Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
OnThisDay
•
ติดตาม
9 ชั่วโมงที่แล้ว • ประวัติศาสตร์
อีกบทของยอดบุรุษ และอีกเมนูจีนอร่อยได้สุขภาพ
ปลายราชวงศ์ซ่ง เมื่อจีนแตกแยกวุ่นวาย แผ่นดินถูกแบ่งแยกด้วยสงคราม รวมทั้งการรุกรานจากภายนอก มนุษย์ต่างหลงใหลในพลัง และอำนาจ แต่ผู้รับเคราะห์กลับเป็นชาวบ้าน
...
ค่ำคืนหนึ่ง ภายใต้แสงจันทร์ที่กลบกลืนหมอกภูเขาแห่งอู่ตัง เงาร่างหนึ่งนั่งสมาธิแน่นิ่งอยู่บนยอดผา
จางซานเฟิง นักพรตเต๋าเร้นกาย ผู้มีเครายาวสีเงินขาวดังหยก เคลื่อนกายอย่างไร้เสียง ราวลมหายใจของผืนป่า ไม่มีใครรู้ว่าเขามาจากที่ใด บางคนลือว่าเขาคือเทพจำแลง บ้างว่าเขาเป็นนักบวชที่ผ่านกาลเวลามาเกินร้อยปี
คืนหนึ่ง ขณะที่เขากำลังบำเพ็ญภาวนา เขาได้ยินเสียงบางอย่างในป่า เงียบแต่คม คล้ายเสียงลมหายใจของอสรพิษและเสียงตีปีกของนกกระเรียน
เขาเดินตามเสียงนั้นไปจนถึงลานดินใต้ต้นหลิวเฒ่า กลางหุบเขาเงียบงันที่แม้แต่สายลมยังไม่กล้าเดินผ่าน และที่นั่นเอง เขาได้เห็น "การประลอง" ระหว่าง งูดำตัวหนึ่ง และ นกกระเรียนขาว ทั้งสองไม่ใช่สัตว์ธรรมดา ดวงตาของพวกมันเปล่งประกายราวผู้มีจิตรู้ พวกมันไม่โจมตีอย่างดุร้าย แต่กลับขยับเชื่องช้า ลื่นไหล โต้ตอบกันด้วยจังหวะงามสง่า
งูนั้นโค้งตัวไปตามทิศทาง นกกระเรียนตีปีกอย่างอ่อนโยนเมื่อเผชิญการจู่โจม มันไม่สู้ด้วยแรง แต่ใช้ การผ่อน และดึง ด้วยการเบี่ยงหลบแทนการรับตรง จางซานเฟิงยืนนิ่ง รู้สึกเหมือนเห็นสิ่งที่ธรรมชาติ พยายามกระซิบบอกผ่านตามสายลม
"อย่าต้าน แต่ผสาน"
ณ จุดนั้นเอง เขาได้กลับมานั่งนิ่งกลางหุบเขา ไม่พูด ไม่กิน ไม่ขยับ นานถึงสามวันสามคืน จากนั้นจึงลุกขึ้นร่ายรำท่วงท่าประหลาด ซึ่งไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ด้วยท่วงท่าที่ช้า แต่งดงาม ง่ายแต่ซ่อนพลังลึกล้ำ มันคือการหลอมรวม หยิน และหยาง ให้เป็นหนึ่งเดียว
ในเวลาต่อมา จางซานเฟิงได้ก่อตั้งสำนักบนเขาอู่ตัง เขาไม่ได้สอนเพียงศิลปะการต่อสู้ แต่สอน "การเคลื่อนไหวตามธรรมชาติ" ซึ่งเปลี่ยนศิษย์ธรรมดาให้กลายเป็นผู้มีพลังภายในเหนือผู้ใด
...
มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งพวกโจรได้ลอบขึ้นเขาหมายชิงสมบัติของสำนักอู่ตัง พวกมันมากกว่าสิบคน พร้อมอาวุธครบมือ ทว่าเมื่อเจอกับท่วงท่าการต่อสู้ของจางซานเฟิงกลับรู้สึกราวกับต้องมนตร์ ทุกการฟาดฟันพลาดเป้า ทุกการเคลื่อนไหวถูกดึงเบน ม้วนวนกลับไปหาเจ้าของมันเอง พวกโจรล้มกลิ้งไปโดยไม่รู้ว่าตนแพ้ด้วยอะไร
.
ในขณะที่จางซานเฟิงยืนอยู่เบื้องหน้าบานประตูศิลา เขารู้ดีว่าหลังจากนี้ ทุกย่างก้าวของเขาจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หินแกะสลักบานใหญ่ค่อยๆ เลื่อนเปิดออกด้วยเสียงคล้ายลมหายใจของภูผาโบราณ กลิ่นไม้จันทน์ผสมกลิ่นดินชื้นลอยออกมา และภายในคือห้องโถงที่มืดสนิท มีเพียงแสงสลัวจากแผ่นหยกโบราณที่ฝังอยู่บนเพดาน ส่องประกายเหมือนแสงดาว
ตรงกลางห้อง คือแท่นหินศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีรอยเท้าจารึกเอาไว้คู่หนึ่ง เป็นรอยเท้าที่มีขนาดเล็กหนึ่ง และใหญ่หนึ่ง เหมือนกับรอยเท้าครูและศิษย์ เหนือแท่นคือภาพจิตรกรรมจางซีดของมังกรและพยัคฆ์ กำลังพันตวัดหางเข้าหากัน
เสียงกระซิบเลือนลางดังขึ้นในหัวของเขา
“ไท่จี๋ คือความว่างที่เต็มไปด้วยการเคลื่อนไหว เงาที่กลืนแสง หยินหยางที่เต้นระบำ”
และเมื่อเขาเหยียบลงบนรอยเท้าคู่นั้น จู่ๆ พื้นหินใต้ฝ่าเท้าก็พังลง ตัวเขาร่วงหล่นราวกับหลุดเข้าสู่โลกอีกใบ
เมื่อสติกลับคืนมา จางซานเฟิงพบว่าตัวเองอยู่กลางผืนหิมะขาวโพลน มีร่างหนึ่งยืนหันหลังให้ อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว เป็นชายในชุดคลุมยาวสีเทา มือถือพัดกระดูกสัตว์โบราณ และนามของเขาคือ "จี้กง" เซียนพเนจรผู้เป็นตำนาน
เขาเอียงหน้าหันมาพร้อมรอยยิ้มแผ่วเบา
"เจ้ามาเพื่อไขปริศนาแห่งไท่จี๋ หรือเพื่อหลีกหนีความจริงในใจตนเอง"
จางซานเฟิงเงียบ ก่อนเอ่ยอย่างหนักแน่น
"ข้าต้องการรู้ว่าสัจธรรมแห่งฟ้าและดินนั้น อยู่ที่ปลายดาบ หรืออยู่ที่ความว่างเปล่าในใจข้า"
จี้กงหัวเราะก้อง ฟ้าร้องตามมา สายฟ้าฟาดลงกลางสนามหิมะ แต่ไม่มีแม้รอยไหม้
"จงเรียนรู้ ด้วยการต่อสู้ที่ไม่มีศัตรูเสียเถิด"
ทันใดนั้น เบื้องหน้าก็ปรากฏร่างนักสู้นับสิบ บ้างมีหัวเป็นเสือ บ้างมีแขนเป็นเหล็ก บ้างไร้ดวงตา แต่เคลื่อนไหวได้ราวลม จางซานเฟิงเริ่มเหงื่อไหลซึม ทั้งที่ลมเย็นเฉียบ เขาเตรียมกายเข้าสู่ท่าเตรียมของมังกร และเริ่มเข้าต่อสู้
แต่ยิ่งสู้ เขายิ่งรู้สึกว่าไม่มีใครโจมตีถูกตัวเขาเลย ทุกหมัดทุกท่วงท่าเป็นเพียงเงา
และเมื่อเขาหยุด ทุกอย่างก็สงบ เขาหายใจเข้า หายใจออก
โลกที่เห็นกลายเป็นหยินและหยางที่หมุนวนรอบตัว เขาไม่ได้อยู่บนหิมะ แต่ล่องลอยอยู่ในทะเลแห่งจิตวิญญาณ การเคลื่อนไหวของเขาไม่ใช่วิชาต่อสู้ แต่เป็นการเคลื่อนไหวแห่งชีวิต
เมื่อเขาตื่นขึ้นอีกครั้ง ทุกอย่างรอบตัวกลับมาเป็นห้องศิลาโบราณ แต่แท่นหินตรงกลางกลับไม่มีอะไรอยู่แล้ว นอกจากเศษกระดูกงู และดอกเหมยที่เพิ่งผลิบานแม้ไม่มีดิน
เขาเข้าใจแล้ว..
