Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ธรรมะ คือ คุณากรณ์
•
ติดตาม
วันนี้ เวลา 08:53 • ปรัชญา
watthakhanun
วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพต้องเดินทางไปยังมหาจุฬาอาศรม ตำบลพญาเย็น อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เพื่อร่วมปฏิบัติธรรมเป็นเวลา ๒ วัน คือวันเสาร์และวันอาทิตย์ หลังจากนั้นถึงจะได้รับวุฒิบัตรผ่านการอบรมโครงการ Upskills การสอนวิชาปรัชญาพระพุทธศาสนา ซึ่งตกค้างมาตั้งแต่ปีที่แล้ว
สำหรับวันนี้มา "เล่าความหลัง" กันต่อ เรื่องของการเล่าความหลังนั้น จุดมุ่งหมายใหญ่เลยก็คือ ให้ท่านทั้งหลายได้เห็นวัฒนธรรมการกินการอยู่ของผู้คนสมัย ๕๐ - ๖๐ ปีที่แล้ว ตลอดจนกระทั่งเห็นความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งต่าง ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เมื่อท่านทั้งหลายเห็นแล้วจะได้เข้าใจชัดว่า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็น "อกาลิโก" จริง ๆ ก็คือสามารถใช้ได้ในทุกเวลา ทุกกาลสมัย ไม่โดนจำกัดด้วยเวลาใด ๆ ทั้งสิ้น
การหุงข้าวต้มแกงสมัยนั้น เครื่องปรุงรสจะมีน้อยมาก เนื่องเพราะว่าอยู่ในลักษณะของการ "กินเพื่ออยู่" เท่านั้น ดังนั้น..เครื่องปรุงรสหลัก ๆ เลยก็จะเป็นเกลือ แล้วก็น้ำปลา ถ้าเป็นคนจีนก็จะมีน้ำถั่วเหลืองหมักที่เรียกว่า "ซีอิ๊ว" แต่ว่าถ้าเป็นน้ำถั่วเหลืองหมักแบบที่เรียกว่า "ซีอิ๊วหวาน" นั้น กระผม/อาตมภาพกลับไม่ชอบ ถ้าหากว่าเป็นน้ำถั่วเหลืองหมักที่เป็นซีอิ๊วธรรมดา จะเป็นอะไรที่แค่คลุกข้าวเปล่าก็อร่อยแล้ว..!
ในเมื่อเครื่องปรุงอาหารมีน้อย ก็ขึ้นอยู่กับแม่ครัวว่าจะมีฝีมือหรือไม่ ? ดังนั้น..ถ้า
หากว่าบ้านไหนแกงเขียวหวานกะทิลอยหน้ามาเป็นแพ คนก็จะชื่นชมกันมาก เนื่องเพราะว่าแค่เห็นก็รู้สึกว่าอร่อยแล้ว แต่สำหรับคนทั่ว ๆ ไปก็มักจะ "แกงป่า" ก็คืออยู่ในลักษณะแกงน้ำใส ไม่ได้มีกะทิอะไรเลย หรือไม่ก็อยู่ในลักษณะการตำ "น้ำพริกโจร" ก็คือแทบจะมีแต่พริกกับเกลือเท่านั้น อาศัยพวกมะเขือบ้าง วัสดุอื่นบ้าง มาเผาหรือว่าต้ม แล้วตำปนกันลงไป เพื่อที่จะได้มีเนื้อน้ำพริกมากขึ้น ใช้คลุกข้าวกินได้ถนัดขึ้น..!
ไม่ใช่น้ำพริกที่มีกะปิแบบที่ตำอยู่กับบ้าน ซึ่งบุคคลที่อยู่ในป่าในดงนั้น ก็ต้องหาอยู่หากินกัน "ตามมีตามเกิด" แล้วบรรดาพวกเสือปล้น หรือว่าบุคคลนอกกฎหมาย ซึ่งหนีไปอยู่ในป่าแล้วทำกินกัน เขาก็เลยเรียกว่า"น้ำพริกโจร" บ้าง หรือว่า "แกงป่า" บ้าง ก็คือคนอยู่ในป่า ไม่สามารถที่จะหากะทิได้ ก็ต้องแกงไปตามวัสดุที่ตนเองมีอยู่หรือว่าหาได้แถวนั้น
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เลยทำให้บรรดาเด็ก ๆ ซึ่งข้าวปลาอาหารไม่ค่อยจะพอกิน แล้วก็เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคประหลาดในสมัยนั้น ที่เรียกกันว่า"ตานขโมย" มีอาการพุงโรก้นปอด ก็คือพุงใหญ่มาก แต่ว่าแขนขาลีบ กระดูกซี่โครงขึ้นเป็นซี่ ๆ ก็จะมีหมอสมัยโบราณแนะนำให้ยิงอีกา แล้วนำเอาตับมาปิ้งให้เด็กกิน แล้วก็จะหาย หรือไม่บางคนก็ให้กินจิ้งจก หรือว่าลูกหนูเป็น ๆ ลงไปเลย..! ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลกเหมือนกันว่าสามารถที่จะแก้ได้จริง ๆ..!
ถ้าเป็นหมอสมัยนี้ก็บอกว่าเป็นโรคขาดโปรตีน เนื่องเพราะว่าอาหารประเภทเนื้อนั้นมีน้อย ถ้าหากว่าล่ากันได้ทีหนึ่ง หรือได้รับอนุญาตให้ฆ่าหมูฆ่าวัวกันทีหนึ่ง ถึงจะมีโอกาสที่ได้กิน ดีที่ว่าครอบครัวคนจีนนั้น จะมีธรรมเนียมในการไหว้เจ้าตามตรุษตามสารทต่าง ๆ ซึ่งต้องใช้ "โหงวก้วย ซาแซ" ก็คือผลไม้ ๕ ชนิด เนื้อสัตว์ ๓ ชนิด ใน
เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เลยทำให้ลูกหลานชาวจีนไม่ค่อยจะเป็นโรคพุงโรก้นปอดกัน
แต่ว่าโรคอื่น ๆ ก็เป็นไปตามยุคตามสมัย อย่างเช่นว่า "โรคหิด" ซึ่งจะเป็นเม็ดใส ๆ ขึ้นตามง่ามมือง่ามเท้า ยิ่งเกาก็ยิ่งลุกลาม ยิ่งเก่าก็ยิ่งคัน จนกระทั่งมีเพลงล้อเลียนกันว่า "เป็นหิดไปติดใครมา พอถึงศาลาก็นั่งเกาหิด ถ่อเรือจะไปหาหมอ พอเรือติดตอก็นั่งเกาหิด" เหล่านี้เป็นต้น
อีกโรคหนึ่งที่ดูแล้วน่ากลัวมาก ๆ ก็คือ "โรคฝีดาษ" เนื่องเพราะว่าเวลาป่วยแล้วก็จะเน่าเฟะไปทั้งตัว ถ้าหากว่ารักษาหาย ส่วนใหญ่ก็จะเสียโฉม ใบหน้าเป็นรูพรุน ๆ ไปหมด จนกระทั่งเขาเรียกว่า "หน้าข้าวตัง" แต่เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่ว่าพี่สาวของกระผม/อาตมภาพคือป้ามุกดา (นางสาวมุกดา เพชรชื่นสกุล) นั้น เป็นโรคฝีดาษ หรือที่สมัยนั้นเรียกว่า "ไข้ทรพิษ" เป็นจนเน่าเฟะไปทั้งตัวเหมือนกัน..!
ถึงเวลาต้องไปตัดใบตอง หงายขึ้นมาแล้วให้นอนบนใบตอง เนื่องเพราะว่าใบตองนั้นจะมี "นวลกล้วย" อยู่ เมื่อถึงเวลาน้ำเหลืองหยดลงไปแล้ว ก็จะไม่แห้งติดเนื้อเหมือนอย่างกับที่นอนบนผ้า หรือว่านอนบนกระดาน แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นผลบุญหรืออย่างไร ? ทำให้พี่มุกดาเขาเน่าจนกระทั่งไม่มีหนังดีเหลืออยู่ในตัว ก็เลยกลายเป็นว่าหนังใหม่เมื่อเกิดขึ้นมา กลายเป็นสมบูรณ์พร้อม ถ้าไม่บอกจะไม่มีใครรู้เลยว่าเคยเป็นฝีดาษหรือไข้ทรพิษมาก่อน..!
ดังนั้น..เด็ก ๆ ถ้าไปโรงเรียนก็จะโดนบังคับให้ "ปลูกฝี" ก็คือถึงเวลาก็จะมีคุณหมอมา ใช้ใบมีดเล็ก ๆ กรีดที่ต้นแขน แล้วก็หยดเอาเชื้อฝีดาษ ซึ่งได้รับการทำเป็นวัคซีนแล้วลงไป ภายในวันเดียวก็จะไข้ขึ้น แล้วแผลก็บวมเป็นหนอง บางคนก็เน่าลามใหญ่ไปขนาดเหรียญ ๑๐ บาทสมัยนี้เลยก็มี..! ดังนั้น..ถ้าหากว่ามีการพลิกหัวไหล่ของบุคคลในรุ่นของกระผม/อาตมภาพ ที่เห็นมีรอยแผลเป็นกันทุกคน ก็ขอให้รู้ว่าเกิดจากการ "ปลูกฝี" ก็คือการรับวัคซีน เพื่อป้องกันไข้ทรพิษนั่นเอง
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๘
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย