Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ธรรมะ คือ คุณากรณ์
•
ติดตาม
วันนี้ เวลา 08:51 • ปรัชญา
watthakhanun
อีกโรคหนึ่งก็คือ "อีสุกอีใส" ซึ่งน่าจะเป็นเชื้อเฮอร์ปีส์ หรือเชื้อเริมชนิดหนึ่ง ซึ่งเจ้าเริมนี้จะมีเชื้อที่ออกอาการหลายอย่างด้วยกัน ถ้าเป็น "อีสุกอีใส" ก็จะขึ้นกระจายเป็นตุ่มใส ๆ ไปทั่วตัว อย่างเช่นว่าถ้าเป็นกระจุก ๆ ขึ้นอยู่ตรงโน้นบ้าง ตรงนี้บ้าง เขาเรียกว่า "ขยุ้มตีนหมา" แล้วเจ้าพวกนี้ก็มักจะขึ้นอยู่ตามปลายประสาท ทำให้ปวดแสบปวดร้อนดีนักแล..!
แต่ถ้าหากว่าเป็นผื่นกว้าง ๆ ขนาดฝ่ามือ สองฝ่ามือลามไปเรื่อย เขาจะเรียกว่า "ไฟลามทุ่ง" ถ้าหากว่าเป็นตามเส้นประสาทแล้วก็ยาวขึ้นไปเรื่อย ๆ บางคนก็เรียกว่า "งูสวัด" ถ้าหากว่าขึ้นเป็นเส้นยาวล้อมหน้าล้อมหลังเลย เขาเรียกว่า "สังวาลย์พระอินทร์" เหล่านี้เป็นต้น ก็จะต้องหาทางรักษากัน ซึ่งส่วนใหญ่จะไปหายด้วย
สมุนไพรโบราณ ก็คือ"รางจืด" บ้าง "ต้นสามทอง (ตรีสุวรรณ)" บ้าง ซึ่งเด็กสมัยนี้ไม่ค่อยจะมีใครรู้จักกันแล้ว แต่ว่าหมอแผนโบราณสามารถที่จะรักษาได้
อีกโรคหนึ่งที่น่ากลัวนั้นก็คือ "ฝี" บรรดาฝีต่าง ๆ นั้น ส่วนใหญ่ก็เกิดจากการที่ติดเชื้อในแผลสกปรกบ้าง โดนพวกยุงพวกแมลงกัดเอา แล้วก็บวมขึ้นมาจนกระทั่งกลายเป็นแผลบ้าง เมื่อถึงเวลาก็ลุกลามเจ็บปวด หาหมอก็ยาก
เนื่องเพราะว่าสมัยนั้น อนามัยที่เขาเรียกว่า "สุขศาลา" นั้นก็มีน้อย ก็ต้องอาศัยหมอพระบ้าง หมอผีบ้าง รักษากันไปตามมีตามเกิด บางท่านก็เคี้ยวหมากแล้วก็พ่นพรวดลงไป ถ้าเป็นสมัยนี้หมอยุคใหม่ก็คงจะเป็นลมตาย เพราะกลัวว่าจะติดเชื้อ..! เนื่องเพราะว่าฝีใหญ่เหลือเกิน แต่ปรากฏว่ากลับหายได้เสียนี่ ?! ก็เลยทำให้ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นเพราะคาถาขลัง หรือเป็นเพราะบุญของเรายังดี ทำให้เวรกรรมตรงนี้หมดลง ก็เลยไม่เป็นอีก..!