"แท้จริง ไท่จี๋ไม่ใช่เพียงหมัดหรือท่าไม้ตาย มันคือการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ เหมือนสายลมไหลผ่านไม้ไผ่ ไม่ทิ้งร่องรอยใด แต่ทุกใบไผ่สั่นไหวเพราะมัน"
เขายิ้ม พลางก้าวออกจากห้องศิลา พร้อมความรู้ใหม่ในใจ ไม่ใช่เพียงครูแห่งไท่จี๋ แต่เป็นผู้เดินทางที่ไร้จุดหมาย ทว่าเต็มไปเปี่ยมด้วยความหมายในทุกย่างก้าว
...
หลังออกจากห้องศิลา จางซานเฟิงกลับมาที่ลานวัดเก่าในอู่ตังซานอีกครั้ง ทว่าทุกสิ่งไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ภูเขาดูสูงขึ้น ท้องฟ้าดูใสกว่าเดิม และต้นเหมยที่เคยเฉาเหี่ยว กลับออกดอกสะพรั่ง สีชมพูของกลีบดอกเปล่งปลั่งราวกับสวรรค์แต้มสี
แต่เขารู้ดีว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงที่สุดแล้วคือ
"จิตใจของตนเอง"
: จิตใจที่เปลี่ยนแปลงได้ เกิดจากสมาธิที่นิ่งสงบ
วันเวลาผ่านไป เขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย เป็นเพียงผู้เฒ่าธรรมดาที่ใช้ชีวิตอยู่ในกระท่อมไม้ใกล้เชิงเขา หากแต่ทุกคืนที่ลมพัดผ่าน ยอดไม้ไหวเอน ทุกคนในหมู่บ้านต่างได้ยินเสียงหมัดอันนุ่มนวลราวสายน้ำไหล ราวกับธรรมชาติกำลังฝึกฝนตนเองตามจังหวะชีวิต
ไม่นานนัก เสียงลือของ "ผู้เฒ่าหมัดหยินหยาง" ก็แผ่ขยายออกไปทั่ว บ้างเล่าว่าเขาใช้เพียงฝ่ามือเดียวหยุดเสือโกรธเกรี้ยวได้ บ้างว่าเขาเคยเดินเข้ากลางสงครามและทำให้แม่ทัพทั้งสองฝ่ายวางอาวุธลงได้ด้วยเพียงคำพูดเดียว
แต่ไม่มีใครแน่ใจว่าอะไรคือเรื่องจริง เพราะเขาไม่เคยโอ้อวด ไม่เคยรับศิษย์ จนกระทั่งวันหนึ่ง
เด็กชายยากจนผู้หนึ่ง ปีนเขามาหาเขาด้วยตาแดงก่ำ
"ข้าไม่ต้องการร่ำเรียนหมัดเพื่อฆ่าใคร ข้าเพียงอยากปกป้องแม่จากคนเก็บภาษี เขาทุบข้าวสารของข้า ข้าไม่รู้จะทำยังไงแล้ว"
จางซานเฟิงเพียงพยักหน้าเงียบๆ แล้วหยิบถ้วยน้ำชาไปวางเบื้องหน้าหนุ่มน้อย
"น้ำร้อนลวกมือเจ้าหรือไม่"
"ไม่ มันเย็นแล้ว"
"เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเย็น"
"เพราะข้าสัมผัสมัน"
"นั่นแหละ เช่นเดียวกันกับหมัดไท่จี๋ ต้องสัมผัสจิตของศัตรู ไม่ใช่ใช้แรง"
เด็กน้อยกะพริบตา และนั่นคือวันที่หนึ่งของการฝึก
ในวันต่อมา เดือนต่อมา ปีต่อมา
บ้านไม้ของจางซานเฟิงกลายเป็นศาลาเล็กๆ ที่มีศิษย์เริ่มทยอยมาเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่ละคนมีเหตุผลแตกต่างกัน บ้างมาจากสนามรบ บ้างเคยเป็นขอทาน บ้างแม้กระทั่งเป็นขุนโจร แต่พวกเขาทั้งหมดละทิ้งอาวุธ และเรียนรู้การเคลื่อนไหวจาก "มังกรที่สงบในทะเลหมอก"
วิชาหมัดที่เคยไร้ชื่อ ถูกเรียกว่า "ไท่จี๋เฉวียน" "ไทเก็ก" หมัดอันเป็นที่สุดของหยินหยาง
เมื่อจางซานเฟิงอายุครบหนึ่งร้อยปี เขาเรียกศิษย์ทั้งหมดมารวมกัน และกล่าวเพียงสั้นๆ
...
"หมัดนี้ ข้ามิได้ประดิษฐ์ขึ้นเอง มันมีอยู่แล้วในธรรมชาติ ข้าเพียงเป็นคนที่มองเห็นมันก่อนคนอื่นเล็กน้อย"
...
จากนั้น เขาเดินเข้าไปในทะเลหมอกของยอดเขา และไม่มีใครเห็นเขาอีกเลย
มีผู้เชื่อว่า ท่านไม่เคยตาย แต่กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของหุบเขาอู่ตัง เฝ้ามองผู้ฝึกไท่จี๋ทุกคนด้วยรอยยิ้มเงียบงันใต้แสงจันทร์
ว่ากันว่า บางคืนยามหิมะตกหนัก หากเงี่ยหูฟังเงียบ ๆ ที่อู่ตังซาน จะได้ยินเสียงลมหายใจของผู้เฒ่าซานเฟิง ซึมลึกอยู่ในสายลม และเงาแห่งท่าหมัดที่พลิ้วไหวไปรอบขุนเขา
...
วันไทชิและชี่กงโลก 26 เมษายน World Tai Chi and Qigong Day
ทุกวันเสาร์สุดท้ายของเดือนเมษายน ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ 26 เมษายน 2568 โลกจะร่วมกันเฉลิมฉลอง "วันไทชิและชี่กงสากล" โดยกำหนดขึ้นเพื่อส่งเสริมศิลปะป้องกันตัวและการฟื้นฟูพลังชีวิตแบบจีนโบราณที่เรียกว่า ไทเก็ก (Tai Chi) และ ชี่กง (Qigong) ให้เป็นที่รู้จักและเข้าถึงได้ในระดับโลก
.
จุดประกายแรกเริ่มเกิดขึ้นเมื่อปี 1998 ที่เมืองแคนซัสซิตี้ รัฐมิสซูรี ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อกลุ่มไทเก็กในพื้นที่จัดกิจกรรมกลางแจ้งบริเวณหน้าพิพิธภัณฑ์ศิลปะ Nelson-Atkins เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมฝึกฝน และเรียนรู้ไทเก็กอย่างเปิดกว้าง โดยหวังเพียงแค่ให้คนในท้องถิ่นรู้จักว่าศิลปะจีนโบราณชนิดนี้ดีต่อสุขภาพเพียงใด
แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นกลับได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางผ่านสื่อมวลชนในสหรัฐฯ จนกลายเป็นแรงกระเพื่อมที่ขยายวงออกไปทั่วประเทศ และในปี 1999 วันไทเก็กและชี่กงสากลก็ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมจากหลากหลายประเทศทั่วโลก
- ไทเก็ก (Tai Chi) มีต้นกำเนิดจากหลักการปรัชญาเต๋า เช่น หยิน-หยาง การสมดุลของพลังธรรมชาติ และเติบโตจนกลายเป็นหนึ่งในศิลปะป้องกันตัวที่แพร่หลายที่สุดในโลก
- ชี่กง (Qigong) คือศาสตร์แห่งการฝึกพลังชีวิตผ่านท่าเคลื่อนไหว การหายใจ และจิตใจ ถือเป็นรากฐานของทั้งการแพทย์แผนจีนและศาสนาเต๋า
ทั้งสองศาสตร์มีความสามารถในการช่วยฟื้นฟูสุขภาพ ลดความเครียด ปรับสมดุลอารมณ์ เพิ่มความยืดหยุ่น และแม้กระทั่งเสริมสร้างสมาธิและสติในชีวิตประจำวันเพราะสุขภาพที่ดีไม่จำเป็นต้องเริ่มจากโรงพยาบาล แต่อาจเริ่มจากลมหายใจของคุณ ในท่วงท่าที่แผ่วเบาของไทเก็กและชี่กง
...
ในวันที่เราฝึกฝนลมหายใจและจิตใจให้สงบนิ่ง ก็เป็นเวลาเดียวกันที่ร่างกายควรได้รับอาหารที่หล่อเลี้ยงทั้งพลังและสมดุลมาดู 5 เมนูอาหารจีนได้สุขภาพ น่ากินน่าอร่อยกัน
1. ซุปเห็ดหลินจือตุ๋นไก่
Stewed Chicken with Lingzhi Mushroom 灵芝炖鸡汤
เห็ดหลินจือเป็นสมุนไพรหายากที่ว่ากันว่า เซียน มักนำมาบำรุงธาตุหยาง
2. เต้าหู้ขาวผัดถั่วงอกและเห็ดหูหนูดำ
Stir-fried Tofu with Bean Sprouts and Black Fungus 豆腐炒豆芽木耳
เต้าหู้และเห็ดหูหนูช่วยปรับสมดุลของระบบไหลเวียน
3. ปลานึ่งซีอิ๊วและขิง
Steamed Fish with Soy Sauce and Ginger 姜葱清蒸鱼
4. ผักปวยเล้งผัดกระเทียม
Stir-fried Spinach with Garlic 蒜蓉炒菠菜
5. ยำเห็ดสามอย่างใส่น้ำมันงา
Mixed Mushroom Salad with Sesame Oil 三菇凉拌芝麻油
6. เต้าหู้ไข่ราดซอสขิง
Silken Egg Tofu with Ginger Sauce 姜汁玉子豆腐
...
ปล. ขอขำให้กับตัวเองครับผม.. ดูนิยายจีนมาก็มาก พอแต่งเองกลับ...... *ตัดออกไปบ้าง เพราะว่าลงในโพสเดียวไม่ได้ครับผม
เพื่อนๆ ชอบเพนกวินกันไหมครับ ว่าแต่ชอบพันธุ์ไหน มาคอมเมนต์บอกกันหน่อยครับผม
Youtube:
https://youtube.com/shorts/xMObgwb55V4?feature=share
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: wikidates
: wikipedia
: shaolin-kungfu
: taichiforhealthinstitute .org
: sassychopsticks
#สุขภาพดีด้วยไทชิ #ชี่กง #อาหารจีนเพื่อสุขภาพ #สมดุลชีวิต #เมนูสุขภาพ
ประวัติศาสตร์น่ารู้
เมนูอาหาร
เรื่องเล่า
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย