วันนี้ เวลา 08:55 • ปรัชญา

watthakhanun

แม้กระทั่ง "ครกตำน้ำพริก" ก็ยังทำด้วยดินเผา แต่คนตำต้องมือเบา ไม่อย่างนั้นแล้วครกจะทะลุ..! แล้วเรื่องครกทะลุนี่โบราณถือว่าเป็นอาถรรพ์มาก พวกหมอผีหมอไสยศาสตร์ชอบใช้บาตรแตก เอามาลงยันต์ลงคาถาเกี่ยวกับพวกแตกแยก ถ้าเอาบาตรแตก ไปฝังไว้บ้านไหน บ้านนั้นก็ทะเลาะกันทั้งบ้าน ผัวเมียก็แตกกัน..!
แต่ครกทะลุไม่ใช่ ครกทะลุนี่เป็นเคล็ดลับมหาเสน่ห์ แต่เป็นในด้านที่ไม่ดี เนื่องเพราะว่าเขาจะไปทำไสยศาสตร์ แล้วโยนลงไปในบ่อน้ำของหมู่บ้าน เขาว่าอำนาจของมันจะทำให้ผู้หญิงหมู่บ้านนั้นตะกายหาผัวตั้งแต่ "นมยังไม่ทันจะตั้งเต้า" อันนี้ก็เป็นศัพท์โบราณเหมือนกัน ถ้าเป็นประมาณสมัยนี้ก็น่าจะไม่เกินเด็ก ป.๕ - ป. ๖ อันตรายมาก..!!
ดังนั้น..ถ้าหากว่าบ้านไหนตำน้ำพริกแล้วครกทะลุ เขาจะรีบทุบละเอียด..ทิ้งไปเลย..! จะไม่ให้เหลือเอาไว้ เริ่มเลี้ยวไปออกเรื่องลี้ลับแล้ว มาภายหลังถึงได้มี "ครกหิน" ซึ่งสกัดขึ้นมาจากหินแกรนิต แต่สมัยก่อนเรียกว่า "หินอัคนี" แล้วก็ยังมี "ครกไม้" ส่วนใหญ่จะใช้ไม้ตาลกลึงขึ้นมา
ในเมื่อครกมีอาถรรพ์แล้วสากมีไหม ? มี..ถ้าหากว่าบ้านไหนแม่ม่ายผัวร้าง แม่ม่ายผัวตาย ก็จะไปขโมยสากเอาไปให้อาจารย์เขาลงคาถา ช่วยให้ค้าขายดีมาก ซึ่งสมัยหลังปรับเป็นปลัดขิก ก็คงลักษณะเดียวกัน เพราะว่ารูปร่างใกล้เคียงกัน คือส่วนใหญ่เขาเชื่อกันว่าแม่ม่ายเสน่ห์แรง ความจริงไม่ใช่ คือแม่ม่ายส่วนใหญ่ผ่านการมีครอบครัวมาแล้ว กล้าพูดเรื่องเพศอย่างเปิดเผย ก็เลยทำให้ผู้ชายเข้าใจง่ายว่าเขามีใจกับตัวเองหรือเปล่า ? คนก็เลยไปมองว่าแม่ม่ายเสน่ห์แรง
เขาจึงเชื่อว่า "สากกะเบือแม่ม่าย" ก็ต้องเรียกลูกค้าได้ดี เพราะว่าตัวแม่ม่ายอยู่บ้านไหน หนุ่ม ๆ มักจะขึ้นบ้านจนบันไดลื่น สมัยนั้นเขาเรียกว่า "หัวกระไดไม่แห้ง" เพราะว่าเขาจะมีอ่างล้างเท้าอยู่ ของพวกเรายังดี..ยังได้เห็น เพราะว่าอ่างล้างเท้าตรงหน้าหอฉันยังมีอยู่ ล้างเท้าเสร็จเดินขึ้นบันไดก็เปียกติดบันไดบ้าง คนไปมามากจนกระทั่งทั้งวันหัวกระไดไม่แห้ง คิดดูว่าคนมากเท่าไร ? จะไปได้ไกลกว่านี้ไหม ? เวลาจะหมดแล้ว..!
เรื่องของโอ่งนั้นยังมีระดับอีก ก็คือจะมี "โอ่งเคลือบ" เป็นการเคลือบสีเดียวบ้าง มีการวาดลวยลายลงไปบ้าง ถ้าเคลือบสีเดียวที่เขานิยม ก็จะอยู่ในลักษณะว่าปั้นโอ่งเสร็จแล้ว เอาน้ำโคลนทาให้ทั่ว ถึงเวลาแล้วเผาจะเป็น "โอ่งเคลือบ" ถ้าไม่ทาน้ำโคลน จะเป็นโอ่งดินเผาธรรมดา ไม่ใช่โอ่งเคลือบ ใครเคยทันจะรู้ว่าเป็นได้เพราะอะไร ?
คราวนี้โอ่งเคลือบที่เขานิยมมากที่สุดก็คือ "สีเขียวไข่กา" ไม่รู้จักอีก ? อีกาไข่หน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่เคยเห็น ขอให้มีความสุขความเจริญ..! ตูจะทำอย่างไรดีวะ ?! ต่อไปคงจะต้องบรรยายโดยฉายโปรเจ็คเตอร์ขึ้นจอให้ด้วย..ใช่ไหม ? จะได้รู้ว่าแต่ละอย่างที่พูดถึงมีหน้าตาเป็นอย่างไร
มากล่าวถึงว่าสมัยนั้นไฟฟ้ายังไม่มี ไม่ต้องไปพูดถึงเตาถ่าน เตาแก๊ส ชาวบ้านทั่ว ๆ ไปส่วนใหญ่ก็ใช้ฟืนใช้แกลบเป็นเชื้อเพลิง ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ส่วนใหญ่ก็ทำเองสร้างเองในบ้าน แต่ว่าจะมีบรรดาคนจีนที่เดินทางเข้ามาเมืองไทย ถ้าเป็นรุ่นโยมพ่อ เขาเรียกว่า "พวกต่างด้าว"อพยพเข้ามาจากต่างประเทศเลย พวกนี้ต้องมา "ขึ้นทะเบียนคนต่างด้าว" ทำงานเสียภาษีให้ประเทศไทย ๑๐ ปีแล้วจะได้สัญชาติไทย แต่จะต่อท้ายว่าเชื้อชาติจีน..!
คนจีนมาใหม่ ๆ จะมี "อาชีพรับจ้างย้อมผ้า" บ้าง ผ้าสมัยก่อนเขาย้อมสองอย่าง ถ้า "ย้อมมะเกลือ" จะเป็นผ้าดำ ถ้า "ย้อมคราม" จะเป็นผ้าสีน้ำเงิน หรือที่ทางเหนือเขาเรียก "หม้อห้อม" รับจ้างย้อมผ้า ผ้าใครเก่าเอาไปจ้างให้เขาย้อมใหม่ เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าให้พระของเราที่ไปหาผ้าเก่ามา ซักสะอาด เย็บเป็นสบงจีวรแล้ว ก็ทำการย้อมด้วยสีกรัก หรือว่าย้อมขมิ้น สมัยก่อนพระก็ใช้วิธีง่าย ก็คือย้อมขมิ้น พอถึงเวลาสีขมิ้นตกใส่ตัวก็เหลืองอร่ามไปด้วย จนเขาชมว่า "ผิวเหลืองเหมือนทอง" แต่
ความจริงแล้วเหลืองขมิ้น ไอ้ตัวเองผิวลงรัก..ยังไม่ทันจะปิดทอง..ดำปี๋..!