ยาครอบจักรวาลสมัยนั้นจะมี "ยาเขียวตราใบห่อ" ถ้าหากว่าใครป่วยเป็นอีสุกอีใส ก็จะใช้ละลายน้ำชโลมทั้งตัว แล้วก็ชงน้ำอุ่นให้กินลงไปด้วย เหลือเชื่อที่ว่าแค่ครึ่งวัน ไข้ทุกอย่างก็จะลดลง แล้ว "อีสุกอีใส" ซึ่งถ้าใครเป็น ร่างกายก็มักจะมีแผลเป็นจุด ๆ
เยอะแยะไปหมดนั้น ถ้าเจอยาเขียวชโลมเข้าไป ถึงเวลาก็ล่อนออกไปทั้งแผ่น แล้วแผลเป็นก็ไม่มีอีกด้วย ไม่ทราบเหมือนกันว่ายาเขียวนี้ทำด้วยสมุนไพรใบยาอะไร ?
อีกอย่างหนึ่งก็คือ "ยาเม็ดแก้ไอตราตะขาบ ๕ ตัว" ซึ่งเอาไว้สำหรับพวกที่ไอไม่รู้จักแล้ว ไม่รู้จักเลิก บางคนเรียกว่า "โรคไอ ๑๐๐ วัน" ก็มี ไอจนกระทั่งซี่โครงโยนไป
หมด..! แต่กระผม/อาตมภาพมีตำราจีนที่อร่อยด้วย ก็คือเขาให้ตอกไข่ ๑ ฟองลงในภาชนะ เสร็จแล้วก็เอาน้ำตาลกรวดที่เรียกว่าขัณฑสกร ก้อนประมาณหัวแม่มือ ตำให้ละเอียด โรยให้ทั่ว แล้วก็ใบชาหยิบมือหนึ่งโรยลงไป เอาไปนึ่งสุกแล้วให้กินลงไปให้หมด อาการ "ไอ ๑๐๐ วัน" จะหายขาดเป็นปลิดทิ้ง ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่าแก้ไขกันได้อย่างไร แต่ก็ให้รู้ไว้ว่า ไม่ว่าจะหมอไทยหรือว่าหมอจีน ก็มีตำรับยาของดีในตัวกันทั้งนั้น
ดังนั้น..ในเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งมักจะทำให้เด็ก ๆ ในสมัยนั้น มีการเสียชีวิตกันตั้งแต่เล็กแต่น้อย เมื่อถึงเวลาก็ต้องนำเอาไปเผาบ้าง นำไปฝังบ้าง ถ้าหากว่าเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ก็ใส่หม้อดินไปฝัง ถ้าหากว่าเป็นเด็กโตหน่อย ก็มีการต่อโลงไปฝัง แต่
ถ้าบ้านที่ยากจน ส่วนใหญ่ก็สานไม้ไผ่เป็นเสื่อ มัดหัวมัดท้าย แล้วก็เอาไปฝังทั้งอย่างนั้น ถ้าอยู่ในลักษณะอย่างนั้น ขอให้เข้าใจว่าเป็นเพราะครอบครัวนั้นยากจนจริง ๆ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าใครที่รอดมาได้ ก็มักจะจัดอยู่ในประเภทที่ "หัวแข็ง" ธรรมชาติคัดเลือกแล้วว่า คุณสมควรที่จะอยู่สืบพืชพันธุ์ต่อไปได้..!
โรคภัยไข้เจ็บอีกอย่างหนึ่งที่สมัยนั้นเรียกว่า "โรคห่า" หรือว่า "โรคป่วง" ก็คือ "อหิวาตกโรค" นั้น ถ้าหากว่าเป็น ส่วนใหญ่ก็มักจะตายกันยกหมู่บ้าน..! ใครที่รอดมาได้เขามีสำนวนว่า "เหลือเดนห่า" ก็คือ "หัวแข็ง" ขนาดอหิวาตกโรคยังกินไม่ลง..!
