26 เม.ย. เวลา 11:51 • ข่าวรอบโลก

🥇เกมใหญ่ระดับโลก! เปิดโปง "มือที่มองไม่เห็น" กำลังดันทองคำ?

สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้แอดบิตี้ " จะมาชวนคุยเรื่องที่กำลังร้อนแรงสุดๆ ในวงการลงทุน นั่นก็คือ "ทองคำ" ค่ะ
ทำไมอยู่ๆ ใครๆ ก็พูดถึงแต่ทองคำ นักลงทุนแห่ซื้อกันจนราคาทองคำพุ่งทะยานทำสถิติสูงสุดใหม่กันเป็นว่าเล่น วันนี้เราจะมาเจาะลึกกันแบบเข้าใจง่ายๆ กันค่ะ
📈 ทองคำแพงแค่ไหน? ทำไมน่าสนใจ?
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ทองคำก็เปรียบเสมือน "สินทรัพย์ปลอดภัย" (Safe Haven) เวลาที่เศรษฐกิจหรือการเมืองผันผวน ไม่แน่นอน คนก็จะหันมาหาทองคำ เพราะเป็นของมีค่าที่เชื่อถือได้ ขนย้ายง่าย ขายคล่องทั่วโลก ให้ความรู้สึกอุ่นใจเวลาอย่างอื่นดูวุ่นวายไปหมด
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะชอบทองนะคะ อย่างนักลงทุนชื่อดังระดับโลก วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) เคยบอกว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ "ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร" (sterile asset) คือถือไปนานแค่ไหน ทองหนึ่งออนซ์ก็ยังเป็นทองหนึ่งออนซ์เท่าเดิม ไม่ได้งอกเงยอะไรขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมา นโยบายการค้าและการเมืองระหว่างประเทศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ก็ทำให้ตลาดหุ้น พันธบัตร และค่าเงินผันผวนหนัก นักลงทุนเลยหันมาซบทองคำกันยกใหญ่
เห็นได้จากเม็ดเงินที่ไหลเข้า กองทุน ETF ทองคำ (Gold-backed Exchange-Traded Funds) ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2025 สูงถึง 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงการระบาดของโควิด-19 เลยทีเดียว!
แรงซื้อที่ถาโถมเข้ามานี่แหละค่ะ ที่ดันให้ ราคาสปอตทองคำ (Spot Price) พุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า ทะลุ $3,500 ต่อออนซ์ ไปเมื่อกลางเดือนเมษายน 2025 ที่ผ่านมา ต่อเนื่องจากปีก่อนหน้าที่ร้อนแรงไม่แพ้กัน
ทำให้ในปี 2025 นี้ ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าสินทรัพย์หลักอื่นๆ เกือบทั้งหมดเลยค่ะ ถ้าดูย้อนหลังไป 5 ปี ณ สิ้นเดือนเมษายน 2025 ราคาทองคำนี่สูงขึ้นถึง 90% เลยนะคะ 😱
🎯 แล้วทำไมทองถึงเนื้อหอมขนาดนี้ล่ะ?
1️⃣ เพราะเป็นหลุมหลบภัยชั้นดี
อย่างที่บอกไปค่ะว่าทองคำมีเสถียรภาพและสภาพคล่องสูง นักลงทุนมองว่ามันมั่นคง เวลามีความไม่แน่นอนเกิดขึ้น ทองคำมักจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น สวนทางกับสินทรัพย์อื่น
นอกจากนี้ยังเป็นเหมือน "เกราะป้องกันเงินเฟ้อ" ในยามที่ค่าเงินอ่อนค่าลง ซึ่งตอนนี้หลายคนก็กังวลเรื่องเงินเฟ้อ เพราะการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของทรัมป์ และการตอบโต้จากประเทศอื่นๆ อาจทำให้ราคาสินค้าทั่วโลกแพงขึ้นได้�
สถานะสินทรัพย์ปลอดภัยของทองคำยิ่งโดดเด่นขึ้นไปอีก เมื่อนโยบายการค้าของทรัมป์ทำให้คนเริ่มไม่มั่นใจในสินทรัพย์ปลอดภัยอื่นๆ อย่าง เงินดอลลาร์สหรัฐ และ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ
�ตามปกติแล้ว ราคาทองคำมักจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับค่าเงินดอลลาร์ เพราะทองคำซื้อขายกันในรูปดอลลาร์ พอเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ทองก็จะถูกลงสำหรับคนที่ถือเงินสกุลอื่น ซึ่งในช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา ค่าเงินดอลลาร์ก็อ่อนค่าลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปีเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ ค่ะ
2️⃣ ความต้องการจากฝั่งเอเชีย (โดยเฉพาะจีน)
จีน ซึ่งเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลก มีความต้องการทองคำสูงมาก เป็นอีกแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ราคาทองพุ่ง โดยสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความกังวลเรื่องกำแพงภาษีที่ทรัมป์ตั้งขึ้นกับสินค้านำเข้าจากจีน
�นอกจากเรื่องตลาดแล้ว การถือครองทองคำยังเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม อินเดียและจีน ซึ่งเป็นตลาดทองคำที่ใหญ่ที่สุด 2 แห่งของโลกเลยก็ว่าได้ค่ะ
ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ ทองคำแท่ง หรือทองรูปพรรณอื่นๆ มักจะถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและความมั่นคง
ว่ากันว่าครัวเรือนในอินเดียถือครองทองคำรวมกันถึงประมาณ 25,000 เมตริกตัน มากกว่าทองคำที่เก็บไว้ใน คลังเก็บทองคำฟอร์ต น็อกซ์ (Fort Knox) ของสหรัฐฯ ถึง 5 เท่า 😱
�คนอินเดียและจีนขึ้นชื่อเรื่องความอ่อนไหวต่อราคา แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ความน่าสนใจของทองคำในตลาดการเงินเริ่มลดลง กลุ่มผู้ซื้อทองคำจริงๆ (เช่น ซื้อไปทำเครื่องประดับหรือเก็บเป็นทองแท่ง) ก็มักจะเข้ามาซื้อตอนราคาถูก ช่วยพยุงไม่ให้ราคาตกต่ำลงไปมากนักค่ะ
3️⃣ แรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลก
อันนี้เป็นปัจจัยสำคัญมากๆ เลยค่ะ! ในช่วงปี 2024 ที่ผ่านมา ราคาทองคำที่พุ่งแรงส่วนหนึ่งมาจากการที่ ธนาคารกลาง (Central Banks) โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ แห่ซื้อทองคำเก็บเข้าคลังสำรองกันมหาศาล เพื่อลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นสกุลเงินสำรองหลักของโลก
โดยทองคำสามารถช่วยกระจายความเสี่ยงของทุนสำรองระหว่างประเทศ และป้องกันค่าเงินของตัวเองอ่อนค่าลงได้ค่ะ
�จริงๆ แล้ว ธนาคารกลางทั่วโลกเป็นผู้ซื้อสุทธิทองคำมาตลอด 15 ปีที่ผ่านมา แต่ความเร็วในการซื้อเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า หลังจากรัสเซียบุกยูเครน เพราะการที่สหรัฐฯ และพันธมิตรระงับการใช้สินทรัพย์ของธนาคารกลางรัสเซียที่อยู่ในประเทศตัวเอง ทำให้เห็นว่าสินทรัพย์ที่เป็นเงินตราต่างประเทศมีความเสี่ยงที่จะถูกคว่ำบาตรได้นั่นเอง
�ตามข้อมูลของ สภาทองคำโลก (World Gold Council) ในปี 2024 เป็นปีที่ 3 ติดต่อกันแล้ว ที่ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำรวมกันมากกว่า 1,000 ตัน
โดยในปัจจุบัน ธนาคารกลางต่างๆ ถือครองทองคำรวมกันประมาณ 1 ใน 5 ของทองคำทั้งหมดที่เคยถูกขุดขึ้นมาเลยทีเดียวค่ะ 😱
�การที่ธนาคารกลางยังคงซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องนี่เอง ที่ทำให้ Goldman Sachs ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำสิ้นปีนี้ (2025) ขึ้นไปอยู่ที่ $3,700 ต่อออนซ์ ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา และคาดว่าอาจแตะ $4,000 ต่อออนซ์ ได้ภายในกลางปีหน้า!
🚦แล้วอะไรจะมาหยุดความร้อนแรงนี้ได้บ้าง?
หลังจากที่ราคาทองคำวิ่งขึ้นมาแทบไม่หยุดพักตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการ "ปรับฐาน" (Consolidation) บ้าง เมื่อนักลงทุนเริ่มขายทำกำไร
นอกจากนี้ หากสถานการณ์ตึงเครียดเรื่องภาษีของทรัมป์คลี่คลายลง หรือมีข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัสเซียกับยูเครน ก็อาจทำให้ราคาทองคำปรับตัวลงได้เช่นกันค่ะ
แต่ปัจจัยหนุนที่สำคัญที่สุดของราคาทองคำในตอนนี้ก็คือ ธนาคารกลาง ค่ะ นั่นหมายความว่า ถ้าธนาคารกลางเหล่านี้เกิดเปลี่ยนใจ ชะลอการซื้อ หรือเริ่มขายทองคำออกมา ก็อาจส่งผลกระทบต่อราคามากที่สุดเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณว่าผู้ถือครองรายใหญ่จะทำแบบนั้นนะคะ ธนาคารกลางของประเทศพัฒนาแล้วแทบไม่ได้ขายทองคำออกมาเลยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา
ต่างจากช่วงทศวรรษ 1990 ที่การเทขายทองคำอย่างต่อเนื่องทำให้ราคาตกต่ำลงกว่า 25% ตลอดทศวรรษนั้น จนเกิดความกังวลว่าการขายแบบไม่ประสานงานกันกำลังทำลายเสถียรภาพของตลาด ทำให้มีการทำ ข้อตกลงทองคำของธนาคารกลาง (Central Bank Gold Agreement) ฉบับแรกขึ้นในปี 1999 ซึ่งผู้ลงนามตกลงที่จะจำกัดการขายทองคำโดยรวมของกลุ่ม
⚱️การถือครองทองคำจริงๆ มีปัญหาอะไรไหม?
การเป็นเจ้าของทองคำจริงๆ แบบจับต้องได้ (Physical Gold) ก็มีต้นทุนนะคะ เพราะมันเป็นวัตถุ เราก็ต้องเสียค่า เก็บรักษา ค่าดูแลความปลอดภัย และค่าประกัน
นักลงทุนที่ซื้อทองคำแท่งหรือเหรียญทองคำ ก็มักจะต้องจ่ายในราคาที่สูงกว่าราคาสปอต (เรียกว่า Premium)
นอกจากนี้ ราคาทองคำในแต่ละพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ก็อาจแตกต่างกันได้ ทำให้นักค้ากำไรใช้ประโยชน์จาก ส่วนต่างราคา (Arbitrage) นี้ได้
ตัวอย่างเช่น เมื่อต้นปีนี้ มีความกลัวว่าทรัมป์อาจจะขึ้นภาษีนำเข้าทองคำแท่ง ทำให้ราคาทองคำล่วงหน้าในตลาด Comex ที่นิวยอร์กสูงกว่าราคาสปอตในลอนดอนอย่างเห็นได้ชัด
ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่คนที่มีทองคำจริงๆ อยู่ในมือทั่วโลก รีบขนทองคำไปยังสหรัฐฯ เพื่อขายทำกำไรจากส่วนต่างราคาที่สูงนี้ ซึ่งอาจทำกำไรได้หลายร้อยล้านดอลลาร์เลยทีเดียว
✈️ การขนย้ายทองคำ ไม่ง่ายอย่างที่คิด!
ปกติแล้ว ทองคำมักจะถูกขนส่งอย่างเงียบๆ ในห้องเก็บสัมภาระใต้ท้องเครื่องบินพาณิชย์ โดยที่ผู้โดยสารบนเครื่องไม่รู้เลย แต่การขนย้ายก็ไม่ได้ง่ายเหมือนโหลดกระเป๋าขึ้นเครื่องบินจากลอนดอนไปนิวยอร์กนะคะ เพราะตลาดทองคำทั่วโลกมีข้อกำหนดเรื่องขนาดทองคำแท่งที่แตกต่างกัน
ในลอนดอน ทองคำแท่งมาตรฐานคือขนาด 400 ออนซ์ แต่สำหรับสัญญาซื้อขายในตลาด Comex ผู้ค้าจะต้องส่งมอบทองคำแท่งขนาด 100 ออนซ์ หรือ 1 กิโลกรัม เท่านั้น
นั่นหมายความว่า ทองคำแท่งที่จะส่งไปยังคลังของ Comex ต้องถูกส่งไปที่โรงหลอมในสวิตเซอร์แลนด์ก่อน เพื่อ หลอมและหล่อใหม่ ให้ได้ขนาดตามที่กำหนด แล้วค่อยเดินทางต่อไปยังสหรัฐฯ ซึ่งกระบวนการนี้อาจทำให้เกิด "คอขวด" (Bottleneck) ได้ โดยเฉพาะเวลาที่มีความต้องการย้ายที่เก็บทองคำมากๆ อย่างรวดเร็ว
🎯 หวังว่าข้อมูลที่แอดนำมาฝากวันนี้ จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจสถานการณ์ของทองคำได้ดีขึ้นนะคะ แม้จะมีปัจจัยท้าทายอยู่บ้าง แต่ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะแรงหนุนจากธนาคารกลาง ก็ทำให้ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าจับตามองต่อไปค่ะ 😊
เครดิต : Beauty Investor
โฆษณา