"อาชีพรับจ้างลับมีด ลับกรรไกร" สมัยนี้ยังมีหรือเปล่าไม่รู้ เขาบอกว่า "ถ้าผู้ชายคนไหนลับมีดคม แสดงว่ากลัวเมีย" พูดง่าย ๆ ว่าลับมีดไม่คมเมียจะด่า ก็ต้องหัดลับมีดจนกระทั่งคม อาชีพลับมีด ลับกรรไกร "อาชีพขายหวานเย็น" สะพายกระติก ถ้าคน
ขยันหน่อยก็สองใบเลย ไอ้หวานเย็นสมัยนี้เขาเรียก "ไอศกรีม" ถึงเวลาก็สีเขียวบ้าง สีแดงบ้าง สีส้มบ้าง ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นสีกินได้หรือกินไม่ได้ แต่ว่าสีแดงส่วนใหญ่จะเป็นสีของ "น้ำยาอุทัยทิพย์" ซึ่งกลิ่นจะหอมชื่นใจมาก น้ำกระติกใหญ่ ๆ หยดน้ำยาอุทัยทิพย์ลงไปหยดเดียว จะเป็นสีชมพู ซึ่งเด็กสมัยหลังนี้ได้ยินว่าเขาเอามา
ทาแก้มกัน เมื่อไม่นานนี้ก็ยังฮิตกันอยู่ เคยเห็นกันสักอย่างหรือเปล่าวะ ?
มี "อาชีพรับซ่อมเตา ซ่อมโอ่ง" ซ่อมอะไรที่รั่ว แล้วก็จะมีคนแขกซึ่งมี"อาชีพขายถั่ว" กับ "อาชีพขายผ้า" ซึ่งถ้าหากว่าเจอคนจีน เราก็เรียกว่า "เจ๊ก" ความจริงมาจากคำว่า "เจ็ก" ที่เป็นภาษาแต้จิ๋ว แปลว่า อา (น้องพ่อ) พอเจอแขก เราก็เรียก "บัง" กันหมด ทั้ง ๆ ที่ "บัง" นั้นแปลว่า "พี่" บางคนน่าจะรุ่นปู่แล้ว เครายาวเกือบถึงพุง แต่คนก็
เรียก "อาบัง" กันหมด ถือว่าเป็นการนับญาติกันไปโดยปริยาย..!
อาบังมีความอึดและอดทนมาก เดินขายผ้าทั้งหมู่บ้าน "วันนี้ไม่ซื้อไม่เป็นไรนะนายจ๋า พรุ่งนี้ฉานค่อยมาใหม่" ใครจะ "ซื้อผ่อน" ก็ได้ ขนาดยุคหลัง ๆ ประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๐ ไปแล้ว สมมติว่าซื้อผ้า ๒๐ บาท เขาจะให้ผ่อนวันละบาท ให้ ๒ บาทก็ไม่เอานะ ถ้าให้ ๒ บาท อาบังก็หยิบวางไว้ที่หัวเสา "อีนี่ฉานไว้ตรงนี้หนานาย เดี๋ยวพรุ่ง
นี้จะมาเอา" แล้วรู้ไหมว่าทำไม ? เขาจะได้มีโอกาสหาข้ออ้างเดินวนเข้ามาใหม่ในวันพรุ่งนี้ แล้วไอ้บ้านที่ไม่ซื้อก็อาจจะซื้อเขาอีก เป็นวิธีค้าขายของเขาแบบหนึ่ง
บรรดาอาชีพต่าง ๆ สมัยก่อนเขาจะสงวนไว้สำหรับคนไทย เช่น "อาชีพตัดผม" ทุกวันนี้เดี๋ยวต้องไปดูข้อมูลก่อนว่าอาชีพสงวนมีอะไรบ้าง ? ช่วงนี้เห็นไล่จับต่างด้าวกันอุตลุด ว่ามาแย่งอาชีพคนไทย พวกนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าอาชีพไหนสงวนไว้สำหรับคนไทย
โดยเฉพาะ เห็นพอทำมาหากินได้ก็ทำ แต่ไม่ต้องมาจับแถวทองผาภูมินะ เดี๋ยวนี้บรรดาเจ้าของร้านแทบจะเป็นต่างด้าวกันหมดแล้ว แต่เป็นต่างด้าว รุ่น ๒ รุ่น ๓ รุ่น ๔ อะไรก็แล้วแต่เถอะ ไล่ขึ้นไปไม่เชื้อสายมอญก็เชื้อสายพม่า ต่อไปเขาทั้งหลายเหล่านี้จะเป็นเถ้าแก่ใหญ่กันหมด แล้วคนไทยก็จะกลายเป็นลูกน้อง ฟังแล้วเศร้าใจ..!
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๖๘
โฆษณา