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าไม่มีใครช่วยได้ สมัยก่อนก็มักจะอพยพทิ้งบ้านทิ้งเรือนตรงนั้น
ไป หรือไม่ก็ช่วยกันเผาหมู่บ้านทิ้งไปเลย แล้วย้ายไปตั้งบ้านเรือนในที่ใหม่ ๆ กันต่อไป แม้กระทั่งกรุงศรีอยุธยาของเรา ถ้าตามความเชื่อถือของคนส่วนหนึ่งก็คือ พระเจ้าอู่ทองนั้นได้ย้ายหนีโรคห่า คืออหิวาตกโรค จากทางด้านสุพรรณบุรีขึ้นไปจนถึงบริเวณ "หนองโสน" ก็คือที่ตั้งของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในสมัยนี้ แล้วจึงไปสร้างเมืองหลวงใหม่อยู่ที่นั่น
ในเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ มาภายหลังเริ่มมีตัวยาต่าง ๆ ที่ดีขึ้น แต่ว่ายาที่กระผม/อาตมภาพรู้จักสมัยนั้น เขาเรียกกันว่า "ยาทันใจ" ซึ่งมาภายหลังเขาถือว่าโฆษณาจนเกินจริง ก็เลยกลายเป็นศัพท์ประหลาด ๆ ว่ายาทัมใจ ใช้ ม.ม้า สะกด น.หนู ยาตัวนี้จะทำให้บุคคลที่กินแล้วติดยาด้วย..!
แต่ว่าคนงานที่ทำงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะอยู่ในไร่ยาสูบ ในไร่อ้อยอะไรก็ตาม ที่เป็นกรรมกรใช้แรงงานมาก ถึงเวลาเลิกงานก็จะกินยาทันใจ ๒ ซอง พร้อมกับเหล้าขาว ๑ เป๊ก ทำให้เลือดลมวิ่ง หายปวดหายเมื่อย รุ่งขึ้นทำงานได้เหมือนไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อน แต่เขาว่ามีส่วนผสมของฝิ่น ทำให้คนติดได้เหมือนกัน ได้ยินว่าเป็นของโอสถสภา (เต๊กเฮงหยู)
ส่วนยาอีกอย่างหนึ่งที่กระผม/อาตมภาพเห็นว่าเป็นของวิเศษเลยก็คือยาแก้ปวดท้อง ชื่อว่า "ยากฤษณากลั่น ตรากิเลน" เนื่องเพราะว่ากระผม/อาตมภาพเป็นเด็กที่แทบจะมีเวลาเรียนเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ว่ามีอยู่วันหนึ่งต้องขาดเรียน เพราะว่าปวดท้อง
ขึ้นมาอย่างกะทันหัน ถึงขนาดดิ้นตึงตังโครมครามเลยทีเดียว..! ไม่สามารถที่จะแก้ไขด้วยยาใด ๆ ทั้งสิ้น โยมแม่ก็เลยต้องไปขอยาจากอาประเสริฐ (นายประเสริฐ โตทัพ) ก็คือยากฤษณากลั่น ตรากิเลนนี่แหละ เทมา ๑ ช้อนชา ชงน้ำเปล่าให้ กลืนลงไปอึกเดียวเท่านั้น พอยาลงถึงท้อง รู้สึกเย็นซ่านไปหมด แล้วก็หายปวดท้องในทันทีทันใด ไม่ทราบเหมือนกันว่ายาถูกโรค หรือว่าเวรกรรมหมดลงช่วงนั้นพอดี..!
แต่ว่าการที่เจ็บป่วยขนาดเหงื่อตกไปทั้งตัว ทำให้หมดเรี่ยวหมดแรง วันนั้นปั่นจักรยานไปโรงเรียนไม่ไหว เพราะว่ากระผม/อาตมภาพเข้าเรียนชั้นประถมปีที่ ๕ ที่โรงเรียนประถมฐานบินกำแพงแสน ต้องปั่นจักรยานจากบ้านไปโรงเรียน ๖ กิโลเมตร ไป - กลับวันหนึ่งก็ ๑๒ กิโลเมตร ทำให้ต้องขาดเรียนไป ๑ วัน เรื่องของหมอเรื่องของยายังมีเนื้อหาอีกมาก ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเล่าได้ทั่วถึงหรือไม่ ?
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๘
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย