร์แล้ว ก็ทำให้นึกถึง คนสมัยก่อน ทำไมเค้ารู้จักเรื่องราวเหล่านี้
..คนที่เค้ารู้จักทำได้จริง เค้าก็ไม่บอกใครเสียด้วย เพราะบอกไปเค้าก็ไม่เคยเห็น เพราะทำไม่ได้ ผู้ที่ทำได้..เค้าก็มองเป็นเรื่องปัจจัตตัง .ในเรื่องราวของมิติ ..สถานที่เดียวกัน เราเห็นเป็นต้นไม้ ภูเขา แต่สถานที่นั้น ก็กลับโล่งเตียนไม่มีต้นไม้ภูเขา ให้ผู้ที่ที่อยู่ต่างมิติ อาศัย เดินไปมา ..
ท่านพูดให้ฟังว่า หากโยมทำได้ ได้ขึ้นไปข้างบน ..มันมีความสุข โยมก็ไม่อยากลงมาอาศัยกายนี้อีก .บางช่วง เวทนากายมาก ..ท่านก็บอกว่า ฉันทำจิต ขอเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ..บอกท่านว่า หากจะให้อยู่ต่อ ขอให้ช่วยผ่อนคลายเวทนาลงหน่อย ตอนกลับลงมา ก็มีคนกางร่มใหญ่ ตามมาส่งลงบันได ..
เพราะกายนี้เป็นกรรม ..เรายึดอารมณ์โลภโกรธหลงอยู่ ไปหาวัตถุสิ่งของมา หามายึดสะสม เราก็หมั่นสละวัตถุปัจจัยที่หามายึด สละวัตถุปัจจัยเล็กน้อย ที่มีความโลภโกรธหลงซ่อนเร้นกัยวัตถุสิ่งของ เราสละออกไปให้เป็นบุญเป็นทาน .ก็สละความโลภโกรธหลง ดึงออกไปจากายไปด้วย สละด้วยความเต็มใจ เหมือนขว้างทิ้ง .ต้องทำให้มันถูกวิธี เพื่อให้กายเบาจิตเบา เบาบ้างจากสิ่งที่ขนเข้ามายึด หากเราทำได้มากเข้าๆ เราจะค่อยๆเข้าใจ มากขึ้นในสิ่งที่องค์พระสิทธัตถะ ทำไมต้องทิ้งเวียงวัง ทรัพย์สมบัติ ยศศักดิ์ไปอยู่ป่า .
เราก็หมั่นทำให้เป็นกายบุญ เรื่องกายบารมีนั่น ผู้ที่ที่ท่านทำได้ ..ท่านไม่ยึดถือกาย ..สามารถลุกออกไปจากกายได้ เหมือนว่า คิดไปไหน ก็ไปได้เลย ไปทางจิต ..กายนั้นเปรียนเหมือนเก้าอี้ ให้ท่านนั่ง
โฆษณา